บทที่ 965 ดวงจิตนพชาติ

หานเจวี๋ยมองศัตรูเบื้องล่างที่ล้วนตกอยู่ในความหวาดกลัวและสิ้นหวัง เขาพลันรู้สึกเบิกบานใจ

เพียรบำเพ็ญมาหลายล้านปี เพื่อแลกกับความเกรียงไกรในวันนี้ คุ้มค่าแล้ว!

ถึงอย่างไรเขาก็เตรียมการไว้พร้อมสำหรับแตกหักกับเจ้านวฟ้าบุพกาลแล้ว ย่อมต้องแสดงความเกรียงไกรออกมาให้ดี สร้างความเบิกบานสักหน่อย!

หานเจวี๋ยชูมือขวาขึ้น ตราปฐมยุคประทับนภาก่อตัวขึ้นด้านหน้า พลังปฐมยุคหลังจากผสานรวมกับร่างจำลองเทพมารสามพันร่างเข้าไปก็ถ่ายเทเข้าไปในตราปฐมยุคประทับนภา ตราปฐมยุคประทับนภาขยายใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว

ราวกับเศษกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่ขยายกลายเป็นท้องฟ้า ปกคลุมอริยะมหามรรคกว่าเก้าแสนคนไว้

สายตาของหานเจวี๋ยมองไปยังร่างของเทวีตราวินัย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากแพ้ศึกนี้แล้ว เจ้ายังมีกลยุทธ์อื่นหรือไม่”

เทวีตราวินัยเงียบงัน

ในเวลานี้เอง เงาร่างหนึ่งพุ่งทะลุผ่านห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่าเข้ามา มายังห้วงอวกาศดั้งเดิม เขาตะโกนด้วยน้ำเสียงร้อนรน “หยุดเถิด หากเจ้ากวาดล้างต่อไป จะทำให้ทุกอย่างพัฒนาไปถึงจุดที่ไม่อาจย้อนหวนกลับมาได้อีก!”

หานเจวี๋ยเหลือบมอง ผู้มาก็คือจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายจ้องมองหานเจวี๋ย เอ่ยออกมา “หยุดแค่นี้ยังพอย้อนกลับไปได้ หานเจวี๋ย ฟ้าบุพกาลหาได้เรียบง่ายอย่างที่เจ้าเข้าใจไม่ นอกฟ้าบุพกาลยังมีตัวตนเหนือชั้นอยู่ ถึงแม้เราจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าถึงทำเรื่องเหล่านั้น แต่เมื่อนึกถึงมิตรภาพในอดีตแล้ว เราจำเป็นต้องมาเตือนเจ้า อย่าได้ถลำลึกไปกว่านี้เลย”

วาจานี้ทำให้หานเจวี๋ยตื้นตันยิ่งนัก

ถึงแม้จะถูกเจตจำนงฟ้าบุพกาลเปลี่ยนความทรงจำ แต่จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายยังคงระลึกถึงมิตรภาพในวันวานอยู่

หานเจวี๋ยยิ้มแล้วเอ่ยกับจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายว่า “ขอบคุณในความหวังดีของฝ่าบาท แต่เจตจำนงฟ้าบุพกาลบีบคั้นข้าเช่นนี้ ข้าย่อมปล่อยไปไม่ได้ ตัวข้าหานเจวี๋ยมีชีวิตอยู่มาหลายล้านปี แทบจะปิดด่านฝึกบำเพ็ญมาโดยตลอด อย่างมากก็แค่ออกท่องเที่ยวในมรรคาสวรรค์ไม่กี่ร้อยปี ข้าหาได้เคยทำผิดต่อฟ้าบุพกาลไม่ ข้าไม่เคยมุ่งร้ายต่อฟ้าบุพกาล ถึงขั้นที่ช่วยเหลือฟ้าบุพกาลด้วยซ้ำ จะพูดเรื่องโชคชะตาไปไย ข้ารู้จักแต่การทำตามเสียงหัวใจเท่านั้น

“ไม่มีผู้ใดสามารถกำหนดชะตาของข้าได้ เจตจำนงฟ้าบุพกาลทำไม่ได้ ต่อให้มีตัวตนเหนือชั้นที่คอยปกครองฟ้าบุพกาลอยู่จริงๆ พวกเขาก็ทำไม่ได้เช่นกัน!”

หานเจวี๋ยพลันหรี่ตาลง จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากห้วงอวกาศแถบนี้

เทวีตราวินัยร้องขึ้นมา “รีบลงมือเถิด!”

อริยะมหามรรคกว่าเก้าแสนรายสำแดงพลังวิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมาอย่างพร้อมเพรียง แสงเจิดจ้าพวยพุ่งออกมา สาดส่องลงบนร่างของหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยกดมือขวาลงมา สีหน้าเย็นชาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หากจะกล่าวโทษก็จงโทษเจตจำนงฟ้าบุพกาลเถิด!”

ตราปฐมยุคประทับนภาที่น่าหวาดหวั่นเหลือคณาถูกทุ่มลงมาพร้อมกับพลังทำลายล้างโลก!

พลังสุดแข็งแกร่งจากทั้งสองฝั่งเข้าปะทะกัน!

หากทอดมองลงมาจากด้านบนของฟ้าบุพกาล จะเห็นแสงสีขาวเจิดจ้าแผ่พุ่งออกมาจากจุดหนึ่งในแผนที่ฟ้าบุพกาลอันกว้างใหญ่ ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นพลังโจมตีกวาดพัดเข้าใส่ฟ้าบุพกาลด้วยระดับความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำให้ฟ้าบุพกาลเกิดคลื่นอากาศกวาดม้วนผ่านเพราะฉากนี้

แต่แสงสีขาวนี้สลายหายไปเร็วยิ่ง

ณ ห้วงอวกาศดั้งเดิม

ไอควันคลื่นเมฆา ล่องลอยไหวกระเพื่อม ไร้ซากศพ ไร้โลหิต เหลือเพียงแรงกดดันมหาศาลที่คงอยู่เนิ่นนานไม่สลายไป

หานเจวี๋ยยืนอยู่ท่ามกลางไอควัน สายตามองไปยังเงาร่างหนึ่งที่อยู่ด้านล่าง

เจียงเจวี๋ยซื่อ!

พูดให้ถูกคือเจียงเจวี๋ยซื่อจากอนาคต

สีหน้าหานเจวี๋ยราบเรียบไร้อารมณ์ แต่ในใจรู้สึกประหลาดใจยิ่ง

หรือจะเป็นเจียงเจวี๋ยซื่อที่สำเร็จเป็นผู้สร้างมรรคาแล้วคนนั้น

ต่อให้หานเจวี๋ยรู้ดีอยู่แล้วก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้

เจียงเจวี๋ยซื่อจากอนาคตกล่าวอย่างสะท้อนใจ “อาจารย์ ท่านลงมือดุดันจริงๆ สังหารทิ้งหมดเลยหรือขอรับ”

หานเจวี๋ยตอบว่า “บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของเจ้า ข้ายังเก็บชีวิตเอาไว้อยู่”

คนที่เขาให้ความสำคัญล้วนถูกกักตัวไว้ในตราปฐมยุคประทับนภา รอมีโอกาสแล้วค่อยปล่อยออกมา

นอกไปจากนี้แล้ว อริยะมหามรรคนับล้านล้วนวางวายอย่างสมบูรณ์ แม้แต่เทวีตราวินัยก็ดับสูญไปแล้วเช่นกัน

เจียงเจวี๋ยซื่อจากอนาคตกล่าวว่า “อาจารย์ จากนี้ท่านวางแผนจะทำอย่างไรต่อขอรับ กวาดล้างสรรพสิ่ง ให้ฟ้าบุพกาลยกท่านเป็นนายหรือ”

“สรรพสิ่งไม่มีทางทำอะไรข้าได้ เหตุใดข้าต้องสังหารเล่า ว่ากันตามจริงแล้วพวกเขาเป็นเพียงคนน่าเวทนาที่ถูกเจตจำนงฟ้าบุพกาลควบคุม ข้ากำจัดทิ้งเพียงตัวตนที่มาสร้างความเดือดร้อนให้ข้าเท่านั้น หากว่าสามารถลบล้างความเกลียดชังที่ถูกบังคับให้เกิดขึ้นได้ ข้าก็ยินดีจะยอมเลิกรากับเหล่าสรรพสิ่ง ไม่รบกวนกันและกัน”

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างสงบ ถ้อยคำที่กล่าวไปก็มาจากใจจริง

เจียงเจวี๋ยซื่อจากอนาคตเอ่ยว่า “อาจารย์ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ ข้าอยากช่วยเหลือท่านยิ่งนัก แต่สำหรับปัจจุบันนี้ข้าหามีตัวตนอยู่ไม่ ตัวตนที่ปกครองอยู่เหนือฟ้าบุพกาลเหล่านั้นไม่ทราบว่าข้ามาปรากฏตัว ข้าเพียงส่งเจตจำนงเข้าไปในยุคหนึ่ง

“อาจารย์ขอรับ ข้ามีประโยคหนึ่งอยากจะกล่าวกับท่าน ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแต่ ท่านต้องรอดชีวิตไปให้ได้นะขอรับ ข้าช่วยท่านไม่ได้ ทำได้เพียงขอร้องให้ท่านช่วยเหลือตัวเองไว้ให้ได้”

พอกล่าวจบ เจียงเจวี๋ยซื่อจากอนาคตเลือนหายไป ราวกับไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาก่อน

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

เขารู้ว่าเจียงเจวี๋ยซื่อในอนาคตย่อมเป็นผู้สร้างมรรคาที่เขาเคยวิวัฒนาการถึงก่อนหน้านี้ แต่ในอนาคตนั้น ตัวเขาตายไปในเคราะห์นี้

แต่วาจาของเจียงเจวี๋ยซื่อในอนาคตทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ

ผู้สร้างมรรคาสูงส่งเหนือสรรพสิ่ง ตอนนี้มีอยู่เพียงห้าราย หากว่าในอนาคตเจียงเจวี๋ยซื่อกลายเป็นผู้สร้างมรรคาจริง เช่นนั้นก็มีเพียงหกรายเท่านั้น ผู้สร้างมรรคาตระหนักรู้ไม่ได้อย่างนั้นหรือว่าจะมีคนใดในหมู่สรรพสิ่งสำเร็จเป็นผู้สร้างมรรคา

ก่อนหน้านี้หานเจวี๋ยคิดว่าอนาคตนั้นเป็นเรื่องเท็จ เขาไม่มีทางสิ้นชีพ

แต่ตอนนี้เจียงเจวี๋ยซื่อจากอนาคตมาปรากฏตัว ก็แปลว่าอนาคตนั้นยังคงอยู่จริงๆ ไม่ใช่หรือ

เจียงเจวี๋ยซื่อที่สำเร็จเป็นผู้สร้างมรรคาแล้วมาเกลี้ยกล่อมให้เขายอมสยบอย่างนั้นหรือ

หานเจวี๋ยทอดมองห้วงอวกาศดั้งเดิม เหม่อลอยอยู่พักหนึ่ง

และในเวลานี้เอง แรงดูดอันทรงพลังผ่านเข้ามา

หานเจวี๋ยส่ายโคลงเคลง พอลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองมาโผล่เบื้องหน้าอำนาจศักดิ์สิทธิ์ฟ้าบุพกาลแล้ว

อำนาจศักดิ์สิทธิ์ฟ้าบุพกาลที่ผสานรวมจากเจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุดช่างดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง

หานเจวี๋ยเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับเจตจำนงฟ้าบุพกาลแล้ว

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ!

อำนาจศักดิ์สิทธิ์ฟ้าบุพกาลเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลง ค่อยๆ ก่อตัวเป็นเงาร่างหนึ่ง มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง

“หานเจวี๋ย เจ้าทำลายล้างอริยะมหามรรคในอดีตจนถึงอนาคต ตอนนี้นอกจากศิษย์ของเจ้า ฟ้าบุพกาลไม่หลงเหลืออริยะมหามรรคแล้ว เจ้ายังไม่ยอมรามืออีกหรือ”

เสียงของเจตจำนงฟ้าบุพกาลแว่วขึ้นมา น้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ความรู้สึกใดๆ คล้ายกับเทวีตราวินัย

หานเจวี๋ยแค่นเสียงใส่ “สมควรเป็นเจ้ามากกว่า ยังไม่ยอมรามืออีกหรือ เจตจำนงฟ้าบุพกาล!

“ตอนนี้ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ สรุปแล้วเจ้าต้องการสิ่งใด!”

ท้ายที่สุดแล้วเจตจำนงฟ้าบุพกาลก็เป็นเพียงกฎเกณฑ์อย่างหนึ่ง หานเจวี๋ยรู้สึกว่าเจตจำนงฟ้าบุพกาลอาจเป็นเพียงข้ออ้างบังหน้า มีคนอื่นชักใยอยู่เบื้องหลัง

อาจจะเจ้านวฟ้าบุพกาลหรือไม่ก็ดวงจิตยุคบรรพกาลสักรายหนึ่งที่อาศัยเจตจำนงฟ้าบุพกาลมาควบคุมสรรพสิ่ง

หากเจวี๋ยรู้สึกว่าน่าจะเป็นอย่างหลัง

หากว่าเป็นเจ้านวฟ้าบุพกาลคงไม่จำเป็นต้องใช้ลูกไม้มากมายขนาดนี้เลยจริงๆ

หากว่ามีคนนอกเล็ดรอดเข้าไปในโลกอนธการ ซ้ำยังเป็นภัยคุกคามต่ออนธการ หานเจวี๋ยจะบดขยี้ให้ตายตรงๆ ไม่มีทางอ้อมค้อมมากมายปานนี้

เจตจำนงฟ้าบุพกาลเงียบงัน

หานเจวี๋ยเอ่ยไปว่า “ยังจำปรมาจารย์ฟ้าทลายได้หรือไม่ เขายังไม่ตาย ถูกข้าดัดแปลงเป็นหุ่นเชิดแล้ว ข้าถ่ายทอดพลังวิเศษทำลายมรรคาให้เขา หากว่าเจตจำนงฟ้าบุพกาลยังไม่ยอมรามือไป เช่นนั้นข้าก็จะลากสรรพสิ่งลงหลุมไปด้วย ถึงอย่างไรก็ไม่รอดแล้ว เช่นนั้นก็ตายไปด้วยกันทั้งหมดเถิด!”

“โอหัง!”

เจตจำนงฟ้าบุพกาลตวาดเสียงดัง “หานเจวี๋ย ดีร้ายอย่างไรเจ้าก็บรรลุยอดมหามรรคแล้ว ไยจึงพูดจาเยี่ยงเด็กน้อยเจ้าอารมณ์เช่นนี้อีก!”

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างเปี่ยมด้วยไอสังหารว่า “คืนความทรงจำให้สรรพสิ่งเสีย มิเช่นนั้นฟ้าบุพกาลจะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง!”

เจตจำนงฟ้าบุพกาลเงียบไปอีกครั้ง

[ดวงจิตนพชาติเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว]

ดวงจิตนพชาติหรือ

หานเจวี๋ยร่างจริงเรียกดูรูประจำตัวของดวงจิตนพชาติทันที รูปประจำตัวมืดสนิท ลึกลับเช่นเดียวกับบรรพชนเต๋า

[ดวงจิตนพชาติ: ตบะระดับฟ้าบุพกาล เจตจำนงแห่งฟ้าบุพกาล ดวงจิตมหามรรคบรรพกาล บุตรแห่งเจ้านวฟ้าบุพกาล เนื่องจากท่านยกฟ้าบุพกาลมาข่มขู่เขา จึงเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว]

………………………………………………………………