ตอนที่ 925 ค่อยๆ วางแผน

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 925 ค่อยๆ วางแผน
Ink Stone_Romance
นับตั้งแต่ที่หลู่จิ้นได้รับราชโองการจากไป๋ชิงเหยียนให้สืบค้นความผิดของเชื่อพระวงศ์เก่า เขาก็เดาได้ทันทีว่าหญิงสาวต้องการวางแผนหลอกล่อให้อ๋องแห่งเมืองต่างๆ เหล่านั้นมาติดกับ จึงยังไม่ได้ลงมือจัดการกับเชื้อพระวงศ์เหล่านั้น
หลู่จิ้นสงสัยกระทั่งว่าไป๋ชิงเหยียนเป็นคนสั่งให้คนแพร่ข่าวเรื่องที่นางไม่แตะต้องเชื้อพระวงศ์เหล่านั้นเพราะเห็นแก่องค์หญิงใหญ่ด้วยตัวเอง
“การปฏิรูปการปกครองระบอบใหม่ส่งผลดีต่อชาวบ้าน…” ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้ามองไปทางหลู่จิ่นเสียนด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยเนื่องจากความอ่อนล้า “หากต้องการปฏิรูปการปกครองใหม่ก็จำเป็นต้องกำจัดอ๋องเหล่านั้น การกำจัดพวกเขาด้วยสงครามและวิธีที่โหดร้ายอาจเป็นที่วิธีกำจัดพวกเขาที่ง่ายที่สุด ทว่า ชาวบ้านอาจได้รับความเดือดร้อน บ้านเมืองอาจต้องสูญเสีย เมื่อพิจารณาผลได้ผลเสียแล้ว ขณะที่ต้าโจวเพิ่งเริ่มสถาปนาขึ้นเช่นนี้ สิ่งที่พวกเราต้องการคือความมั่นคงไม่ใช่ความรวดเร็ว! หลังจากข้าขึ้นครองราชย์สำเร็จ ใต้เท้าหลู่จะผลักดันการปกครองระบอบใหม่ได้ราบรื่นขึ้นกว่าเดิมมาก”
หลู่เซียงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ไป๋ชิงเหยียนพิจารณาได้ละเอียดรอบคอบมาก
“ในเมื่อใต้เท้าหลู่กล่าวว่าการปฏิรูปการปกครองที่เมืองหานเป็นไปอย่างราบรื่น เหตุใดเชื้อพระวงศ์เก่าถึงได้ออกมาก่อความวุ่นวายอีก ข้าจำได้ว่าจดหมายที่ส่งมารายงานครั้งก่อนเขียนไว้ว่าเชื้อพระวงศ์เก่ายินดีสละสมบัติทั้งหมดเพื่อรักษาชีวิตของพวกเขาไว้ไม่ใช่หรือ”
ครั้งนี้ไป๋ชิงเหยียนได้รับข่าวค่อนข้างล่าช้า หญิงสาวอ่านเนื้อหาในจดหมายอย่างละเอียดก่อนออกเดินทางจากลั่วหงกลับเมืองหลวง ทว่า หญิงสาวยังไม่เข้าใจสาเหตุอยู่ดี
เมื่อถูกถามเช่นนี้หลู่จิ่นเสียนจึงเงยหน้ามองไปทางบิดาทันที เขาเห็นบิดานั่งจิบชาด้วยท่าทีปกติ ไม่มีวี่แววว่าจะช่วยไป๋จิ่นจื้อปกปิดเลยสักนิด เขาจึงกล่าวเสียงเบา “เดิมทีเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ทว่า ตอนที่เกาอี้จวิ้นจู่ดูแลควบคุมเมืองหาน นางเห็นเชื้อพระวงศ์เก่าที่มอบสมบัติทั้งหมดให้ราชสำนักเพื่อเอาตัวรอดแล้วลอบขนกล่องสมบัติขนาดเล็กใหญ่หลายกล่องขณะเดินทางออกจากเมืองหานพ่ะย่ะค่ะ เกาอี้จวิ้นจู่สั่งให้คนขวางเอาไว้และจับกุมตัวเชื้อพระวงศ์เหล่านั้นไปขังคุกทั้งหมด เชื้อพระวงศ์คนอื่นต่างหวาดกลัวจึงก่อความวุ่นวายขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ ทว่า โชคดีที่ปราบความวุ่นวายได้อย่างรวดเร็ว เกาอี้จวิ้นจู่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ตอนที่เกาอี้จวิ้นจู่ให้คนส่งเสบียงและทรัพย์สินจากต้าเหลียงกลับมายังเมืองหลวง คนที่รับผิดชอบกล่าวว่าเกาอี้จวิ้นจู่ไม่เป็นอันใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ใจของไป๋ชิงเหยียนกระตุกวูบทันทีที่ได้ยินว่าเสี่ยวซื่อได้รับบาดเจ็บ
ไป๋จิ่นจื้อคือเด็กที่มักจะรายงานแต่เรื่องดี ทว่า เก็บเรื่องไม่ดีเอาไว้ในใจเช่นเดียวกัน ได้รับบาดเจ็บแล้วหายดีแล้วอย่างนั้นหรือ นางไม่เชื่อ…
เมื่อนางกลับมาจากเมืองหาน ไป๋จิ่นจื้อคือคนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหาน ไช่จื่อหยวนและจ้าวเซิ่งก็คงห้ามไป๋จิ่นจื้อไว้ไม่อยู่
ก่อนหน้านี้เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เสี่ยวซื่อเป็นคนเดียวที่นางไว้ใจมากที่สุด นางจึงปล่อยเสี่ยวซื่อไว้ที่นั่น ทว่า บัดนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปฏิรูปการปกครองระบอบใหม่ เสี่ยวซื่อเป็นคนวู่วาม คงจะปล่อยนางไว้ที่เมืองหานต่อไปไม่ได้แล้ว
ในสายตาของไป๋ชิงเหยียน ผู้ที่สามารถรับหน้าที่นี้ได้มีเพียงไป๋จิ่นซิ่วและไป๋จิ่นถง
ทว่า บัดนี้ไป๋จิ่นถงอยู่ไกลถึงซีเหลียง ไป๋จิ่นซิ่วยิ่งไม่อาจแยกจากวั่งเกอไปนานๆ ได้ ต่อให้หลังจากเสร็จพิธีบรมราชาภิเษกนางจะให้ไป๋จิ่นซิ่วและฉินหล่างเดินทางไปเมืองหานด้วยกัน ทว่า วั่งเกอยังเด็กคงเดินทางไกลเช่นนั้นไม่ไหว
เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าใช้ความคิด หลู่จิ้นก็เดาได้ทันทีว่าไป๋ชิงเหยียนคิดที่จะเปลี่ยนตัวเกาอี้จวิ้นจู่กลับมา เกาอี้จวิ้นจู่นิสัยค่อนข้างวู่วาม หากปล่อยให้นางอยู่ที่เมืองหานต่อแล้วถูกคนหลอกใช้ เกรงว่าคงไม่ส่งผลดีต่อการปฏิรูปการปกครองระบอบใหม่แน่
หลังจากผ่านเหตุการณ์กบฏของเหลียงอ๋องมา ไป๋จิ่นซิ่วเก่งกาจกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก ทว่า หญิงสาวดูอ่อนโยนและบอบบาง แม้จะรู้ว่านางเก่ง ทว่า ความสามารถของนางถูกจำกัดอยู่แต่ในเรือนหลังเท่านั้น
หากไม่ถึงช่วงเวลาสำคัญ หากไม่ถึงช่วงเวลาที่เกิดสงคราม ทุกคนคงลืมไปแล้วว่าไป๋จิ่นซิ่วคือสตรีที่เก่งกาจทั้งการออกรบและการวางแผนของตระกูลไป๋เช่นเดียวกัน
“กระหม่อมคิดว่าฮูหยินฉินสามารถรับหน้าที่นี้ได้พ่ะย่ะค่ะ แม้ฉินหล่างจะไม่มีวิธีที่เด็ดขาดและดุดัน ทว่า เขาพอจะรับมือได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทสามารถส่งฉินหล่างและฮูหยินฉินไปที่เมืองหานได้พ่ะย่ะค่ะ” หลู่จิ้นกล่าวขึ้น “เช่นนี้สามีภรรยาจะได้ไม่ต้องแยกจากกัน ที่สำคัญคำสั่งนี้ถือเป็นการปูทางสำหรับวันข้างหน้าหากฝ่าบาททรงอยากให้สตรีมีบทบาทในราชสำนักพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้ามองหลู่จิ่น หลู่จิ้นใจตรงกับไป๋ชิงเหยียนมากราวกับเป็นแมลงที่อยู่ในท้องของนาง
“เรื่องนี้ค่อยปรึกษากันภายหลัง” ไป๋ชิงเหยียนต้องถามความเห็นของไป๋จิ่นซิ่ว ฉินหล่างและท่านอาสะใภ้รองก่อน หญิงสาวเปลี่ยนมาถามเรื่องพิธีบรมราชาภิเษก “แคว้นต้าโจวสถาปนาขึ้น เมื่อพิธีขึ้นครองราชย์ในครั้งเสร็จสิ้นลง จงประกาศต่อใต้หล้าว่าเราจะมีการจัดสอบขุนนางเพื่อคัดเลือกคนมีความสามารถรุ่นใหม่ ราชสำนักเตรียมเปิดสำนักศึกษาให้ทั่วต้าโจว สตรี…สามารถร่ำเรียนและสอบเข้ารับราชการได้”
หลู่เซียงตั้งสติมั่นขึ้นทันที หลังจากปฏิรูปการปกครองไป๋ชิงเหยียนจะยกฐานะของสตรีให้สูงขึ้นจริงๆ ด้วย
ในฐานะบุรุษที่สติปัญญาโดดเด่นเหนือผู้อื่นในรุ่นเดียวกันหลู่เซียงย่อมไม่มีทางคิดว่าการอนุญาตให้สตรีร่ำเรียนและสอบคัดเลือกขุนนางจะส่งผลเสียต่อบุรุษ สตรีเช่นไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ด้อยไปกว่าบุรุษแต่อย่างใด มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่ยอมสวามิภักดิ์กับนางอย่างเต็มใจเช่นนี้
แม้แต่หลานสาวของหลู่เซียง หากไม่ใช่เพราะพวกนางร่ำเรียนในสำนักศึกษาของตระกูลมาบ้าง ต่อมาเพราะบุรุษต้องสอบคัดเลือกขุนนาง หลู่เซียงจึงให้พวกนางร่ำเรียนอยู่กับสตรีในเรือนเท่านั้น หลู่เซียงกล้ากล่าวว่าหลานสาวของเขาต้องเก่งไม่แพ้หลานชายทั้งสองของเขาแน่นอน
ทว่า หลู่เซียงคิดเช่นนี้ไม่ได้แปลว่าบัณฑิตทั่วใต้หล้าจะคิดเช่นเดียวกัน การอนุญาตให้สตรีได้ร่ำเรียนและสอบคัดเลือกขุนนางขัดต่อประเพณีที่มีมาช้านาน
ความคิดของไป๋ชิงเหยียนล้ำเกินไป การที่สตรีขึ้นครองราชย์ถือเป็นการสั่นคลอนความคิดที่ว่าบุรุษสูงส่งกว่าสตรีมากแล้ว หลู่เซียงคิดว่าการอนุญาตให้สตรีเข้าร่วมการสอบคัดเลือกขุนนางต้องวางแผนอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้ต้องค่อยๆ วางแผนพ่ะย่ะค่ะ” หลู่เซียงกล่าวตามความจริง “ความคิดที่ว่าบุรุษสูงส่งกว่าสตรีมีมาช้านาน หากต้องการกำจัดความคิดเหล่านี้ พวกเราต้องวางแผนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ราชโองการของฝ่าบาทอาจทำให้บัณฑิตทั่วหล้าเกิดความไม่พอใจได้พ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนวางแขนลงบนที่วางแขน พยายามตั้งสติให้มั่น จากนั้นกล่าวกับหลู่เซียง “ข้าเข้าใจความหมายของอัครมหาเสนาบดีหลู่ ทว่า ไป๋ชิงเหยียนคิดว่าเรื่องนี้จะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่ได้ หลังจากกำจัดอ๋องแห่งเมืองต่างๆ ได้แล้ว เราควรเสนอเรื่องนี้ควบคู่ไปกับการปฏิรูปการปกครองด้วยเลย ต้าโจวเพิ่งถูกสถาปนาขึ้นพวกเราต้องการคนมีความสามารถ ข้าเองก็เป็นสตรี ข้าใช้งานคนโดยไม่แบ่งแยกเพศ ผู้ที่สามารถทำประโยชน์ให้ชาวบ้านได้ล้วนเป็นคนมีความสามารถ หากบัณฑิตเหล่านั้นมีข้อกังขา ข้าจะเป็นคนตอบพวกเขาเอง!”
ไป๋ชิงเหยียนโค้งกายคำนับหลู่เซียง “ครั้งนี้ข้าอยากตัดสินใจตามความคิดของข้าเป็นหลัก หากข้าทำผิดไป หวังว่าอัครมหาเสนาบดีหลู่จะช่วยข้าด้วย”
หลู่เซียงเม้มปากแน่นอย่างไม่เห็นด้วย ทว่า ไป๋ชิงเหยียนกล่าวถึงเพียงนี้แล้ว เขาจะทำสิ่งใดได้อีก
“ฝ่าบาท เมื่อบุรุษและสตรีอายุครบเจ็ดปีต้องเรียนแยกกัน หากเปิดสำนักศึกษาให้บุรุษและสตรีเรียนรวมกันคงไม่เหมาะนักพ่ะย่ะค่ะ” หลู่เซียงอยากพยายามให้ถึงที่สุด
“หากฝ่าบาททรงต้องการเปิดสำนักศึกษาทั่วทั้งแคว้น ทรงสามารถแยกสำนักศึกษาระหว่างบุรุษและสตรีได้พ่ะย่ะค่ะ เช่นนี้สามารถแก้ไขปัญหาที่ท่านพ่อกังวลได้พ่ะย่ะค่ะ…” หลู่จิ่นเสียนคิดหาวิธีอย่างตั้งใจ เขาขมวดคิ้วแน่นจนไม่ได้สังเกตแววตาที่บิดามองมาทางเขา