บทที่ 939 หมั่นเยว่จิ่ว

บทที่ 939 หมั่นเยว่จิ่ว*[1]

ออกเรือนไวสักหน่อย หลังจากนี้เวลากลับมาบ้านก็จะเป็นแขกแล้ว แต่กับลูกสะใภ้ที่บ้านมันน่าอับอายที่จะพูดใช่ไหมล่ะ?

เขาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ของหมู่บ้านมาชั่วชีวิต ถือได้ว่ามีหน้ามีตากับเขาบ้าง

แต่ไม่คิดเลยว่าพออายุมากขึ้น กลับโดนลูกสะใภ้ทำให้อับอายขายขี้หน้า

สองปีที่ผ่านมาเจ้าตัวทำเรื่องอุกอาจอยู่ตลอด ส่วนลูกชายก็ไม่ออกมารับหน้าสักนิด ที่จริงไม่สนด้วยซ้ำว่าเมียตัวเองจะทำอะไร

เพื่อให้บ้านพวกเขาอยู่อย่างปลอดภัย ทั้งสองคนจึงแบ่งเงินที่มีในบ้านแยกกัน

ถ้าไม่ได้ลูกสาวที่คอยกตัญญู เขาคิดว่าชีวิตก็คงไร้ความหมาย

ตอนนี้สิ่งเดียวที่คิดอยู่ในใจคือเก็บเงินไว้เป็นสินสอดให้ลูกสาว

ส่วนพี่ชายเธออีกสองคนเขาไม่นับเป็นลูกแล้ว

คาดว่าถ้าต้องเดินทางไปเมืองหลวง เงินที่เก็บไว้คงจะหมดเหมือนกัน

ช่างเถอะ ไว้หมดค่อยว่ากัน

ยังดีที่ลูกมีงานทำ เลยยังพอมีหน้ามีตาอยู่บ้าง

“หนูรู้แล้วน่า จบฝึกอบรบเดี๋ยวจะหาให้นะ”

ว่าไปแล้ว ด้วยอายุของตนก็ควรหาสามีได้แล้วละ

แต่ใจจริงเธอไม่อยากเท่าไรไง

ซูฉางจิ่วรู้ดี แม้ลูกจะดูเป็นเด็กหัวอ่อน แต่ก็รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่เสมอ พูดไปก็ไม่ช่วยอะไร

เพราะงั้นก็เลยไม่ได้พูดต่อ

ตกเย็น นอกจากหลี่จู้จื่อจะมาหาที่บ้านแล้ว ยังมีชาวบ้านเอาข้าวของมาให้และรบกวนซูฉางจิ่วฝากส่งให้คนบ้านซูที่เมืองหลวงด้วย

เขาจดรายการข้าวของที่ชาวบ้านเอามาให้ ยืนคุยอยู่พักหนึ่งแล้วแยกย้ายกันกลับ

ขณะที่ฝั่งนี้กำลังเตรียมตัวเดินทาง ฝั่งบ้านซูก็กำลังเตรียมงานเลี้ยงลูกอายุครบเดือนให้กับเหลนคนแรกอยู่

คุณปู่คุณย่ามีความสุขมากที่สมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้น

ลูกคนแรกถือเป็นเรื่องสำคัญ

ผู้อาวุโสทั้งสองเคยตกลงกันไว้แล้วว่าจะจัดงานเลี้ยงครบเดือนให้เหลนที่หออีหมิง

ส่วนสมัยลูกหลานไม่ได้จัดให้เพราะฐานะบ้านเราในตอนนั้นไม่ดี

แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ฐานะบ้านเราดีขึ้น จะต้องไม่ให้เหลนจ้ำม้ำคนโตต้องเสียใจ

บ้านเสิ่นจื่อเจินรู้ข่าว จึงคุยกับลูกเขยว่าจะจัดร่วมกันด้วยหรือเปล่า

ฮั่วซือเหนียนถามพ่อแม่แล้ว พอรู้ว่าพวกท่านคงไม่ได้กลับมาก็เลยตอบตกลงแทน

ทีแรกพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะจัดยิ่งใหญ่หรอก แค่ร่วมกินข้าวกับคนสนิทก็พอ

แต่ในเมื่อบ้านซูจะจัดงานพวกเขาก็เลยร่วมด้วย

ด้วยเหตุนี้ งานเลี้ยงครบเดือนของซูจื่อเล่อและฮั่วชิงหงจึงจัดขึ้นด้วยกัน

หลังจากลูกเกิด ฮั่วซือเหนียนบอกให้พ่อแม่รู้วันเกิดของลูกทันที

ฝ่ายพ่อแม่หาคนมาทำนายชะตาให้หลานชาย ก่อนจะพบว่าเขาขาดธาตุน้ำจึงตั้งชื่อให้ว่าฮั่วชิงหง*[2]

แต่ฮั่วซือเหนียนรู้สึกว่าชื่อชิงหงออกเสียงยากไปหน่อย เลยตั้งชื่อเล่นให้ว่า ‘เทียนเทียน’

ตอนที่คุณย่าซูรู้ ท่านถึงกับยิ้มเลยว่าชื่อเด็กสองคนนี้ถ้าเอามารวมกันจะต้องมีความสุขทุกวันแน่ ๆ*[3]

อนาคตพวกเขาจะเป็นพี่น้องที่ดีที่สุดแน่นอน

พวกผู้ใหญ่กำลังวุ่นวายกับการจัดงานเลี้ยงให้เด็ก ๆ

ตระกูลซูมีสหายสนิทไม่กี่คนเท่านั้น คุณปู่ซูจึงส่งคำเชิญให้หลาน ๆ ไว้ล่วงหน้า

ส่วนคนอื่น ๆ ที่สนิทกันก็เป็นอาจารย์และเพื่อนของหลานชาย

ฮั่วซือเหนียนและเสิ่นจื่อเจินเชิญคนรู้จักมาด้วย แต่ไม่ได้มากมายอะไร คนที่สองพ่อตาและลูกเขยเชิญมาร่วมมีไม่ถึงสามโต๊ะด้วยซ้ำ

หลังจากจัดแจงเสร็จเรียบร้อยก็มีคนมาร่วมโต๊ะ โต๊ะละสิบคน

เสี่ยวเถียนเตือนปู่ย่าให้เตรียมอาหารเพิ่มอีกสองโต๊ะ เผื่อคนอื่นมาอีกแล้วไม่มีที่นั่งจะทำยังไง

ทีแรกชายชรารู้สึกว่าหลานคิดเยอะไป แต่คิด ๆ ดูอีกทีเขาเริ่มไม่มั่นใจ

ยากจะบอกว่าฝั่งต่งหยวนจงจะไม่มาน่ะสิ

พริบตาเดียวก็ถึงวันก่อนจัดงาน

หลินหลินกินดีอยู่ดี นอนหลับสบายตลอดการอยู่เดือน พลังกำลังฟื้นฟูเต็มที่สภาพดีกว่าก่อนคลอดเสียอีก

คงเพราะน้ำหนักขึ้นร่างกายจึงดูอวบอิ่มขึ้น

คนที่บ้านกลับบอกว่าเจ้าตัวเพิ่งคลอด ไม่อยากให้ร่างกายเหนื่อยสะสม

“เดี๋ยวแม่อุ้มหลานเอง หนูไปนั่งเถอะ ตอนนี้แข็งแรงดี เกิดเหนื่อยขึ้นมาจะทรมานเอานะ”

หวังเซียงฮวาเห็นลูกสะใภ้อุ้มลูกออกมาก็รีบรับเด็กไปอุ้มเอง

หลินหลินยิ้ม

“แม่สามีเขาพูดถูกนะ ดูแลตัวเองก่อนเถอะ ย่าเขายังบอกอยู่เลยว่าต้องอยู่เดือนสี่สิบสองวันขึ้นไปถึงจะดีนะ”

“สมัยหม่านซิ่วอยู่เดือนฐานะบ้านเราไม่ค่อยดีไง แต่ตอนนี้ดีขึ้นเยอะแล้วน่ะ” คุณย่าเอ่ยด้วยความตื้นตันใจ

“เทียบกับบ้านอื่นที่ต้องไปทำงานในทุ่งหลังคลอด บ้านเราถือว่าดีมากเลยนะคะ” เหลียงซิ่วยิ้ม

สมัยที่ยังไม่มีเงิน แม่สามีท่านเป็นคนเอาใจใส่มาก สามีเองก็ใช้ได้ พวกเราสามสะใภ้จึงไม่เคยต้องทุกข์ทนระหว่างอยู่เดือนเลย

คงเพราะเหตุการณ์เหล่านั้นแหละ จึงทำให้ความสัมพันธ์แม่สามีและลูกสะใภ้ดีมาก

“จริงค่ะแม่ น้องสะใภ้สามพูดถูกนะ” หวังเซียงฮวาตอบแล้วหยอกเล่นกับหลานชาย

ตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น

เหล่าซานรีบออกไปเปิด ส่วนคุณย่าซู หวังเซียวฮวากับหลานชาย และหลินหลินเข้าบ้านแทน

ตอนนั้นเองที่เขาเปิดประตูไปเจอครอบครัวของพี่รอง

ข้างหลังมีคนอื่น ๆ ตามมาด้วย ทั้งหลี่จู้จื่อกับภรรยา ซูฉางจิ่วกับลูกสาว

กลุ่มคนประมาณหกเจ็ดคนยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า

“พี่รองพี่สะใภ้ หัวหน้าซู จู้จื่อ น้องสะใภ้ด้วย เสี่ยวเฉ่าอีก มาได้ยังไงกันครับ?” เหล่าซานตกใจมาก

ไม่เห็นบอกกันก่อนเลยว่าจะมาหา?

“หลานชายพี่เกิดทั้งที ในฐานะที่เป็นย่ารองก็ต้องมาหาหรือเปล่า?” ฉีเหลียงอิงมองน้องสามีโกรธ ๆ จากนั้นก็หิ้วกระเป๋าเข้ามา

ตอนนั้นเองที่เหล่าซานนึกได้ว่าควรจะต้อนรับแขก

คุณปู่คุณย่าซูตกใจตอนเห็นผู้มาใหม่

“มาได้ยังไงกันเนี่ย? พวกลูกมาแล้วธุรกิจล่ะ?”

“ผมจ้างคนมาดูแลร้านแทนครับ สองสามวันไม่เป็นปัญหาเลย” หลี่จู้จื่อยิ้ม “งานมงคลแบบนี้ ผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ จะไม่มาได้ยังไงกันครับ?”

เมื่อพูดถึงเด็ก ๆ หญิงชราก็มีความสุขมาก ส่วนคนที่เพิ่งเดินทางมาแค่ดูเฉย ๆ เพราะทารกยังอ่อนมาก

ตามธรรมเนียมบ้านเกิดคือต้องนั่งสักพักแล้วค่อยไปล้างมือ ถึงจะดูค่าหน้าค่าตาทารกได้ จะได้ไม่เอาสิ่งสกปรกเข้าบ้าน

ทารกร่างกายอ่อนแอ หวาดกลัวได้ง่ายจำต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง

ทุกคนเป็นผู้ใหญ่กันหมดจึงไม่ได้มุ่งดูเด็ก ๆ สิ่งแรกที่ทำคือถามไถ่สุขภาพคุณปู่คุณย่าซู

จากนั้นเหลียงซิ่วก็เดินเข้ามาพร้อมจานสีแดงที่มีบะหมี่มะเขือเทศผัดไข่

เส้นหมี่ขาว มะเขือเทศสีแดงสด และปวยเล้งสีเขียวชวนน้ำลายสอมาก

หญิงชราให้ทุกคนไปล้างมือก่อนมากินข้าว ก่อนจะบอกว่ากินเสร็จค่อยไปดูเด็ก ๆ ได้

“ผมหิวมากเลยครับคุณป้า” ซูฉางจิ่วไม่สุภาพอีกต่อไป เขาเดินไปล้างมือ

หลังจากการเดินทางอันยาวนาน เขาทั้งเหนื่อยทั้งหิว พอเห็นบะหมี่มะเขือเทศผัดไข่ร้อน ๆ ท้องเอาแต่ร้องจ๊อก ๆ ไม่หยุด

[1] หมั่นเยว่จิ่ว คือสุราที่จะดื่มในพิธีฉลองครบเดือนของทารก

[2] เป็นทฤษฏีเบญจธาตุ ใช้อธิบายถึงการก่อให้เกิดและลบล้างของสรรพสิ่ง หยินหยางจะควบคุมและเป็นส่วนประกอบของสรรพสิ่งในจักรวาล ซึ่งประกอบด้วยธาตุทั้งห้าคือ ธาตุไม้ ไฟ ดิน ทอง และน้ำ ส่วนฮั่วชิงหง (霍清泓) คำว่า ชิงหง ในชื่อแปลว่า คลื่นน้ำ หรือกระแสน้ำ

[3] ซูจื่อเล่อ คำว่าเล่อในชื่อแปลว่า ความสุข ส่วนชื่อเล่นเทียนเทียนของฮั่วชิงหงแปลว่าทุกวัน เมื่อเอามารวมกันจะแปลว่า มีความสุขทุกวัน