บทที่ 976 ตาแดงก่ำ

ไม่จริงใจเลย!

เหตุใดถึงไม่บอกว่าเป็นของตนเล่า พะวงเรื่องศักดิ์ศรีหรือมีเจตนาอื่นกันแน่

หานเจวี๋ยค่อนขอดในใจ แต่ฉากหน้ายังคงรับฟังต่อ

เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลกล่าวว่า “เหนือยอดมหามรรคขึ้นไปก็คือผู้สร้างมรรคา ทำเช่นใดถึงจะพิสูจน์ผู้สร้างมรรคาได้น่ะหรือ นั่นคือการสร้างโลกมหามรรคขึ้น ฟ้าบุพกาลคือโลกมหามรรคแห่งแรก มหามรรคสามพันวิถีเชื่อมโยงเป็นโลกมรรคา ในทุกโลกมหามรรคล้วนมีมหามรรคสามพันวิถีอยู่ สร้างพื้นฐานกฎเกณฑ์ขึ้นมาด้วยตัวเอง

“แต่หากมีฟ้าบุพกาลอยู่ เจ้าไม่มีทางทำสำเร็จ

“เว้นแต่เจ้าจะยินดีให้โลกมหามรรคของเจ้ากลายเป็นโลกในสังกัดของฟ้าบุพกาล ข้าคอยสังเกตการณ์เจ้า เจ้าพูดอยู่ปาวๆ ว่าไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนยุ่งยาก แต่เจ้าต้องการจะเป็นเอกเทศอย่างแท้จริง

“การเป็นเอกเทศหลุดพ้นความจริงก็คือแข็งแกร่งทรงอำนาจ สิ่งที่ตัวเจ้ายึดมั่นแสวงหาก็คืออำนาจแข็งแกร่ง”

ดวงตาทั้งแปดของเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลจ้องจนหานเจวี๋ยรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย

นี่คือแผนร้าย นี่คือการยกยอเขาให้ลำพอง ต้อนเขาให้กลายเป็นศัตรูกับเจ้านวฟ้าบุพกาล

หานเจวี๋ยเอ่ยไปว่า “ท่านเทพกล่าวเกินไปแล้ว ข้าไม่เคยข่มเหงผู้ใด จะนับว่าวางอำนาจได้อย่างไร”

เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าเตรียมจะยอมสยบต่อเจ้านวฟ้าบุพกาลเช่นนั้นหรือ”

หานเจวี๋ยตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่ใช่ศัตรูกัน ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีความคิดจะสร้างโลกมหามรรคขึ้นเลย”

เขาไม่มีทางพูดออกไปอย่างเด็ดขาดชัดเจน เลี่ยงไม่ให้ล่วงเกินเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลเข้า

ถึงอย่างไรก็ถ่วงเวลาไปก่อนแล้วก่อน ให้เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลไปคาดเดาเอา

“ไม่เอ่ยถึงเรื่องผู้สร้างมรรคาแล้ว แม้ว่าเจ้าจะมีโอกาสวาสนา หากก็ยากจะสำเร็จเป็นผู้สร้างได้ภายในระยะเวลาล้านล้านปี ที่มาหาเจ้าในครั้งนี้ก็เพราะอยากคุยเรื่องโลกมหามรรคอวิชชากับเจ้า

“เดิมทีโลกมหามรรคอวิชชาก็มีสิ่งมีชีวิตมากมาย หลังจากฟ้าบุพกาลเข้าสะกด สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ไม่สามารถไปยังฟ้าบุพกาลได้ อีกทั้งไร้ซึ่งพลังวิญญาณ พวกที่รอดชีวิตมาได้ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดาที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพลังวิญญาณเพื่ออยู่รอด พอผ่านไปนานเข้าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถูกความริษยาเคียดแค้นเข้าครอบงำจิตใจ พวกเขาแค้นเคืองในฟ้าบุพกาล

“เบื้องหน้าฟ้าบุพกาลอยู่สูงเหนือกว่าโลกมหามรรคอวิชชา พวกเขาไม่สามารถเข้าสู่ฟ้าบุพกาลได้ แต่พวกเขาพบวิธีที่จะเปลี่ยนแปลงให้แข็งแกร่งขึ้น หากเป็นเช่นนี้นานเข้าเกรงว่าคงกลายเป็นภัยคุกคามฟ้าบุพกาล”

คำพูดของเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลทำให้หานเจวี๋ยเลิกคิ้วแล้ว

หลุมพราง!

โลกมหามรรคอวิชชาก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ

เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลไม่ยอมเผยเรื่องนี้เลย หานเจวี๋ยไม่มีทางเชื่อคำพูดของเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาล

เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลกล่าวว่า “ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะมุ่งหน้าไปที่เผยแผ่ธรรมแก่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ หากว่าไม่สำเร็จ เพื่อระเบียบของฟ้าบุพกาลก็สังหารปราบปรามวิญญาณร้ายในโลกมหามรรคอวิชชาเถิด”

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ทวยเทพได้บอกกล่าวต่อผู้ใดอีกหรือไม่”

“เจ้าคือสุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งฟ้าบุพกาล ข้าจะมอบหมายให้แก่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น ส่วนจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร เจ้าพิจารณาจัดแจงเอาเองเถิด”

พอเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลพูดจบ ซากศพรอบข้างพลันระเบิดออก แดนความฝันสิ้นสุดลง

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น

เจ้าตัวดี!

แผนสูงนัก!

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ไม่ทราบว่าโลกมหามรรคอวิชชาเป็นของเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาล หลังจากฟังเรื่องนี้จบต้องตื่นเต้นเป็นแน่ คิดว่าตัวเองได้รับการยอมรับจากทวยเทพฟ้าบุพกาล ได้รับอำนาจภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่

แต่หานเจวี๋ยรู้ดีว่านี่คือกับดักขนาดใหญ่ ไม่มีทางยอมก้าวลงไปเด็ดขาด

‘เจ้าบอกว่าหากข้าจะฝ่าทะลวงได้ต้องใช้เวลานับล้านล้านปีอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นข้าจะรอไปอีกสักร้อยปีแล้วค่อยจัดการ’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ รู้สึกว่าเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลน่าจะไม่รีบร้อนเช่นกัน

สำหรับผู้สร้างมรรคาแล้วเวลาผ่านไปเร็วยิ่ง ล้านปีเหมือนพริบตาเดียวไม่ควรค่าให้กล่าวถึงเลย

จากนั้นหานเจวี๋ยก็ไม่คิดมากอีก ไม่ช้าก็เข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญ

หานหลิงยังคงเล่นหยกชาดจันทร์ครึ่งเสี้ยวอยู่ ชอบจนไม่ยอมวาง ทำตัวเหมือนเด็กสาวๆ อย่างหาได้ยากนัก

….

ณ ดินแดนดวงจิต

เทพมหาทัณฑ์พินิจดูห้าเทวทัณฑ์ที่อยู่เบื้องหน้า สีหน้าพึงพอใจ

อี๋เทียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านเทพ สรุปแล้วงานชุมนุมฟ้าบุพกาลจะแข่งขันกันอย่างไรขอรับ หากสู้กันแบบตัวต่อตัว ตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุคคงตกเป็นของคนนอกแน่”

เทวทัณฑ์ที่เหลือก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

พวกเขาเคยหารือกันแบบส่วนตัวมาก่อน คิดว่าเทพมหาทัณฑ์คงยอมศิโรราบต่อหานเจวี๋ยไปแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่เรียกพวกเขากลับมาอีกครั้ง

ครั้งนั้นที่ดวงจิตบรรพกาลปรากฏตัวขึ้น พวกเขาเกือบถูกดวงจิตบรรพกาลกำจัดทิ้ง

หากยอมจับมือกันเพื่อสร้างสันติเท่านั้น อย่างมากก็คงเก็บพวกเขาไว้ในตำแหน่งเทวทัณฑ์เท่านั้น ไหนเลยจะทุ่มเทชุบเลี้ยงพวกเขาอย่างสุดกำลังเช่นนี้

แปลว่าทุกคนเป็นคนกันเองแล้ว!

เทพมหาทัณฑ์ยิ้มพลางกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าหารือกับอริยะสวรรค์เกรียงไกรแล้ว หานฮวงคนนี้ไม่อาจหยุดยั้งเขาได้จริงๆ แต่พวกเจ้าจำเป็นต้องเข้าสู่ตำแหน่งสิบยอดฟ้าบุพกาลให้ได้

“สิบยอดฟ้าบุพกาลไม่มีปัญหาแน่นอน พวกเราทำได้แน่!”

อี๋เทียนเอ่ยอย่างทะนงตน มั่นใจอย่างยิ่ง

หานทั่วกลอกตาเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “อย่าพูดเหลวไหล ข้าสงสัยว่าในสังกัดของท่านพ่อข้าจะยังมีอัจฉริยะอยู่อีกไม่น้อยเลย”

พออี๋เทียนได้ฟังรอยยิ้มก็แข็งทื่อไป

เทพมหาทัณฑ์หัวเราะแล้วกล่าวว่า “อย่าเอาแต่สนใจคนในสังกัดอริยะสวรรค์เกรียงไกรเลย สำนักซ่อนเร้นรากฐานแน่นหนา แต่ในฟ้าบุพกาลยังมีบุตรแห่งสวรรค์คนอื่นๆ ด้วย ในช่วงล้านปีมานี้มีตัวตนเลิศล้ำน่าตะลึงปรากฏตัวขึ้นไม่น้อยเลย ยังมีบุตรแห่งสวรรค์ที่ปิดด่านมาตลอดก็เริ่มออกมาสร้างชื่อแล้ว งานชุมนุมฟ้าบุพกาลต้องมีสีสันมากแน่ พวกเจ้าไม่อาจประมาทได้ ฉวยโอกาสในช่วงสี่ล้านปีสุดท้ายเร่งมานะฝึกบำเพ็ญเข้าเถิด”

เขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “พวกเจ้ารู้ถึงกฎเกณฑ์สูงสุดแล้ว แต่ยังไม่ทราบถึงอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคกระมัง เทพมารฟ้าบุพกาลครอบครองพลังแห่งมหามรรคไว้ แต่พลังแห่งกฎเกณฑ์สูงสุดก็คืออำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค เทียบเท่ากับอยู่เหนือเทพมารฟ้าบุพกาล ตอนนี้อำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคมีอยู่เพียงเจ็ดสาย ข้าได้รับมาหนึ่งสาย ผู้ครองตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุคจะได้รับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคหนึ่งสายไป

“นี่คือเส้นทางลัดที่สุดที่จะทำให้พวกเจ้าก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด! โอกาสวาสนาระดับนี้ตัวข้าในอดีตก็ไม่เคยคาดคิดเลยเช่นกัน!”

ห้าเทวทัณฑ์เบิกตากว้าง ลมหายใจของทุกคนถี่กระชั้นขึ้นมา

แม้แต่หานทั่วเองก็เช่นกัน!

อำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค!

เทพมหาทัณฑ์เอ่ยต่อไปว่า “ข้าจะเริ่มใช้อำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคผลักดันสร้างกระแส แต่รางวัลนี้ไม่อาจประกาศออกไปล่วงหน้าได้ เมื่อตัดสินผลผู้ครองตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุคแล้วถึงจะประกาศให้สรรพสิ่งทราบ ดังนั้น ข้อมูลกลายเป็นจุดได้เปรียบของพวกเจ้าที่มีฐานะเป็นเทวทัณฑ์”

อี๋เทียนสบถออกมาว่า “เยี่ยมเลย! เจ้าหนูหานฮวงเอ๋ย ขออภัยด้วย ตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุคพี่ชายบุญธรรมยกให้ไม่ได้แล้ว!”

หานทั่วเอ่ยเนิบๆ “เมื่อไม่นานมานี้น้องรองเพิ่งพิสูจน์ยอดมหามรรคสำเร็จ”

ดวงตาอี๋เทียนแดงก่ำ ถลึงตามองหานทั่วพร้อมเอ่ยว่า “เจ้าจะยอมปล่อยไปหรือ”

หานทั่วเงียบไป

เรื่องเช่นนี้จะยอมปล่อยไปได้เช่นไร!

อำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคเชียวนะ โชควาสนาสูงสุดที่นำพาไปจุดสูงสุดแห่งฟ้าบุพกาล อยู่เหนือมหามรรคสามพันวิถี

สามเทวทัณฑ์เหลือก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน

เทพมหาทัณฑ์ยิ้มนิดๆ จากนั้นจึงเลือนหายไป

ช่วงหลังจากนี้ไป งานชุมนุมฟ้าบุพกาลกลายเป็นจุดสนใจของทั่วทั้งฟ้าบุพกาล กลุ่มอิทธิพลต่างๆ เริ่มผลักดันสร้างชื่อให้บุตรแห่งสวรรค์ที่ตนบ่มเพาะอย่างเต็มที่

วังสวรรค์เองก็เป็นเช่นนี้ หานฮวงยังคงเป็นดวงดาวที่เจิดจรัสที่สุด

แต่มีบุตรแห่งสวรรค์มากมายที่ไม่ยอมแพ้หานฮวง

บุตรแห่งสวรรค์ล้วนเป็นเช่นนี้ ต่างคิดว่าตนเลิศล้ำไร้พ่ายทั้งสิ้น คิดว่าตนเป็นคนที่มีคุณสมบัติเลิศล้ำที่สุด!

อย่าว่าแต่ฟ้าบุพกาลเลย ในมรรคาสวรรค์ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

อย่างเช่นชิงเทียนเสวียนจี อย่างเช่นจ้าวซวงเฉวียน

ชิงเทียนเสวียนจีคือตัวหมากของเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาล เรื่องคุณสมบัติไม่ต้องกล่าวถึงเลย จ้าวเซวียนหยวนยิ่งเลิศล้ำกว่า เป็นเจ้าอัษฎาฟ้าบุพกาลกลับชาติมาเกิด ทั้งสองมักจะประชันกันอยู่เสมอ เพียงแต่ชิงเทียนเสวียนจีฝึกบำเพ็ญมานานกว่า ข่มจ้าวซวงเฉวียนไว้ได้ตลอด

แต่อริยะมรรคาสวรรค์บ่มเพาะทั้งสองคนอย่างยุติธรรมเท่าเทียม พวกเขาต้องการอะไรก็จะทุ่มเทเติมเต็มให้

วันนี้เอง

ภายในตำหนักของซูฉี จ้าวซวงเฉวียนกำลังบอกเล่าถึงกิตติศัพท์การต่อสู้ในช่วงนี้ของตนด้วยความตื่นเต้น สีหน้าเบิกบาน

จ้าวซวงเฉวียนและชิงเทียนเสวียนจีมักจะออกไปท่องฟ้าบุพกาลเป็นครั้งคราว และสร้างชื่อเสียงของตนให้แพร่ไปในฟ้าบุพกาล

หลังจากซูฉีฟังจบก็เอ่ยอย่างจนใจว่า “ไยเจ้าต้องทำตัวบ้าระห่ำ โอหังไร้กริ่งเกรงเช่นเดียวกับชิงเทียนเสวียนจีด้วยเล่า เจ้าทำเช่นนี้จะเสียเปรียบในไม่ช้าก็เร็ว”

………………………………………………………………