บทที่ 977 โชควาสนายิ่งใหญ่ เทวาที่หนึ่ง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 977 โชควาสนายิ่งใหญ่ เทวาที่หนึ่ง

“ข้าแตกต่างกับชิงเทียนเสวียนจีนะขอรับ เขาเป็นเพียงคนขี้ขลาดที่ทำตัวโอหัง ไม่กล้าลงมือสังหารง่ายๆ เป็นตัวโง่เง่าที่สร้างความอับอายให้ผู้อื่นแล้วปล่อยให้คนเขารอดชีวิตไป ไม่ช้าก็เร็วต้องพลาดท่าอย่างไม่อาจย้อนหวนแน่ แต่ข้าไม่เหมือนเขา ข้าบ้าคลั่งกับคู่ต่อสู้ของข้าเท่านั้น หากไร้บ่วงกรรมข้าล้วนคร้านจะไปยุ่งเกี่ยว”

จ้าวซวงเฉวียนแค่นเสียงเอ่ย สีหน้าเหยียดหยาม

สำหรับบุญคุณความแค้นระหว่างชิงเทียนเสวียนจีและจ้าวซวงเฉวียน ซูฉีได้แต่ยิ้มอย่างจนปัญญา

การแก่งแย่งชิงดีทั้งในทางลับทางแจ้งของสองบุตรแห่งสวรรค์ล้วนมิใช่ความลับสำหรับทั่วทั้งมรรคาสวรรค์ แต่โชคดีที่พวกเขาเพียงต่อปากต่อคำกันเท่านั้น ชิงดีชิงเด่นเอาชนะ ไม่ได้วางแผนมุ่งเอาชีวิตอีกฝ่าย พวกเขาก็นับว่าสนิทสนมใกล้ชิดกันดี ทั้งสองล้วนไม่มีสหายใกล้ชิด นับว่าติดต่อใกล้ชิดกันมากที่สุดในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน ในมุมมองของเหล่าอริยะ นี่คือนับเป็นสหายสนิทแล้ว

ซูฉีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข่าวลือของงานชุมนุมฟ้าบุพกาลมีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว กลุ่มต่างๆ ในฟ้าบุพกาลล้วนกำลังสร้างชื่อเสียงอยู่ มรรคาสวรรค์เตรียมจะผลักดันเจ้าและชิงเทียนเสวียนจี แต่ตอนนี้เจ้ายังไม่มีกิตติศัพท์การต่อสู้พอให้นำไปโอ้อวด ขอบเขตความเคลื่อนไหวอยู่ในแวดวงพันธมิตรมรรคาสวรรค์มาตลอด คู่ต่อสู้เหล่านั้นที่พ่ายแพ้ต่อพวกเจ้าส่วนใหญ่ก็เห็นแก่หน้ามรรคาสวรรค์ทั้งสิ้น”

จ้าวซวงเฉวียนเงียบไป

ซูฉีกล่าวว่า “จริงสิ เคยได้ยินนามหานฮวงหรือไม่”

ดวงตาจ้าวซวงเฉวียนพลันส่องประกาย เอ่ยถามว่า “หานฮวงแห่งวังสวรรค์หรือขอรับ”

“ถูกต้อง”

“ย่อมเคยได้ยินขอรับ คนมากมายบอกว่าเขาแทบจะครองตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุคอย่างมั่นคงแล้ว เสรีแต่กำเนิด คุณสมบัติเลิศล้ำ ที่พึ่งก็ยิ่งไร้เทียมทาน”

“ฮ่าๆ เจ้าต้องเรียกเขาว่าอาจารย์อา เข้าใจหรือไม่”

“ขอรับ อาจารย์อาหาน’

จ้าวซวงเฉวียนโคลงศีรษะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เพราะได้รับอิทธิพลจากซูฉีเขาจึงเต็มไปด้วยความประทับใจในสำนักซ่อนเร้น ในมุมมองของเขา สำนักซ่อนเร้นเป็นสำนักมรรควิถีที่มีคุณธรรมแห่งหนึ่ง

นึกถึงอดีตแต่หนหลัง ซูฉีตกหลุมพรางสิ้นชีพไปเช่นนั้น หากเปลี่ยนเป็นสำนักอื่นเกรงว่าคงจะตัดขาดละทิ้งแล้ว มีเพียงสำนักซ่อนเร้นที่ไม่เป็นเช่นนั้น

อีกทั้งซูฉีได้รับการเกื้อหนุนจากอริยะสวรรค์เกรียงไกรจนกลายเป็นอริยะ ตั้งแต่เล็กจนโตจ้าวซวงเฉวียนก็ได้รับการดูแลจากเหล่าผู้อาวุโสสำนักซ่อนเร้นท่านอื่นๆ ที่เขาสามารถก้าวขึ้นมาแก่งแย่งชิงดีกับชิงเทียนเสวียนจีได้ อริยะแห่งสำนักซ่อนเร้นลงแรงไปไม่น้อยเลย

ซูฉีกล่าวว่า “หากเจ้าต้องการสร้างชื่อเสียง ข้าจะแนะนำให้เจ้าไปทำงานในสังกัดของศิษย์น้องฮวง สร้างชื่อเสียงให้ลือเลื่อง นับว่าได้อาศัยบารมีอาจารย์อาฮวงของเจ้า”

จ้าวซวงเฉวียนเงียบไป

เขามีนิสัยเย่อหยิ่งทระนง แม้ว่าจะชมชอบสำนักซ่อนเร้นยิ่งนัก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะคิดว่าตนสู้บุตรแห่งสวรรค์แห่งสำนักซ่อนเร้นไม่ได้

ซูฉีเอ่ยว่า “หากเจ้าไม่ไป ศิษย์น้องจี้จะแนะนำชิงเทียนเสวียนจีไปแทน อิทธิพลของวังสวรรค์คงน้อยเกินไป ไม่อาจช่วยให้เจ้ารุ่งโรจน์โบยบินได้”

ตอนแรกเริ่มชิงเทียนเสวียนจีอยู่ในสังกัดของจี้เซียนเสิน ภายหลังจี้เซียนเสินต้องการให้ชิงเทียนเสวียนจีกลายเป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่ได้รับการบ่มเพาะอย่างเต็มที่จากมรรคาสวรรค์ ต้องการช่วยส่งเสริมชิงเทียนเสวียนจีจึงขับออกจากสังกัดไป ด้วยเหตุนี้ชิงเทียนเสวียนจีถึงกลายเป็นบุตรแห่งสวรรค์ของมรรคาสวรรค์อย่างแท้จริง

พอได้ยินว่าชิงเทียนเสวียนจีจะไป จ้าวซวงเฉวียนเอ่ยขึ้นมาทันที “เช่นนั้นข้าจะไปขอรับ! ถือว่าไปเป็นกำลังให้อาจารย์อาฮวงสักรอบ!”

ซูฉียิ้มออกมาทันที เด็กคนนี้ทนการยั่วยุไม่ไหวเลย

“ยังไม่แน่ว่าอาจารย์อาฮวงของเจ้าจะยอมตกลงหรอกนะ”

ซูฉีส่ายหน้าหลุดหัวเราะออกมา วาจานี้เป็นความจริง ปกติแล้วเขาไม่ค่อยติดต่อกับหานฮวง ต่อให้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันแค่ไหนก็มีเหินห่างออกไป

จ้าวซวงเฉวียนยิ้มยิงฟัน หากว่าหานฮวงไม่ยอมรับเขา เช่นนั้นก็ไม่มีทางยอมรับชิงเทียนเสวียนจีแน่

ขอเพียงประโยชน์ไม่ตกไปอยู่กับชิงเทียนเสวียนจีก็พอแล้ว!

….

ณ โลกอวิชชาฟ้าบุพกาล

พวกเต้าจื้อจุนทั้งสี่เดินอยู่ในพระราชวังใต้ดินแห่งหนึ่ง ผนังอุโมงค์ทั้งสองด้านรวมถึงด้านบนล้วนฝังหินผลึกหลากสีสันไว้นับไม่ถ้วน มีลูกไฟขนาดแตกต่างกันไปล่องลอยอยู่ด้วย ทำให้ที่นี่สว่างพร่างพราว

เหล่าตานเอ่ยเตือน “ระวังหน่อย คนผู้นั้นเชิญพวกเรามาที่นี่จะต้องมีแผนการแน่นอน”

เจียงอี้แค่นเสียง “ฮึ่ม พวกเราก็คิดเช่นกัน”

ทั้งสี่เดินไปตามทางจนมาถึงหน้าทะเลสาบแห่งหนึ่ง ทะเลสาบแห่งนี้ขวางกั้นอยู่ใจกลางห้องโถงเส้นผ่านศูนย์กลางของทะเลสาบกว้างนับพันจั้ง คลื่นน้ำส่องระยับวับวาว มัจฉาโปร่งใสมากมายกระโจนแหวกว่ายในสายน้ำ สร้างความสดใสมีชีวิตชีวา

ทั้งสี่หยุดลงริมทะเลสาบ เงาร่างหนึ่งยืนอยู่อีกฝั่งของทะเลสาบ เป็นร่างขนสีขาวที่นำทางพวกเขามายังโลกมหามรรคอวิชชา

ร่างกายท่อนล่างของร่างขนสีขาวเผยออกมาแล้ว คล้ายวัวคล้ายม้า ปกคลุมด้วยขนสีดำ

จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยว่า “พวกเรามาแล้ว เจ้าคิดจะอันใด ว่ามาตามตรงเถิด”

ร่างขนสีขาวเปล่งเสียงทุ้มต่ำแหบเครือออกมา “กลายเป็นผู้ปกครองโลก ช่วยให้โลกนี้หลุดพ้นจากฟ้าบุพกาล ข้าจะช่วยให้พวกเจ้าได้ครอบครองอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค!”

พวกเต้าจื้อจุนทั้งสี่มองหน้ากัน

ร่างขนสีขาวเอ่ยต่อไปว่า “นอกเหนือจากอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคแห่งฟ้าบุพกาลแล้ว คนที่เหลือก็จะได้ครอบครองอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคแห่งโลกมหามรรคอวิชชาด้วย เดิมทีโลกมหามรรคอวิชชาก็เป็นเช่นเดียวกับฟ้าบุพกาล แต่กฎเกณฑ์สูงสุดแห่งฟ้าบุพกาลตัดแยกออกไปแล้ว ในโลกมหามรรคอวิชชาเหลือเพียงข้าที่สัมผัสถึงได้ ข้าสามารถควบคุมได้เพียงสายเดียวเท่านั้น”

เจียงอี้ขมวดคิ้วพลางกล่าวไปว่า “จะลากพวกเราให้ร่วมต่อต้านฟ้าบุพกาลไปกับเจ้าหรือ เช่นนี้มิใช่การยุงยงให้พวกเราทรยศแผ่นดินเกิดหรือไร!”

“ทุกท่านถือกำเนิดจากมรรคาสวรรค์ อันที่จริงแล้วมรรคาสวรรค์ก็เป็นเช่นเดียวกับโลกมหามรรคอวิชชา มีคุณสมบัติเฉกเช่นฟ้าบุพกาล ผสานเข้ากันไม่ได้ รอจนมรรคาสวรรค์เติบโตไปจนถึงระดับที่มั่นคงแล้ว ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเผชิญเหตุการณ์เดียวกับโลกมหามรรคอวิชชา สาเหตุที่บรรพชนเต๋าหายตัวไปก็เพื่อให้มรรคาสวรรค์รอด เหตุผลที่มรรคาสวรรค์ไม่ก้าวหน้ามาหลายสิบล้านปีก็เพราะพะวงถึงฟ้าบุพกาล”

ร่างขนสีขาวเริ่มเล่าอดีตของมรรคาสวรรค์ให้พวกเต้าจื้อจุนฟัง

เต้าจื้อจุนเหลือบมองเหล่าตานแวบหนึ่ง

เหล่าตานถ่ายทอดเสียงหา “เป็นเช่นนี้จริงๆ ข้าก็เคยฟังมาจากอาจารย์ว่ามรรคาสวรรค์ถือเป็นโลกขนาดใหญ่ที่มีระเบียบกฎเกณฑ์ครบถ้วนแห่งหนึ่งของฟ้าบุพกาล แต่สถานการณ์ของมรรคาสวรรค์ก็อย่างที่เจ้ารู้ หากมิใช่เพราะอาจารย์ของเจ้าผงาดขึ้นมา เกรงว่า…”

สีหน้าของเต้าจื้อจุนอึมครึมลง

ร่างขนขาวเอ่ยว่า “ช่วยเหลือโลกมหามรรคอวิชชาก็เท่ากับช่วยเหลือมรรคาสวรรค์ด้วย”

จ้าวเซวียนหยวนถาม “เจ้าเป็นใครกันแน่”

ร่างขนสีขาวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยตอบว่า “ข้าคือสิ่งมีชีวิตแรกแห่งโลกมหามรรคอวิชชา ทุกท่านสามารถเรียกข้าว่าเทวาที่หนึ่งได้”

เทวาที่หนึ่งอย่างนั้นหรือ

วางท่านัก!

พวกเต้าจื้อจุนทั้งสี่คิดในใจ

เจียงอี้ถามไปว่า “พวกเราจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร หากว่าเจ้าเล่นเล่ห์กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคของโลกมหามรรคอวิชชาเล่า”

เทวาที่หนึ่งตอบว่า “ข้าไม่เหลือช่องให้วางแผนเล่นเล่ห์แล้ว เพียงอยากมีชีวิตรอดเท่านั้น หากทุกท่านไม่เชื่อ ก็ส่งคนหนึ่งออกมาทดลองก่อนได้”

พวกเต้าจื้อจุนเงียบไป

จ้าวเซวียนหยวนมองไปที่เต้าจื้อจุน “พี่ใหญ่ ตัดสินใจเถอะ”

เจียงอี้เอ่ยว่า “ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ พวกเราพี่น้องจะไปด้วยกัน!”

เหล่าตานพูดไม่ออก อดกุมอกไม่ได้

ทรมานใจอยู่รางๆ

เต้าจื้อจุนเอ่ยเสียงขรึม “ทำเถอะ! หากไม่มีบ่วงกรรมนี้ หากพวกเราอยากยืนหยัดในฟ้าบุพกาลก็ต้องหาแนวทางที่แตกต่างออกไป แสวงหาโชควาสนา อีกอย่างหากพัฒนาโลกมหามรรคอวิชชาขึ้นมา มรรคาสวรรค์ก็จะมีพันธมิตรร่วมต่อต้านฟ้าบุพกาลไปด้วยกัน พี่น้องเอ๋ยอย่าได้หลงลืมว่าพวกเราคือสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์ มิใช่สิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาล!”

จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่แน่วแน่ยิ่ง

….

หลังจากครบกำหนดหนึ่งแสนปี หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของเขาคือดวงหน้างามของหานหลิง

หานเจวี๋ยถลึงตาใส่นางคราหนึ่ง เอ่ยด้วยความไม่สบอารมณ์ “เอาแต่จ้องพ่อของเจ้าอยู่ได้ มิใช่เรื่องเหมาะสมเลย!”

หานหลิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพ่อเจ้าคะ”

รอยยิ้มนี้เป็นการออดอ้อนอย่างเห็นได้ชัด

ด้วยการออดอ้อนนี้ของนาง ความไม่พอใจของหานเจวี๋ยสลายไปทันที

เขากล่าวอย่างจนใจว่า “มีเรื่องใดก็ว่ามา”

“ข้าควบคุมสมบัติวิเศษที่ท่านพ่อมอบให้ได้แล้ว พวกเราไปประลองกันในแบบจำลองการทดสอบสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ” หานหลิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว

สาวน้อยแข็งข้อแล้ว!

คิดจะท้าทายบิดาเจ้าเช่นนั้นหรือ

ดีมาก จะให้เจ้าได้ลิ้มรสชาติความสิ้นหวังเช่นเดียวกับศัตรูเหล่านั้นของพ่อสักหน่อยแล้วกัน!

………………………………………………………………