War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2296
ตอนที่ 2,296 : หายนะสู่สวรรค์ ปรากฏ!
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนมาถึง ความสนใจของทุกคนก็ละออกจากอวี่เหวินฮ่าวเฉิน ก็ไปรวมอยู่ที่เขาทันที
ต้วนหลิงเทียน รองจ้าววังเซียนสัญจร
หากเขามีเพียงแค่ ฐานะ ดังกล่าว เกรงว่าคงไม่อาจเรียกร้องความสนใจอะไรจากผู้คนโดยรอบได้ถึงขนาดนี้
สาเหตุที่เขากลับกลายเป็นจุดสนใจยิ่งไปกว่าใครนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะอีกฐานะหนึ่งของเขา…
นายน้อยแห่งตำหนักเมฆาคราม!
และตำหนักเมฆาครามที่ว่า ก็คือขุมพลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์!!
เป็นธรรมดา…ด้วยฐานะอันละเอียดอ่อนแบบนี้ ไหนเลยจะไม่เป็นจุดสนใจของเหล่าเผ่าปีศาจมนุษย์ทั้งหลายที่มารวมตัวกันได้!
“ข้าจำได้ว่า…เมื่อ 3 ปีก่อนยามต้วนหลิงเทียนมาเข้าร่วมกับวังเซียนสัญจร มันมิได้มาคนเดียว หากแต่พกพาเด็กหญิงตัวน้อยกับสตรีฝาแฝดมาด้วยกัน”
จู่ๆศิษย์วังเซียนสัญจรคนหนึ่งก็กล่าวเรื่องนี้ออกมา
“สมควรเป็นดรุณีน้อยนางนั้น กับ…สวรรค์! สตรีที่งดงามปานเทพธิดาทั้ง 2 นั่น… ใต้หล้ากลับมีฝาแฝดงามล่มเมืองแบบนี้อยู่จริงๆหรือ…”
“อา…พี่น้องฝาแฝดคู่นี้ล้วนแล้วแต่งามล่มเมืองไม่ต่าง หากแต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันราวคนละขั้ว! ข้าล่ะอิจฉาต้วนหลิงเทียนยิ่ง!!”
“พวกเจ้าหลงประเด็นอันใดหรือไม่…ข้ามิได้กล่าวให้ดูชมความงาม! แต่ทั้ง 3 นั่นสมควรเป็นมนุษย์เหมือนต้วนหลิงเทียนด้วย!!”
……
หลังศิษย์กลุ่มหนึ่งกล่าวถึงพวกเค่อเอ๋อออกมา ก็กระตุ้นความสนใจของผู้คนรอบๆให้หันไปมองเค่อเอ๋อกับก่านหรูเยี่ยนและต้วนซือหลิงเช่นกัน
ด้วย 3 ปีที่แล้วต้วนหลิงเทียนพาคนมาด้วยทั้งสิ้น 3คน ทุกคนจึงคาดเดาได้ไม่ยากว่าสมควรเป็น สตรีทั้ง 3 ที่อยู่ตรงนี้ไม่ผิดแน่…
และที่สำคัญ สตรีทั้ง 3 ที่มาพร้อมต้วนหลิงเทียนก็สมควรเป็นมนุษย์!
“เผิงไหล เจ้าหน้ามืดตามัวแล้วหรือไร!”
เผิงไหลที่ยืนอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียนอยู่ๆก็จำต้องสะดุ้ง เพราะมีเสียงหนึ่งส่งตรงถึงหูอย่างเกรี้ยวกราด
เสียงนี้หาได้แปลกหูสำหรับเผิงไหลแต่อย่างไร นั่นเพราะอีกฝ่ายเป็นสหายคนหนึ่งของมันในวังเซียนสัญจร และเป็นชนชั้นอาวุโสเหมือนกัน
“อย่าได้บอกข้าว่าจนป่านนี้แล้วเจ้ายังไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนนั่นเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามอยู่อีก! ด้วยฐานะนั่นของมัน ท่านจ้าววังไม่มีวันละเว้นชีวิตมันและปล่อยให้มันก้าวออกนอกวังเซียนสัญจรเป็นแน่!”
“หรือกระทั่งเรื่องนี้เจ้ายังไม่รู้? หากรู้แล้วไฉนยังไม่รีบออกมา?”
“หากเจ้ายังดันทุรังดื้อรั้นติดตามมันต่อไป…ไยไม่ใช่รนหาที่ตายกัน!?”
ฟังจากน้ำเสียงที่ส่งมาอันเต็มไปด้วยความร้อนใจและวิตกกังวลก็ทราบได้ ว่าอาวุโสวังเซียนสัญจรผู้นี้สมควรเป็นห่วงเผิงไหลไม่น้อย
ได้ยินเสียงมากด้วยความห่วงใยของอาวุโสวังเซียนสัญจรดังกล่าว เผิงไหล ก็รู้สึกซาบซึ้งตื้นตันในน้ำมิตร อนิจจามันไม่อาจทำอะไรได้!
ไม่ใช่ว่ามันไม่อยากตีจากต้วนหลิงเทียน แต่มันไม่อาจกระทำเช่นนั้นได้!!
ด้วยพันธะจากคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า หากมันตีจากต้วนหลิงเทียนไปตอนนี้ย่อมไม่ต่างใดจากทรยศต้วนหลิงเทียน มันย่อมถูกอัสนีฟ้าพิฆาตตายตกทันทีแน่!
ถึงแม้หากติดตามต้วนหลิงเทียนต่อไป จุดหมายปลายทางก็คือความตาย แต่อย่างน้อยมันก็ยังมีเวลาได้หายใจอีก 2-3 วัน!
มันไร้ความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับอัสนีทัณฑ์สวรรค์ ที่จะฟาดร่างมันจนเป็นผุยผง!
นอกจากนี้ลึกลงไปในใจมันยังบังเกิดความหวังอันแรงกล้าประการหนึ่ง ถึงแม้กระทั่งตัวมันเองยังรู้สึกว่าความหวังดังกล่าวเสมือนเรื่องเพ้อฝัน แต่มันก็อดไม่ได้…
อดไม่ได้ที่จะหวัง! หวังว่านายท่านผู้นี้ของมันจะสร้าง ปาฏิหาริย์ ขึ้นมา!!
เพราะสุดท้ายแล้วนายท่านของมันผู้นี้ก็หาใช่คนธรรมดาไม่ แต่เป็นผู้ที่สามารถยกกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้ผู้อื่นได้!!
ในสายตาของมัน นี่คือพลังอำนาจที่อยู่เหนือครึ่งก้าวเซียนอมตะเสียอีก!!
ทันใดนั้นเอง
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
……
พร้อมกับเสียงของสายลมที่แว่วดังขึ้น ความว่างเปล่าพลันปรากฏร่างหลายร่างลุมาถึง แต่ละคนเหินมาปรากฏตัวบนน่านฟ้าเหนือคฤหาสน์จ้าวววังเซียนสัญจรกันติดๆ
“ท่านจ้าววัง”
ร่างสูงใหญ่แลดูแข็งแกร่งกำยำที่มาถึงก่อนผู้ใด วูบร่างมาหยุดใกล้ๆจ้าววังวิญญาณอสุรา ก่อนที่จะป้องมือคารวะฉีหนานฟงด้วยความเคารพ
มันเป็นชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงิน แม้ชุดคลุมสีน้ำเงินนี้จะแลดูตัวใหญ่ หากแต่พออยู่บนร่างมันก็แลเป็นเล็กลงถนัดตา กระทั่งมองไปยังคล้ายชุดรัดรูปเสียด้วยซ้ำ เผยให้เห็นมัดกล้ามปูดโปนแน่นเปรี๊ยะ!
ร่างสูงใหญ่ปานหอคอยเหล็กของมัน บัดนี้ศีรษะก้มลงเล็กน้อย คาระทักทายฉีหนานฟงด้วยความเคารพจากใจ
“หยวนป้า เจ้ามาแล้วหรือ”
เห็นชายหนุ่มดังกล่าววมาถึง ฉีหนานฟง ก็หันไปพยักหน้ารับ พลางกล่าวคำทักทายด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายไม่ต่าง
“นั่นชิงหยวนป้า! รองจ้าววังวิญญาณอสุรา อันดับ 1ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของเผ่าปีศาจมนุษย์เรา!”
ไม่นานกลุ่มศิษย์และผู้อาวุโสของวังเซียนสัญจรก็จดจำร่างชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินนั่นได้ เพราะชายหนุ่มผู้นั้นโด่งดังไม่น้อย ไม่เพียงแต่จะเป็นรองจ้าววังวิญญาณอสุราเท่านั้น มันยังเป็นอันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของเผ่าปีศาจมนุษย์ ชิงหยวนป้า!!
“คนของตำหนักขจีจรัสก็มา”
“นั่นมันกงซุนจิน รองจ้าวตำหนักขจีจรัสมิใช่หรือไร?”
“คนวังอัคคีสีชาดก็มาแล้ว…นั่นสมควรเป็นรองจ้าววังอัคคีสีชาด หวู่เทียนจิน*”
(*คนนี้ตอนก่อน ผมน่าจะแปลผิดเป็นจ้าววัง ต้องขออภัยด้วย แต่ไม่ต้องสนใจมันมาก…กีกี้ประกอบฉากเฉยๆ 55+)
…
เมื่อผู้มาเยือนทยอยกันปรากฏตัวขึ้น คนของวังเซียนสัญจรก็ระบุตัวตนพวกมันได้ และไม่นานทุกคนก็ตระหนักได้ถึงเรื่องราวประการหนึ่ง
ในบรรดา 2 วัง 6 ตำหนักที่เหลือนอกจากวังวิญญาณอสุราแล้ว…ทั้งหมดล้วนมากันแต่ชนชั้นรองผู้นำทั้งสิ้น ไม่มีผู้นำโผล่มาให้เห็นสักคน!
“จ้าววังอัคคีสีชาด กับจ้าววังอีก 6 ตำหนักไปไหนกันหมด…ไฉนไม่มาด้วยเล่า?”
ยังมีศิษย์วังเซียนสัญจรไม่น้อยที่แปลกใจในเรื่องดังกล่าว
“พวกมันปิดด่านอยู่รึเปล่า…หรือไม่ก็ติดธุระอันใด”
ใครบางคนกล่าวออก
“เหอะๆ ต่อให้จะปิดด่านหรือติดธุระอันใด…แต่จะบังเอิญเป็นเช่นนั้นเหมือนกันทั้ง 7 ได้เชียวรึ?”
หลายคนตั้งคำถาม
“เพ่ย! พวกเจ้าก็อย่าได้หลงลืมไป…สำหรับเผ่าปีศาจมนุษย์แล้ว แม้การปรากฏตัวของครึ่งก้าวเวียนอมตะคนที่ 2 จักเป็นเรื่องดี หากทว่าครึ่งก้าวเซียนอมตะคนที่ 2 กำลังจักคลอดออกมาจากวังเซียนสัญจรของพวกเรา!”
อาวุโสชราคนหนึ่งของวังเซียนสัญจรกล่าวออกด้วยรอยยิ้มแสยะดูแคลน “วังเซียนสัญจรของเราอุบัติครึ่งก้าวเซียนอมตะ ย่อมเป็นเรื่องดี…แต่สำหรับอีก 2 วังกับ 6 ตำหนักที่เหลือนั่น มิใช่ว่าจักเป็นเรื่องดี!”
“หากให้ข้าเดาล่ะก็…ไม่พ้นตอนนี้ พวกชนชั้นจ้าววังจ้าวตำหนักของอีก 1 วัง 6 ตำหนักที่เหลือ ต้องไปรวมหัวเพื่อหารืออันใดกันสักที่ หาทางคานอำนาจของท่านจ้าววังเราที่จะกำลังมีอำนาจครอบงำกดหัวพวกมัน!”
วาจาของอาวุโสชราคนนี้ นับว่าตรงกับความในใจของอาวุโสวังเซียนสัญจรอีกหลายๆคน
พอพวกมันได้คิดทบทวนดูแล้วว ก็เห็นทีจะมีแต่เป็นเพราะสาเหตุนี้เท่านั้น
3 วัง 6 ตำหนักนั้น อยู่ในภาวะแข่งขันกันมาโดยตลอด และพยายามรักษาสมดุลของอำนาจเอาไว้
ทว่าตอนนี้ในบรรดาขุมพลังทั้งหลายกลับอุบัติครึ่งก้าวเซียนอมตะขึ้นมาในวังเซียนสัญจร! แล้วจะไม่ให้พวกมันร้อนใจจนเสมือนมีไฟลนก้นได้อย่างไรไหว…!!
“คงมีแต่ท่านจ้าววังวิญญาณอสุราที่ใจกว้าง ถึงขั้นเร่งรุดมาเยือนด้วยตัวเองเป็นคนแรก”
ศิษย์วังเซียนสัญจรที่พึ่งออกจากการปิดด่านมาไม่นานกล่าวออก
ทว่าอาวุโสกับเหล่าศิษย์วังเซียนสัญจรที่อยู่มานานแล้ว พอได้ยินคำของมันถึงกับอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังลั่น
ศิษย์วังเซียนสัญจรคนหนึ่ง เห็นศิษย์ผู้มาใหม่ชักสีหน้าเหรอหราคล้ายตัวโง่งม มันก็เร่งกล่าวออกด้วยรอยยิ้มทันที “เฮ่ ศิษย์น้อง…นี่เจ้าคงมิได้กำลังคิดว่า เป็นเพราะท่านจ้าววังของพวกเรากำลังจะกลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะ แล้วจ้าววังวิญญาณอสุราจึงเร่งรุดมาอวยพรหรือเร่งรุดมาแสดงความยินดีอะไรทำนองนั้นหรอกนะ?”
“อ้าว…แล้วมิใช่เช่นนั้นหรือศิษย์พี่?”
“ฮ่าๆๆ! ย่อมไม่ใช่! จ้าววังวิญญาณอสุราผู้นี้ไม่เพียงแต่มาถึงคนแรกเท่านั้น กระทั่งยังมาถึงตั้งแต่เมื่อ 1 ปีก่อนตอนที่ท่านจ้าววังเรายังมิออกจากการปิดด่านกระทั่งชักนำหายนะสู่สวรรค์อันใดด้วยซ้ำ!เพราะมันมิได้มาเพื่อพบท่านจ้าววังของเรา แต่มาเพื่อพบรองจ้าววังคนใหม่ของพวกเรา ต้วนหลิงเทียน!”
“นายน้อยตำหนักเมฆาครามผู้นั้นน่ะหรือ!?”
“มิผิด! เป็นมันเอง…สำหรับเรื่องที่ตำหนักเมฆาครามกับวังวิญญาณอสุรามีความแค้นกันขนาดไหน ข้าคงไม่จำเป็นต้องเล่าให้เจ้าฟัง เพราะเจ้าสมควรรู้เรื่องนี้ดีแล้วล่ะนะ”
“อ่า…ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง”
…
ขณะเดียวกัน ทางด้านชนชั้นรองผู้นำของ 1 วัง 6ตำหนักที่พึ่งมาถึง สายตาของพวกมันก็ไปหยุดลงบนร่างต้วนหลิงเทียนทันที
และแทบจะพร้อมกันกับที่สายตาของทั้ง 7 หันไปตกลงบนร่างต้วนหลิงเทียนนั้น
เปรี๊ยงง!! ครืนนน!!!
เสียงที่ดังสนั่นปานแผ่นดินระเบิด ก็อุบัติขึ้นกึกก้องไปทั่ว
ขณะเดียวกันปรากฏกลิ่นอายพลังมหาศาลพร้อมด้วยคลื่นกระแทกกวาดลงมาจากฟ้าเบื้องบน! เป็นกลิ่นอายพลังอันน่ากลัว มากล้นไปด้วยอำนาจสะกดข่ม พาลให้ทุกคนถึงกับต้องใจสะท้านไปทันที!!
“หายนะทัณฑ์สวรรค์ ปรากฏแล้ว!!”
ทันทีที่ความคิดดังกล่าวผุดขึ้นในหัวของทุกคน
ทันใดนั้นทุกสายตาที่มองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนต่างก็ละออกหันไปจับจ้องเรื่องราวบนฟ้าสูงเหนือศีรษะจ้าววังอวี่เหวินฮ่าวเฉินทันที!
ณ ที่แห่งนั้น เมฆหายนะสู่สวรรค์ทั้งหลายได้มาบรรจบกันเป็นที่เรียบร้อย พวกมันไม่เพียงรวมตัวเป็นแพหนาถึงขั้นปิดฟ้าบังตะวัน ยังเริ่มปลดปล่อยพลังอำนาจสะท้านขวัญให้ทุกสรรพชีวิตรับทราบ!
เมฆหายนะเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะปกคลุมไปทั่วน่านฟ้าเหนือคฤหาสน์ส่วนตัวของจ้าววังเซียนสัญจรอย่างอวี่เหวินฮ่าวเฉินเท่านั้น มันยังปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณโดยรอบ ทำให้ทุกผู้คนล้วนตกอยู่ในความมืดมัว บังเกิดความรู้สึกเยียบเย็นประการหนึ่ง!
แน่นอนว่ายังมีแสงสะท้อนมาจากที่ไกลๆ ทำให้สายตาทุกคนยังสามารถมองเห็นเรื่องราวได้ชัดเจน
เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!
…
เสียงฟ้าร้องยังคงก้องกังวานออกมาไม่หยุด และท่ามกลางแพเมฆหายนะทะมึนมืด ทุกผู้คนก็แลเห็นอัสนีสีม่วงที่ประหนึ่งฝูงอสรพิษดำผุดดำว่ายได้ชัดถนัดตา และบางคราก็ปรากฏอสรพิษหลากสีอันงดงามผุดโผล่มาให้เห็นเป็นครั้งคราว
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับอสรพิษสีม่วงแล้ว อสรพิษน้อยหลากสีสันนั่นหาได้มีจำนวนมากมายนัก กระทั่งผู้ที่พลังฝึกปรือไม่สูงถึงระดับหนึ่ง ก็ยากที่จะพบเห็นมันด้วยซ้ำ
“ฟ้าร้องคำรามจนแผ่นดินสะเทือนแบบนี้…เป็นเมฆหายนะสู่สวรรค์กำลังประกาศศักดิ์ดาว่า หายนะทัณฑ์สวรรค์กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วงั้นสิ!”
ต้วนหลิงเทียนเองก็มีความเข้าใจในเรื่องหายนะสู่สวรรค์ไม่น้อย
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังกล่าวพึมพำกับตัวนั้น อยู่ๆสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปคล้ายตระหนักถึงบางสิ่ง
‘แย่แล้ว!’
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพบว่า ‘พลังสุริยัน’ ในร่างของเขานั้น ไม่เพียงแต่กระสับกระส่ายพุ่งพล่านมากยิ่งขึ้น แต่พวกมันยังเกรี้ยวกราดถึงขั้นที่เขารู้สึกว่าไม่อาจจะควบคุมสะกดได้ไหวสืบไป!
ตอนนี้เขามีเพียง 2 ทางให้เลือกเท่านั้น พยายามควบคุมสะกดพวกมันให้ถึงที่สุด หรือปล่อยไป…
‘เฮ่อ…ช่างเถอะ’
‘ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าบางสิ่งที่กำลังเพรียกหาพวกมัน ที่แท้คิดจะทำอะไรกันแน่’
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดฝืนระงับสะกดพลังสุริยันในร่างสืบไป ปลดปล่อยพันธนาการทั้งมวลปล่อยให้พลังเซียนสุริยันเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระตามใจ
และแทบจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนลดพลังสะกด ละการควบคุมทั้งมวล
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
…
พลังสุริยันที่เดิมเคยผสานกับพลังเซียนต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนจนก่อให้เกิดเป็นพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดนั้น บัดนี้มันได้แยกตัวออกจากพลังเซียนต้นกำเนิด และกลับกลายเป็นเปลวเพลิงสีทองทะลักออกมาลุกโชนไปทั่วร่างต้วนหลิงเทียน!
เรียกว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเสมือนคนที่มีไฟสีทองกำลังลุกไหม้ท่วมร่าง!!
แถมเปลวเพลิงสีทองดังกล่าวยังราวกับจะพวยพุ่งออกมาจากทุกรูขุมขนของต้วนหลิงเทียน ทว่าพิกลนัก…เส้นผมขนคิ้วกระทั่งชุดคลุมที่เขาสวมใส่อยู่กลับไม่ได้ถูกเพลิงทองดังกล่าวแผดเผาแต่อย่างไร!
“ท่านพ่อ!!”
ต้วนซือหลิงพบเห็นความผิดแปลกบนร่างต้วนหลิงเทียนก่อนใคร นางหวาดกลัวอย่างหนักสองมือยกขึ้นปิดปาก ลูกตากลมใสเบิกมองต้วนหลิงเทียนอย่างตื่นตระหนกเสียขวัญ
“พี่เทียน?”
เค่อเอ๋อเองก็พบเห็นความเปลี่ยนแปลงที่บังเกิดขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตามแม้ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนจะลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงสีทอง หากแต่นางก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงความร้อนลวกใดๆ
และในขณะที่ก่านหรูเยี่ยนเองก็กำลังถูกความเปลี่ยนแปลงบนร่างต้วนหลิงเทียนดึงดูดความสนใจนั้น
ฟู่มมม!!
เปลวเพลิงสีทองที่ลุกโชนท่วมร่างของต้วนหลิงเทียน ก็พุ่งทะยานออกจากร่างต้วนหลิงเทียนไปเป็นมวลเพลิงสีทองก้อนหนึ่ง และพุ่งทะยานขึ้นไปสู่ฟากฟ้า
เป้าหมายชี้ตรงไปยังใจกลางสถานที่ที่การปล้นของผู้เป็นอมตะจากน้อยไปมากมาบรรจบกัน!
“นั่นมัน!”
ในขณะที่มวลเพลิงสีทองพุ่งทะยานขึ้นฟ้ามุ่งหน้าสู่ใจกลางเมฆหายนะ ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตกใจ!