บทที่ 953 ความกังวลของผู้เป็นพ่อ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 953 ความกังวลของผู้เป็นพ่อ

บทที่ 953 ความกังวลของผู้เป็นพ่อ

“ต่อให้กินอิ่มพวกเราก็ยังวางใจไม่ได้หรอกนะ!” รัฐมนตรีอู๋ถอนหายใจ

ความต้องการของคนทั่วไปต่ำเกินไป พวกเขาไม่เคยคิดที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น ขอแค่มีกินมีเสื้อผ้าให้ใส่ก็เพียงพอแล้ว

ซึ่งพวกเขาจะคิดแบบนี้ไม่ได้ เราต้องทำให้ทุกคนได้กินข้าวขาวและแป้งสาลีมากขึ้น และต้องได้กินเนื้อปลากับเนื้อสัตว์ด้วย

“ยังไม่พอสินะ เราคงต้องทำงานกันต่อไป จื่อเจิน มีหลายคนฝากความหวังไว้ที่คุณนะ” รัฐมนตรีอู๋มองไปทางเสิ่นจื่อเจิน

เมล็ดพันธุ์ใหม่ที่เสิ่นจื่อเจินวิจัยมาตลอดสองปีใช้งานได้จริง ๆ และเริ่มได้รับการส่งเสริมไปทั่วประเทศแล้ว

แต่แค่นี้ก็ยังไม่พอ

“ผมทราบดีครับท่านรัฐมนตรีอู๋ ผมจะไม่ละทิ้งความหวังของประเทศชาติและประชาชนแน่นอน” เสิ่นจื่อเจินให้คำมั่นสัญญา

“เมล็ดพันธุ์ใหม่ที่เราใช้กันในตอนนี้เป็นพันธุ์ที่อาจารย์เสิ่นวิจัยเอาไว้สมัยอยู่ที่หมู่บ้านครับ” ซูฉางจิ่วเอ่ยแทรกขึ้นมา

“แล้วพันธุ์ใหม่ล่าสุดนี่ยังไม่ได้กันหรือ?” รัฐมนตรีอู๋ขมวดคิ้ว

“ยังครับ ได้ยินว่าอำเภอข้าง ๆ เพิ่งได้รับในปีนี้ ของเราน่าจะต้องรอปีหน้าครับ” เขาเอ่ยต่อ “เพราะว่าพันธุ์ที่เราใช้นั้นเป็นของอาจารย์เสิ่นที่วิจัยไว้คราวก่อน ดีที่สุดในระแวกนี้แล้ว เลยไว้ท้ายสุดครับ”

ก่อนทุกคนจะจำได้ว่ากองชุมชนหงซินที่เสิ่นจื่อเจินไปอยู่ก็คือหมู่บ้านหนานหลิ่งแห่งนี้นี่แหละ

ไม่รู้เลยว่าตอนนั้นเขาก็ทำวิจัยด้วย

“จื่อเจิน คุณเก่งมากจริง ๆ!”

“ประเทศได้ให้การฝึกฝนแก่ผมครับ ผมแค่ทำในสิ่งที่ควรทำน่ะ”

“ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้สำคัญเท่ากับเกษตรกรรมแล้ว ขอแค่ผืนนาสร้างผลผลิตได้มากขึ้น ทุกคนจะได้มีชีวิตที่รุ่งเรืองขึ้นเสียที!”

รัฐมนตรีฉางได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พอใจ

“ชีวิตที่ดีก็ต้องไม่ขาดแคลนเงินด้วยสิ เรายังต้องพัฒนาเศรษฐกิจกันอยู่นะ ถึงการปลูกข้าวจะสำคัญ แต่เรื่องเศรษฐกิจก็มองข้ามไม่ได้”

“หาเรื่องกันหรือยังไง?” รัฐมนตรีอู๋ไม่พอใจบ้างแล้ว

ตาแก่นี่นับวันยิ่งทำตัวน่าเกลียดขึ้นเรื่อย ๆ มาขัดคอกันเฉยเลย

เสี่ยวเถียนหัวเราะกับภาพตรงหน้า อันนี้คือทางใครทางมันเลยใช่ไหม?

คนหนึ่งมาจากกระทรวงพาณิชย์และอีกคนมาจากกระทรวงเกษตร ทั้งคู่ยืนหยัดในหน้าที่ของตัวเอง ความคิดจึงไม่มีทางเหมือนกันอยู่แล้ว!

“แล้วฉันพูดผิดหรือไง? ลองไปดูทางใต้สิ ทำไมชีวิตถึงดีขึ้นเร็วทุกวัน ๆ ล่ะ? เพราะพวกเขากำลังพัฒนาเศรษฐกิจไม่ใช่หรือยังไง?”

เมื่อเห็นทั้งสองคนกำลังจะทะเลาะ ต่งหยวนจงก็เข้าไปปราม “โตจนป่านนี้แล้วนะ อายุร่วมเกินร้อยด้วยซ้ำ จะมาทำตัวเป็นเด็กสามขวบได้ยังไง?”

พูดมาตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าสองคนนี้เอาแต่ทำตัวติดหนึบ ไปไหนมาไหนก็อยากจะมาด้วยให้ได้!

ไม่ชอบเลยจริง ๆ!

ถึงรัฐมนตรีทั้งสองจะไม่อยากฟัง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

“หมู่บ้านเรากำลังทำงานฝีมือกันอยู่ครับ เสี่ยวซื่อทำหน้าที่รับซื้อเพื่อให้ชีวิตของทุกคนในหมู่บ้านดีขึ้นน่ะ”

รัฐมนตรีฉางยิ้มแย้ม “แบบนี้ก็ดีเลยสิ ไม่ว่าจะด้านไหนก็ไม่สามารถผัดผ่อนได้ เพื่อที่ทุกคนจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น”

ต่งหยวนจึงกล่าว “เสี่ยวซื่อมีความคิดแบบนี้ด้วยหรือเนี่ย? ดี ๆ เห็นแววเขาอยู่”

เขาเคยได้ยินมาว่าห้างร้านหรงฟาของเสี่ยวซื่อเป็นที่นิยมมาก

ทั้งยังได้ยินอีกว่าเขามีแผนจะเปิดอีกสาขาที่เมืองอื่นด้วย เป็นคนกล้าได้กล้าเสียมาก

ถ้าได้ความช่วยเหลือจากเด็กคนนี้ ชีวิตของชาวบ้านที่หนานหลิ่งจะสบายขึ้นกว่าเดิมแน่นอน

“แต่เราจะคิดถึงแต่หนานหลิ่งไม่ได้นะ ยังมีหลาย ๆ หมู่บ้านที่กำลังลำบากอยู่ ถ้าสามารถรวมพวกเขาเพื่อสร้างอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้ เราอาจจะหาลู่ทางสร้างความเจริญในอนาคตก็ได้นะ”

ต่งหยวนจงพยักหน้าเห็นด้วย ขณะเดียวกันก็เสนอความเห็นของตัวเองออกไปด้วย

ซูฉางจิ่วกล่าวขึ้น “มีคนจากหมู่บ้านอื่นมาหาเราเหมือนกันครับ พวกเขาเองก็อยากทำงานฝีมือขายกับพวกเราด้วย แต่กลัวว่าถ้าคนเยอะเกินจะสร้างความลำบากให้กับเสี่ยวซื่อน่ะ”

“อย่าเพิ่งเลยดีกว่า แต่ละหมู่บ้านสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ต่างกันได้นะ เช่นหมู่บ้านฝั่งตะวันออกทำถุงมือขนสัตว์ หมู่บ้านฝั่งตะวันตกทำผ้าพันคอ หมู่บ้านฝั่งใต้ทำเสื้อกั๊กผ้าฝ้ายอะไรแบบนี้ ทีนี้สินค้าของทุกคนก็จะมีตลาดเป็นของตัวเองแล้ว”

รัฐมนตรีฉางเสนอ

“เข้าใจแล้วครับ ไว้กลับไปหารือกับเสี่ยวซื่อดูดีกว่าว่ามีหนทางหรือเปล่า”

เสี่ยวซื่อในตอนนี้กำลังอุ้มหลานชายไม่ยอมปล่อยอยู่ด้านนอก จึงไม่ได้เข้ามาคุยด้วย

เวลากระชั้นชิดมากแล้ว เลขาของต่งหยวนจงเข้ามาเร่งเร้าอยู่หลายครั้งจนสุดท้ายเจ้าตัวก็ต้องลุกไปประชุม

สองรัฐมนตรีอู๋เองก็มีงานที่ต้องทำในช่วงบ่าย จึงร่ำลากลับไปด้วย

หลี่ซิ่วหรงกับหยางลี่หมิงไม่ได้สนิทกับคนบ้านซูเท่าไร จึงขอตัวกลับด้วยเช่นกัน

มีแค่ฟ่านชูฟางที่อยู่ถึงช่วงบ่ายคนเดียว

พอคนน้อยลงทุกคนก็เริ่มสนทนาด้วยกันได้ ทั้งยังเป็นคนของเราเองทั้งนั้นจึงไม่ได้มีพิธีรีตองอะไร

ฝ่ายชายจิบสุราพลาง ๆ ฝ่ายหญิงดื่มน้ำเปลือกแอปริคอตและแทะเมล็ดแตงโม

ฟ่านชูฟางเห็นเสี่ยวเฉ่าครั้งแรกก็รู้สึกได้ว่าเป็นคนที่เรียบร้อยใช้ได้ แต่ไม่รู้ว่ามีคู่แล้วหรือยัง อาจจะแนะนำให้เจ้าลูกชายที่บ้านได้

ตนกำลังหาผู้หญิงช่วงยี่สิบปลาย ๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงานหรือหาคู่ครองอยู่น่ะ แต่ยังไม่เจอคนที่น่าสนใจเลย

เรื่องหน้าที่การงานของเสี่ยวเฉ่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถ้าคุยกันได้ย่อมมีวิธีอยู่แล้ว

พอคิดได้แบบนั้นก็เอ่ยถามหญิงสาวไปหลายอย่าง

ยิ่งถามมาเท่าไร เธอก็ยิ่งพึงพอใจกับเด็กคนนี้มากขึ้นเท่านั้น

ที่บ้านมีลูกชายอยู่สองคน แถมแต่ละคนยังหัวรั้นกันทั้งนั้น หากได้ภรรยาเป็นคนอ่อนโยนและเรียบร้อย อาจปราบความพยศของพวกเขาได้

หญิงชรามีความสุขมากตอนที่ทราบว่าเสี่ยวเฉ่ายังไม่มีคนรัก

อายุน้อยกว่าลูกชายไม่เท่าไร

หน้าตาดี สุภาพเรียบร้อย เรียนมหาวิทยาลัย

แม้พื้นเพทางบ้านจะต่างกันไปบ้าง แต่ดั้งเดิมเราเองก็เป็นคนชนบทอยู่แล้ว จึงไม่ได้มีปัญหาอะไร

เป็นว่าที่สะใภ้ที่เหมาะกับครอบครัวเธอจริง ๆ

ฟ่านชูฟางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาของแม่สามีมองลูกสะใภ้ ไม่ว่าจะมองยังไงก็ถูกใจมากขึ้นเท่านั้น!

นี่มันสวรรค์ประทานชัด ๆ!

ภายในใจตั้งมั่นแล้วว่ากลับบ้านเมื่อไร จะบอกให้ลูกชายมาเจอกับเธอดู

โชคดีที่ฝ่ายหญิงอยู่ที่นี่อีกนาน มีเวลาพอให้พวกเขากลับมาเจอกัน

เสี่ยวเถียนไม่รู้เลยว่าย่ารองกำลังจับตามองพี่สาวตัวเองอยู่

และถึงรู้ก็ไม่คิดว่าแปลกอะไร

เพราะไม่น่าแปลกใจเท่าไรหากท่านจะชอบเธอ

ซูเสี่ยวเฉ่าเป็นผู้หญิงที่โดดเด่นในทุก ๆ ด้าน

ผู้หญิงแบบนี้น่าพึงพอใจในฐานะสะใภ้ใช่ไหมล่ะ?

ซูฉางจิ่วที่อยู่อีกฟากกำลังคิดหนัก

เขารู้สึกแปลก ๆ ระหว่างเสี่ยวเฉ่ากับซานกง ทว่าไม่แน่ใจนัก

สองวันก่อนที่คอยลอบสังเกตก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไร

แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่สบายใจเอาเสียเลย

เขาคิดไปถึงที่ว่าพาลูกกลับบ้านไม่ฟงไม่ฝึกมันแล้วด้วยซ้ำ

แต่เพราะรู้ว่าโอกาสนี้หายากและอาจส่งผลต่อชีวิตของลูกด้วย จึงไม่สามารถขัดขวางได้

กระทั่งอีกหลายวันต่อมา หัวใจเขายังคงหนักอึ้ง ไม่มีอารมณ์กินหรือเที่ยวเล่นด้วยซ้ำ