บทที่ 992 อริยะสวรรค์เกรียงไกรทุ่มสุดกำลัง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 992 อริยะสวรรค์เกรียงไกรทุ่มสุดกำลัง

ท้าสู้อริยะสวรรค์เกรียงไกร!

เหล่าผู้ทรงพลังภายในห้องโถงหวาดหวั่นขึ้นมา ถึงแม้เจตจำนงฟ้าบุพกาลจะหายไปแล้ว แต่พวกเขายังคงจดจำความน่ากลัวของหานเจวี๋ยได้

อริยะมหามรรคนับล้านร่วมมือกันก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้อริยะสวรรค์เกรียงไกร ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบุตรแห่งสวรรค์เหล่านี้เลย

ในเวลาเดียวกันนี้ บุตรแห่งสวรรค์กว่าสองหมื่นคนภายในเมืองทศพิธตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว

ท้าสู้อริยะสวรรค์เกรียงไกรเชียวนะ!

นี่คือโอกาสที่ยากจะไขว่คว้ามาได้ในชีวิตนี้!

อยู่ในงานชุมนุมฟ้าบุพกาล อริยะสวรรค์เกรียงไกรไม่มีทางสังหารพวกเขาแน่นอน นี่คือโอกาสดีที่จะได้แสดงฝีมือต่อหน้าอริยะสวรรค์เกรียงไกร!

“ยอดเยี่ยม! ด่านนี้ดีเหลือเกิน!”

“ฮ่าๆๆ หากพวกเราสามารถโค่นอริยะสวรรค์เกรียงไกรได้ จะไม่กลายเป็นเรื่องน่าสนใจหรอกหรือ”

“ในเมื่อเป็นงานชุมนุมฟ้าบุพกาลครั้งแรก พวกเราจะต้องสร้างชื่อเสียงให้สำเร็จ”

“คิดมากไปแล้ว พวกเจ้าน่าจะยังไม่รู้ เฮ้อ แล้วไปเถิด ไม่พูดดีกว่า จะว่าไปก็เป็นประวัติศาสตร์น่าขมขื่นฉากหนึ่ง”

“แล้วจะตัดสินจัดลำดับกันอย่างไรเล่า ด่านนี้จะต้องคัดเลือกหมื่นผู้กล้าแน่นอน”

….

ขณะที่เหล่าบุตรแห่งสวรรค์กำลังพูดคุยกัน บรรดาผู้ทรงพลังภายในห้องโถงก็เงียบลงแล้ว

ถึงแม้จะไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าทำตัวโอหังเกินไป ถึงอย่างไรอริยะสวรรค์เกรียงไกรและเทพมหาทัณฑ์ก็แข็งแกร่งกว่าพวกเขามากนัก เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่และผู้ทรงอำนาจ ทุกคนล้วนต้องยอมสยบ

เทพมหาทัณฑ์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทุกท่านกล่าวได้ดี จะตัดสินผลแพ้ชนะกันอย่างไรเล่า”

หานเจวี๋ยกล่าวไปว่า “ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความเป็นความตาย ข้าจะเหลือเสี้ยววิญญาณของพวกเขาไว้ ด้วยตบะของบุตรแห่งสวรรค์เหล่านี้ ต่อให้เหลือเพียงเสี้ยววิญญาณก็เพียงพอสำหรับฟื้นคืนชีพ หากทำไม่ได้จะมีดวงจิตมหามรรคคอยช่วยเหลือ

“ส่วนจะตัดสินผลแพ้ชนะอย่างไรนั้น ง่ายดายนัก ใช้ระยะเวลาที่ยืนหยัดอยู่ได้มาตัดสิน”

เขากวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ในห้องโถง เอ่ยไปว่า “คาดรู้ว่าทุกท่านกังวลว่าข้าอาจจงใจเพ่งเล็งเจาะจง รอจนด่านที่สองเริ่มขึ้นแล้ว พวกเจ้าก็จะเข้าใจเอง ข้าจะพุ่งเป้าไปที่บุตรแห่งสวรรค์ทั้งหมด!

แววตาของเขาเฉียบคมอย่างยิ่ง มองจนผู้ทรงพลังทั้งหมดล้วนหลบเลี่ยงสายตา อดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉากต่อสู้ยิ่งใหญ่ระหว่างอริยะมหามรรคนับล้านกับหานเจวี๋ย

ใช่แล้ว

เมื่ออยู่ต่อหน้าหานเจวี๋ย จำนวนไม่มีความหมายเลย

โจมตีเพียงกระบวนท่าเดียวก็เพียงพอจะสังหารบุตรแห่งสวรรค์ทั้งหมดได้

อีกอย่างต่อให้หานเจวี๋ยคิดจะเข้าข้างปกป้องมรรคาสวรรค์และสำนักซ่อนเร้น ก็มีจำนวนเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวม

เหล่าผู้นำขุมอำนาจใหญ่ยังคงมั่นใจกับตำแหน่งหมื่นผู้กล้าอยู่มาก ส่วนเหล่าผู้นำขุมอำนาจเล็กที่มีหมื่นผู้กล้าเป็นเป้าหมายก็ไม่กล้ากล่าวออกมาแม้แต่คำเดียว

ยังมีเวลาอีกครึ่งปี เหล่าผู้ทรงพลังเริ่มกำชับตักเตือนบุตรแห่งสวรรค์ในสังกัดของตนอย่างลับๆ แล้ว

สรุปแล้วต่างพูดทำนองเดียวกันว่า อย่าได้ฝืนดึงดัน

บุตรแห่งสวรรค์ส่วนใหญ่ล้วนลำพองตน คิดว่าตนสูงส่งเทียมฟ้า ด้วยทัศนคตินี้หากปะทะกับอริยะสวรรค์เกรียงไกรเข้า ต้องตายอย่างอนาถแน่นอน

หานหลิงยิ้มอย่างคาดหวังตั้งตารอ จุ๊ๆ ในที่สุดก็จะได้เห็นท่านพ่อตอนเอาจริงแล้ว

อีกด้านหนึ่ง ภายในเมืองทศพิธ ณ คฤหาสน์ใหญ่หลังหนึ่ง

บุตรแห่งสวรรค์ของมรรคาสวรรค์และสำนักซ่อนเร้นมารวมตัวกันที่นี่ ล้วนกำลังพูดคุยหารือเรื่องด่านที่สอง

“เมื่อถึงเวลาหากข้ายอมคุกเข่าให้นายท่าน จะได้รอดชีวิตไปถึงตอนจบหรือไม่”

สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นหมอบอยู่บนพื้น เอ่ยพร้อมหัวเราะแหะๆ

ไก่คุกรัตติกาลเอ่ยเหยียดหยาม “ดูสารรูปเจ้าเสียบ้างเถอะ”

ด้วยตบะของพวกมันสามารถแปลงกายได้นานแล้ว แต่ไก่คุกรัตติกาลชมชอบร่างจริงของตน สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นจึงทำตาม ผู้ใดใช้ให้พวกมันสนิทสนมกันที่สุดเล่า

จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ “พวกเจ้าต้านรับท่านอาจารย์ไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียวอย่างนั้นหรือ น่าอับอายนัก!”

บางคนขบขัน บางคนกังวล

หากว่าหานเจวี๋ยไม่ยอมอ่อนข้อให้ คาดว่าคนส่วนหนึ่งในหมู่พวกเขาคงตกรอบไป

ฟางเหลียงส่ายหน้าก่อนเอ่ยไปว่า “ข้าอาจจะตกรอบในด่านนี้ ขอให้ทุกคนพยายามเข้า”

มู่หรงฉี่ยิ้มพลางตบไหล่เขา ทว่าไม่ได้กล่าวอันใด

โจวฝานเอ่ยอย่างมั่นใจ “หมื่นผู้กล้าก็ไม่เลวแล้ว ไม่เหมือนพวกเราที่ต้องแย่งชิงสิบยอดฟ้า”

ชั่วขณะนั้น พวกเขาเริ่มพูดเอะอะหยอกล้อกันขึ้นมาอีกครั้ง

เจียงเจวี๋ยซื่อสังเกตเห็นว่าหานฮวงที่นั่งอยู่ด้านข้างนิ่งเงียบไม่พูดจา

“เจ้ากำลังนึกถึงหวงจุนเทียนหรือ” เจียงเจวี๋ยซื่อถาม

หานฮวงลังเลเล็กน้อยแต่ยังคงพยักหน้ารับ

เขามาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ผลคือพ่ายแพ้ตั้งแต่ด่านแรก ทำให้เขาไม่พอใจยิ่งนัก

เจียงเจวี๋ยซื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่าคิดมากไปเลย นึกถึงข้าให้มากเข้าเถิด ผู้ที่จะเข้าไปชิงตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุคได้มีแค่พวกเราสองคนเท่านั้น”

หานฮวงยิ้มออกแล้ว แค่นเสียงกล่าวว่า “ศิษย์พี่เจียง หวงจุนเทียนคนนั้นยกให้ท่านจัดการแล้วกัน”

“ไม่มีปัญหา เช่นนั้นเจ้าไปจัดการอู๋เซียงเทียนเซี่ย”

สองศิษย์พี่น้องสบตากันแล้วหัวเราะ เข้าใจกันได้โดยไม่ต้องพูดเนื่องจากอยู่ร่วมกันมานับล้านปี

ฉางเยวี่ยเอ๋อร์เดินเข้ามา เอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้จักหวงจุนเทียน ในอดีตเมื่อนานมาแล้วสมัยอยู่ในโลกมนุษย์ เขาก็พ่ายแพ้ต่อบิดาของเจ้าเช่นกัน ถูกกักตัวเอาไว้ระยะหนึ่ง หากมิใช่เพราะเขาอ้อนวอนขอความเมตตาอย่างบ้าคลั่ง คงสิ้นชีพไปนานแล้ว”

เมื่อหานฮวงได้ฟัง ดวงตาพลันเปล่งประกาย รีบเอ่ยถาม “น้าฉาง ท่านเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”

คำว่าน้าฉางทำให้ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ยิ้มหน้าบาน ส่งสายตาให้หานฮวงสื่อว่าเจ้าช่างรู้ความนัก จากนั้นก็เล่าถึงเรื่องราวในอดีต

เจียงเจวี๋ยซื่อก็สนใจใคร่รู้ยิ่งนัก ดังนั้นจึงอยู่ฟังด้วย

ภายในเมืองทศพิธ ทุกที่ล้วนมีบุตรแห่งสวรรค์กำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอยู่

ครึ่งปีผ่านไปเร็วยิ่ง

ภายใต้การนำทางของผู้รักษาการ บุตรแห่งสวรรค์กว่าสองหมื่นคนมารวมตัวกัน ณ ลานจัตุรัสใจกลางเมืองทศพิธ รอคอยให้ด่านที่สองเริ่มต้นขึ้น

ถึงแม้จะเตรียมตัวมาแล้วเป็นอย่างดี แต่พวกเขายังคงรู้สึกประหม่ายิ่ง

ทั่วลานเต็มไปด้วยเสียงเซ็งแซ่

“จุ๊ๆ ข้ายังไม่เคยพบอริยะสวรรค์เกรียงไกรมาก่อนเลย”

“อีกเดี๋ยวจะได้พบกับสุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งฟ้าบุพกาลแล้ว”

“พวกเราจะนับเป็นบุตรแห่งสวรรค์อันใดกัน อริยะสวรรค์เกรียงไกรต่างหากที่คู่ควร หากได้รับการยอมรับจากเขาก็มีสิทธิ์ได้ครองตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุค”

“ผู้ใดจะเป็นคนแรก”

“บุตรแห่งสวรรค์เหล่านั้นที่อ้างตัวว่าอยู่ในระดับไร้พ่ายแล้วสมควรออกโรงก่อน”

บรรดาบุตรแห่งสวรรค์พากันพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ เสียงของเทพมหาทัณฑ์ยังไม่ดังขึ้น ด้วยเหตุนี้อารมณ์ตื่นเต้นกระวนกระวายจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทั่วทั้งลานจัตุรัสดูราวกับภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุ

ในที่สุด

“ด่านที่สองท้าทายสุดยอดผู้แข็งแกร่งกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว บุตรแห่งสวรรค์ทั้งหมดจะได้เผชิญหน้ากับอริยะสวรรค์เกรียงไกรพร้อมกัน ระยะเวลาที่อยู่รอดจะเป็นตัวตัดสินหมื่นผู้กล้า หากจำนวนบุตรแห่งสวรรค์ที่ตกรอบมีมากเกินไป ไม่ครบจำนวนหมื่นผู้กล้า ก็จะนำระยะเวลาที่ฟื้นคืนชีพมาตัดสิน บุตรแห่งสวรรค์หมื่นคนแรกที่ฟื้นฟูกายเนื้อได้ก่อนจะได้เป็นหมื่นผู้กล้า”

วาจาของเทพมหาทัณฑ์สร้างแรงกดดันมหันต์ให้เหล่าบุตรแห่งสวรรค์

นี่มันสถานการณ์ใดกัน

ยังต้องแข่งขันด้านความเร็วในการฟื้นฟูกายเนื้ออีกหรือ

อริยะสวรรค์เกรียงไกรร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ

พวกเขายังไม่ทันคิดไปให้มากกว่านี้ พลันมีคลื่นแสงเจิดจ้าพุ่งขึ้นมาจากลานจัตุรัส เคลื่อนย้ายบุตรแห่งสวรรค์กว่าสองหมื่นคนออกไป

หานเจวี๋ยที่อยู่ในห้องโถงก็หายตัวไปเช่นกัน

พวกเขามาโผล่ในห้วงมิติชั้นที่อยู่ลึกเข้าไป มืดมิดเวิ้งว้าง

บุตรแห่งสวรรค์กว่าสองหมื่นคนลอยอยู่ท่ามกลางห้วงอวกาศ กวาดตามองออกไป กระวนกระวายอย่างยิ่ง

ในเวลานี้เอง หานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศเหนือหัวเหล่าบุตรแห่งสวรรค์

สายตาของบุตรแห่งสวรรค์ทั้งหมดมองไปที่ร่างหานเจวี๋ย บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาในชั่วพริบตา

สายตาของหวงจุนเทียน หานทั่ว หานฮวง อี๋เทียน หานชิงเอ๋อร์ มู่หรงฉี่ ฉู่ซื่อเหริน เต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวน เจียงอี้ จ้าวซวงเฉวียน ชิงเทียนเสวียนจี ฉินหลิง หานอวี้ เทพมารขุนพลสวรรค์ กวนปู้ไป้และพวกไก่คุกรัตติกาล เปี่ยมด้วยความเคารพและยำเกรง

มิใช่เพียงบุตรแห่งสวรรค์จากมรรคาสวรรค์และสำนักซ่อนเร้น ทว่าบุตรแห่งสวรรค์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้

อริยะสวรรค์เกรียงไกร ตำนานแห่งฟ้าบุพกาล กิตติศัพท์การต่อสู้เหล่านั้นพวกเขาท่องได้คล่องนัก

บุตรแห่งสวรรค์รุ่นเยาว์ก็ได้ฟังตำนานอริยะสวรรค์เกรียงไกรตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่

“เพื่อให้งานชุมนุมครั้งนี้ดำเนินไปอย่างเข้มงวดกวดขัน ข้าจะทุ่มกำลังทั้งหมดที่มี เตรียมพร้อมมาดีหรือยัง ถึงแม้ฟ้าบุพกาลจะสงบสุข แต่อนาคตยังไม่แน่นอน ในฐานะผู้บำเพ็ญจะต้องมีจิตใจพึงระแวดระวังและยำเกรงอยู่เสมอ!”

เสียงของหานเจวี๋ยดังก้องไปทั่วห้วงมิติ เวลานี้เอง ฉากมายาที่สะท้อนภาพเหตุการณ์ในด่านที่สองลอยอยู่เหนือเมืองทศพิธและภายในโถงพระราชวัง ให้สรรพสิ่งได้ชมการต่อสู้ ได้ประจักษ์ในความทรงพลังของอริยะสวรรค์เกรียงไกร