บทที่ 993 ความสับสนของเทวาที่หนึ่ง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 993 ความสับสนของเทวาที่หนึ่ง

เมื่อเผชิญหน้ากับหานเจวี๋ย บุตรแห่งสวรรค์ทั้งหมดประหม่าสุดขีด

อริยะสวรรค์เกรียงไกรจะโจมตีด้วยพลังทั้งหมดหรือ

เช่นนี้จะใช้ได้หรือ

หานเจวี๋ยไม่สนใจว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร เขาจ้องมองบุตรแห่งสวรรค์ทั้งหมด เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะเริ่มนับถอยหลังแล้ว จะลงมือภายในสามลมหายใจ”

“สาม!”

เหล่าบุตรแห่งสวรรค์ตกใจต่างรีบหยิบของวิเศษของตนออกมา พากันสำแดงพลังวิเศษป้องกันหรือไม่ก็หลบซ่อน

เป็นฉากที่ตระการตายิ่ง แสงหลากสีปรากฏขึ้นมา ส่องสว่างไปทั่วห้วงอวกาศ ทำให้บรรดาสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในเมืองทศพิธกระวนกระวายด้วยเช่นกัน

“สอง!”

เจียงเจวี๋ยซื่อสำแดงกลับชาติกำเนิดมหาโชค หวงจุนเทียนและชิงเทียนเสวียนจีกระตุ้นพลังของอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค แสงเทพแพร่ออกมาจากรอบตัวของหานฮวง ส่วนหานทั่วก่อร่างจำลองเทพมารของตนขึ้นมา

หลากหลายสารพัด!

เรียกได้ว่าสำแดงพลังวิเศษอภินิหารยิ่งใหญ่อลังการ

“หนึ่ง!”

พอหานเจวี๋ยพูดจบก็ยกมือขวาขึ้นมาทันที

แทบจะในชั่วพริบตานั้น บุตรแห่งสวรรค์หลายพันคนคิดจะสำแดงพลังวิเศษเคลื่อนย้ายเพื่อหลบเลี่ยงตามสัญชาตญาณ แต่พวกเขาช้าเกินไป

ฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกร!

หานเจวี๋ยซัดฝ่ามือหนึ่งออกไป พลังปฐมยุคไร้รูปลักษณ์ระเบิดออกมา!

บุตรแห่งสวรรค์กว่าสองหมื่นคนมอดไหม้ไปในชั่วพริบตา ร่างสิ้นจิตมลาย เหลืออยู่เพียงเสี้ยววิญญาณสายหนึ่ง ล้วนหลบหนีไม่ทันกันทั้งสิ้น

ขนาดหานฮวงอยู่ที่ในระดับยอดมหามรรคและหวงจุนเทียนที่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค ต่างก็มอดไหม้ไปพร้อมกันหมด!

เผด็จการ!

ทรงพลัง!

ห้วงอวกาศตกอยู่ในความเงียบสงัด!

ภายในเมืองทศพิธเองก็เช่นกัน

แตกต่างจากที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ นึกว่าจะเกิดฉากสำแดงพลังวิเศษตระการตา แต่พลังปฐมยุคไร้รูปลักษณ์สีสัน ในมุมมองของพวกเขา หานเจวี๋ยแค่ซัดฝ่ามือออกไปทีเดียว บุตรแห่งสวรรค์ทั้งหมดก็มอดไหม้กลายเป็นเถ้าธุลี

ฉากนี้กลับทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม

เสี้ยววิญญาณกว่าสองหมื่นสายเริ่มฟื้นฟูตัวเอง

มีบุตรแห่งสวรรค์หลายสิบคนที่แทบจะฟื้นฟูกลับมาได้ภายในชั่วพริบตา พวกเขามองหานเจวี๋ยอย่างอกสั่นขวัญผวา

ผู้ที่เร็วที่สุดมิใช่หานฮวง

แต่เป็นอู๋เซียงเทียนเซี่ย

หานเจวี๋ยสังเกตอู๋เซียงเทียนเซี่ยเงียบๆ เล็กน้อย ยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่ว่าจะรูปลักษณ์หรือว่าตบะล้วนมีโอกาสได้ครองตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุค!

ด้วยฐานะสุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งฟ้าบุพกาล สติปัญญาของหานเจวี๋ยจึงเลิศล้ำอย่างยิ่ง ช่วงที่เหล่าบุตรแห่งสวรรค์กำลังฟื้นคืนชีพ เขาก็เริ่มคำนวณอย่างบ้าคลั่งแล้ว

ผ่านไปสองลมหายใจ หานเจวี๋ยส่งบุตรแห่งสวรรค์ทั้งหมดที่ยังฟื้นฟูกายเนื้อกลับมาไม่ได้กลับไปยังเมืองทศพิธทันที เหลือบุตรแห่งสวรรค์อยู่ในห้วงอวกาศเพียงหนึ่งหมื่นคน

ฝั่งสำนักซ่อนเร้นและมรรคาสวรรค์ก็ตกรอบไปไม่น้อย

ในบรรดาหมื่นผู้กล้าระดับตบะที่อ่อนด้อยที่สุดคืออริยะเสรีระยะตอนปลาย!

“พวกเจ้าคือหมื่นผู้กล้าแห่งงานชุมนุมฟ้าบุพกาลครั้งแรก”

หานเจวี๋ยเปิดปากเอ่ยขึ้นช้าๆ บุตรแห่งสวรรค์หนึ่งหมื่นคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ผ่านไปสองลมหายใจเท่านั้น เมื่อครู่หากว่าพวกเขาชะล่าใจไปแม้แต่นิด เกรงว่าคงตกรอบไปแล้ว

จิตใจของพวกเขาตื่นตะลึงยิ่งกว่าเดิม

อริยะสวรรค์เกรียงไกรโจมตีเพียงกระบวนท่าเดียว…

สีหน้าของหานฮวงไม่น่ามองยิ่งนัก เขาทราบว่าบิดาแข็งแกร่งมาก แต่ผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้ เขาคิดว่าอย่างน้อยตนก็น่าจะต้านรับไหว ไม่คิดเลยว่า…

สีหน้าของบุตรแห่งสวรรค์ส่วนหนึ่งที่มั่นใจว่าจะช่วงชิงตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุคก็ไม่น่ามองเช่นกัน

หานเจวี๋ยจงใจรอคอยอยู่ระยะหนึ่ง รอให้ดวงจิตมหามรรคจัดการให้บุตรแห่งสวรรค์ที่ตกรอบแยกย้ายกันไปแล้ว ถึงได้ส่งหมื่นผู้กล้ากลับไป

เขาไม่ได้พูดมากความ เวลานี้ต่อให้พูดไปมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ อีกทั้งเขาก็ไม่จำเป็นต้องจูงใจผู้ใด

หานเจวี๋ยกลับมายังห้องโถง สายตาที่ผู้ทรงพลังทั้งหมดมองเขาเต็มไปด้วยความยำเกรง แต่ก็ไม่ได้ประจบประแจง เนื่องจากพวกเขาเคยมีประสบการณ์มาแล้ว

ทุกครั้งที่นึกถึงว่าต่อให้หานเจวี๋ยเข้าร่วมกับงานชุมนุมฟ้าบุพกาลก็นับเป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่อายุน้อยที่สุดเช่นกัน ความรู้สึกของเหล่าผู้ทรงพลังก็ยิ่งซับซ้อน

หากว่าศิษย์หรือทายาทของพวกเขาเก่งกาจถึงขนาดนี้…

แล้วไปเถอะ

หากเลิศล้ำถึงเพียงนี้จริงๆ พวกเขาก็คงขวางไม่ได้

เทพมหาทัณฑ์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ลำบากแล้ว”

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “งานชุมนุมฟ้าบุพกาลครั้งต่อไป ข้าจะไม่ออกโรงแล้ว”

“ฮ่าๆ แน่นอน นี่เป็นครั้งแรกก็ต้องสร้างความประทับให้อย่างลึกซึ้งกันหน่อย” เทพมหาทัณฑ์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

จากนั้น เสียงเทพมหาทัณฑ์พลันดังก้องขึ้นในเมืองทศพิธ

“ด่านที่สามจะเฟ้นหาพันองอาจ จะเริ่มขึ้นในอีกครึ่งปีให้หลัง”

ให้พักครึ่งปีอีกแล้ว แต่ครั้งนี้เหล่าบุตรแห่งสวรรค์ต้องการพักผ่อนจริงๆ ต่อสู้กับมรรคจิต

ด่านเมื่อครู่ใช้เวลาสั้นเกินไปแล้ว แต่ความสะเทือนใจที่พวกเขาได้รับยากจะลบเลือนได้

คาดว่านับจากนี้คงไม่มีทางลืมฉากนี้ลง

ข่าวจากเมืองทศพิธก็แพร่กระจายออกไปทั่วฟ้าบุพกาลอย่างต่อเนื่อง

สร้างความตื่นตะลึงให้สรรพสิ่งฟ้าบุพกาล อยากจะไปร่วมชมเรื่องครื้นเครงด้วยตัวเองใจแทบขาด

….

ลึกลงไปใต้ก้นบึ้งฟ้าบุพกาล

ณ โลกมหามรรคอวิชชา

เทวาที่หนึ่งซึ่งขนสีขาวหลุดร่วงไปหมดแล้วนั่งอยู่บนก้อนหิน เงยหน้ามองท้องฟ้า

ใบหน้าของเทวาที่หนึ่งดูหล่อเหลาขึ้น รูปร่างแกร่งกำยำ สวมชุดคลุมหนังสัตว์ผืนหนึ่งที่ปกคลุมทั้งร่างไว้ เขาพึมพำว่า “คึกคักกันจริงๆ ฟ้าบุพกาล เจ้าจะได้รุ่งโรจน์เช่นนี้อีกไม่กี่ครั้งเท่านั้น”

ปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งลงมาจากฟากฟ้า ร่วงหล่นลงเบื้องหน้าเทวาที่หนึ่ง ก่อตัวเป็นเงากระบี่เล่มหนึ่ง ใบหน้าครึ่งซีกของเหล่าจื่อส่องสะท้อนอยู่บนตัวกระบี่

เทวาที่หนึ่งมองเขา เอ่ยถาม “พร้อมแล้วหรือ”

เหล่าจื่อย้อนถาม “ข้าอยากรู้ก่อนว่านอกจากพวกเราแล้วยังมีผู้ใดอีกหรือไม่ บอกมาให้หมด”

“อริยะสวรรค์เกรียงไกร บรรพชนเต๋า ตัวตนที่ไม่อาจกล่าวนามได้ท่านหนึ่ง บรรพชนมาร เจ้าแดนอุดรฟ้าบุพกาล หากพวกเราร่วมมือกันย่อมอัญเชิญสิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาลได้สำเร็จ”

เทวาที่หนึ่งเอ่ยตอบ เหล่าจื่ออดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง

เหล่าจื่อถามต่อ “ขอเสียมารยาทถามว่าผู้ที่เบื้องหลังเจ้าเป็นใคร เจ้าถูกผนึกไว้ที่นี่ น่าจะไปยังฟ้าบุพกาลไม่ได้กระมัง!”

เทวาที่หนึ่งกล่าวว่า “อันที่จริงเจ้าก็เดาได้แล้ว ไยต้องถามอีก มีผลประโยชน์ร่วมกันก็พอแล้ว บางเรื่องไม่จำเป็นต้องถามซักไซ้เลย รักษาขอบเขตไว้บ้าง”

เหล่าจื่อเงียบไป

เทวาที่หนึ่งเอ่ยว่า “อนาคตจะมีเพิ่มขึ้นอีก ส่วนจะเริ่มดำเนินการเมื่อใดยังต้องรอดูโอกาสต่อไป”

“สหายเต๋าหลี่ทำความรู้จักกับผู้ทรงพลังเหล่านั้นที่บุกเบิกโลกมหามรรคต่อไปเถอะ หากพวกเขามีใจทะเยอทะยานแม้เพียงเศษเสี้ยว ย่อมจะเข้าร่วมกับพวกเรา”

เหล่าจื่อตอบรับ “ข้าเข้าใจแล้ว”

พูดจบเงากระบี่ก็เลือนหายไป

เทวาที่หนึ่งเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง มองไปยังก้นบึ้งฟ้าบุพกาล

“อริยะสวรรค์เกรียงไกร แข็งแกร่งมากจริงๆ ไม่แปลกเลยที่ท่านจะบอกว่าเขามีโอกาสบรรลุถึงระดับขั้นสูงที่สุด…”

“แต่ในเมื่อท่านสามารถตระหนักถึงจุดนี้ได้ เหตุใดเจ้าฟ้าบุพกาลถึงไม่…ในเมื่อตระหนักได้ แล้วเหตุใดถึงไม่…”

ดวงตาของเทวาที่หนึ่งฉายแววสับสนเล็กน้อย

….

ด่านที่สามของงานชุมนุมฟ้าบุพกาลเริ่มขึ้นตามกำหนดเวลา นี่คือด่านสุดท้าย

จะตัดสินลำดับพันองอาจ ร้อยศักดา สิบยอดฟ้าและเลิศล้ำหมื่นยุค

เป็นการประลองตัวต่อตัวแบบสุ่มจับคู่ ผู้แพ้จะตกรอบ!

เทพมหาทัณฑ์จัดแจงได้ดียิ่ง เริ่มจากให้อริยะเสรีประมือกันก่อน เมื่อผู้ชนะในระดับอริยะเสรีครบจำนวนเท่าจำนวนของอริยะมหามรรคแล้ว ก็ปล่อยให้ทั้งสองระดับเริ่มท้าประลองกันได้ ในบรรดานั้นรวมยอดมหามรรคไว้ด้วย!

ในฟ้าบุพกาล ยอดมหามรรคถูกเข้าใจว่าเป็นอริยะมหามรรคเช่นกัน สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงการมีอยู่ของระดับนี้

ด่านนี้ย่อมใช้เวลายาวนานยิ่ง

สนามต่อสู้อยู่ในห้วงมิติชั้นลึกเข้าไปที่เทพมหาทัณฑ์เคยสร้างเอาไว้ แบ่งออกหลายร้อยสนาม เมื่อเข้าสู่มิติประลองจะต่อสู้กันได้อย่างไร้ซึ่งกฎกติกา จะหยุดลงก็ต่อเมื่อได้ผู้ชนะ

และเหตุการณ์ในมิติประลองนับร้อยแห่งนี้จะฉายขึ้นเหนือเมืองทศพิธ สิ่งมีชีวิตในเมืองล้วนมีตบะทั้งสิ้น ต่อให้อยู่ไกลแค่ไหนก็มองเห็นได้ชัดเจน

หานเจวี๋ยก็รับชมอย่างตั้งใจ ให้ความสนใจกับคนใกล้ชิดเป็นหลัก

รอบแรกของการประลองในร้อยสนามนี้มีไก่คุกรัตติกาลด้วย ซึ่งเจ้าไก่ตัวนี้ก็เอาชนะได้อย่างสบายๆ

ไก่คุกรัตติกาลกลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลไปแล้ว ระดับตบะอยู่ไม่ไกลจากมหามรรคแล้ว

หากมิใช่เพราะมันไม่ได้ชอบฝึกบำเพ็ญเท่าเทพมารตนอื่นๆ บางทีมันอาจจะกลายเป็นอริยะมหามรรคไปแล้ว

ถึงแม้จะเอาชนะได้ แต่เจ้าไก่ตัวนี้ปากเสียนัก ทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกอับอายขายหน้า