บทที่ 930 ลีน่ากำลังโกรธจะตายอยู่แล้ว

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

ก็คือไม่รู้ว่า ระหว่างพวกเขาเกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้นาน่ามีท่าทีต่อพงศกรเปลี่ยนไป

ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น ลีน่ากับพงศกรก็หยุดเสียงพูดลง ทั้งคู่ต่างหันหน้าไปมอง

มองเห็นนัทธีกับวารุณีจูงมือกันเดินเข้ามา พงศกรไม่มีท่าทีตอบสนอง ดื่มชาอย่างนิ่งสงบ

ส่วนลีน่านั้นก็ค่อนข้างที่จะลนลาน ยิ้มกริ่มอย่างหยอกล้อไม่หยุด “อ้าว ประธานนัทธีกับวารุณีในที่สุดก็ยอมออกมาแล้ว นี่ออกมากินข้าวยังต้องจูงมือกันออกมา สองท่านนี้ไม่อยากแยกจากกันเลยหรอกเหรอ?”

เปรียบเทียบกับนัทธี วารุณีค่อนข้างจะขี้อายกว่าเล็กน้อย ทำให้มีความเก้อเขิน

แต่นัทธีดูไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย กลับเปิดเปลือกตาขึ้น พร้อมกับกวาดตามองไปทางลีน่าด้วยความเฉยเมย

ลีน่ารีบหดคอกลับทันทีทันใด ไม่เปล่งเสียงใดๆ ทำสีหน้าราวกับว่ากลัวเขามากจนไม่ไหวแล้ว

วารุณีส่ายหัวอย่างขำขัน

บนโลกนี้เหนือฟ้ายังมีฟ้าจริงๆ

นาน่ากลัวนัทธีขนาดนั้น แต่ทุกครั้งที่พบเจอเธอกับนัทธี กลับยังกล้าที่จะหยอกล้อ

หลังจากที่หยอกล้อแล้ว ก็ต้องเผชิญกลับสายตาเยือกเย็นอันน่ากลัวของนัทธี

หลังจากที่กลัว แต่ก็ยังดื้อไม่ยอมเปลี่ยน วนเป็นแบบนี้ ก็ไม่รู้จะต้องพูดอย่างไรดี

แต่ทว่า การมีนาน่าอยู่ที่นี่ ชีวิตปกติที่เรียบง่าย ก็กลับยิ่งคึกคักขึ้นมา

นัทธีลากเก้าอี้ออกมาหนึ่งตัว พร้อมตบไปที่พนักพิง เพื่อให้วารุณีนั่งลง

วารุณีก็ไม่ปฏิเสธ ยิ้มพร้อมกับนั่งลง

นี่เป็นเก้าอี้ที่สามีของเธอลากออกมาให้ เธอจะปฏิเสธไปทำไมกัน

นอกเสียจากว่าจะโง่ไปแล้ว!

หลังจากที่วารุณีนั่งลง นัทธีจึงได้ลากเก้าอี้อีกตัวหนึ่งที่อยู่ข้างเขาออกมา พร้อมกับนั่งลงประจำที่

หลังจากนั่งลง คนรับใช้ก็เริ่มเสิร์ฟอาหารขึ้นโต๊ะ

อาหารรสเลิศหรูหราถูกเสิร์ฟไว้ด้วยกัน ค่อยๆ ยกมาทีละจานเช่นนี้ สุดท้ายก็ถูกวางเต็มบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว กลิ่นหอมนั้นทำให้คนน้ำลายสอได้เลยทีเดียว

ลีน่ามองไปที่อาหารเหล่านั้นด้วยสายตาเป็นประกาย “ว้าว สุดยอดเลย ต้องขอบพระคุณคุณหมอพงศกร มื้อเย็นนี้ลาภปากแล้ว”

พงศกรได้ยินประโยคนี้ก็ยิ้มหัวเราะเบาๆ “คุณทารีนาชอบก็ดีแล้ว แต่ว่าไม่ใช่ต้องขอบคุณผมหรอก วารุณีต่างหาก เธอเป็นคนกำชับสั่งห้องครัวให้ทำ”

“งั้นก็เป็นเพราะการมาของคุณด้วยเช่นกันจึงทำให้มีอาหารมื้อค่ำมากมายขนาดนี้ ปกติฉันคงไม่ได้ทานแบบนี้หรอก” ลีน่าพูดพร้อมกับโบกมือ

นัทธีเบ้ปาก “นาน่า ได้ยินเธอพูดแบบนี้ เหมือนกับว่าเวลาปกติฉันปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมกับเธอ ไม่ให้เธอทานดีๆ แบบนี้เลย?”

สายตาของนัทธียิ่งเยือกเย็นจ้องเขม็งไปที่ลีน่า

รอยยิ้มบนใบหน้าของลีน่าหยุดชะงัก สักพักจึงจะตอบสนองและรู้สึกตัวว่าตัวเองนั้นพูดอะไรผิดไป หลังจากนั้นจึงมองไปทางด้านคู่สามีภรรยาด้วยใบหน้าเหยเก

เห็นว่าสองสามีภรรยานั้นเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม อีกคนนั้นก็ทำท่าทางดูเย็นชาไม่สนใจ ลีน่ารู้สึกเพียงว่าหัวของเธอเริ่มจะปวด

แต่ก็จำใจต้องข่มใจตอบกลับอย่างแข็งแกร่ง “จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ วารุณีเธอกับประธานนัทธีจะปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมกับฉันได้ยังไง ทุกครั้งที่ฉันทาน เชฟระดับสูงจะตั้งใจทำอาหารอย่างพิถีพิถันที่สุด เพียงแต่ว่าเวลาปกติที่ทานฉันก็มักจะทานคนเดียว ยากที่จะมีอาหารเยอะมากมายขนาดนี้ นี่ก็เพราะฉันเห็นอาหารมากมายขนาดกะทันหัน ก็ตื่นเต้นดีใจเกินไปหน่อย ดังนั้นจึงพูดอะไรไม่คิดออกไป”

เธอสาบาน เธอไม่ได้หมายความว่าพวกเขาปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมกับเธออย่างแน่นอน

ที่จริงคือเพียงแค่เห็นอาหารมากมายขนาดนี้กะทันหัน ก็เลยทำให้ตื่นเต้นเกินไปหน่อย

เธอรู้สึกว่า ไม่ควรไปโทษนาง

ตอนที่สองสามีภรรยานี้ไม่ได้ทำสงครามเย็นกัน ก็ตัวติดกันเหมือนกับแฝด ทานข้าวก็ตัวติดกันตลอดเวลา เธอไม่ชอบที่ตัวเองต้องไปเป็นก้างขวางคอ ดังนั้นปกติจึงไม่ได้ทานข้าวร่วมกันกับพวกเขา นานๆ ครั้งถึงจะได้ทานด้วยกัน

ถึงแม้หลังจากพวกเขาจะทำสงครามเย็นกันแล้ว แม้ว่าเธอจะไปทานข้าวกับวารุณี แต่สองคนจะสามารถทานได้มากเท่าไหร่กันเชียว?

ดังนั้น เวลาที่เธอทานข้าวกับวารุณี ปกติก็จะเป็นการให้เชฟทำอาหารมาสองอย่างก็พอทานแล้ว

สองคนก็ยังเป็นแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลาที่เธอทานคนเดียวเลย

งั้นแค่งานอาหารจานเดียวก็จบแล้วไม่ใช่หรอกเหรอ?

ดังนั้นยิ่งผ่านนานวันเข้า เธอไม่ได้พบเจออาหารมากมายวางรายล้อมพร้อมเพรียงกันบนโต๊ะแบบนี้มานานมากแล้ว นี่ก็เลยเหมือนกับคนบ้านนอกที่ตื่นเต้นดีใจจนพูดผิดๆ ถูกๆ ไปหมด

เห็นลีน่าท่าทางรู้สึกผิด วารุณีก็ไม่รู้จะขำหรือสงสารดี “เอาล่ะ อย่าเป็นแบบนี้เลย แค่หยอกเธอเล่นน่ะ พวกเรารู้อยู่แล้วว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้มีเจตนา นี่ก็ไม่ใช่เพราะว่าเห็นว่าเธอกลัวหรอกเหรอ เลยตั้งใจอยากจะหยอกเย้า? รีบกินข้าวกันเถอะ”

พูดจบ เธอก็หยิบตะเกียบขึ้นมา

นัทธีคีบกับข้าวใส่ในจานให้เธอไม่หยุด “ไปพูดพวกนี้กับเธอทำไม ไม่ใช่ว่าหิวแล้วเหรอ รีบกินเถอะ”

วารุณีมองอาหารที่อยู่ในจาน พร้อมกับยิ้มแล้วพยักหน้า “โอเค”

คู่สามีเริ่มทานข้าวกัน

พงศกรที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็มองไปที่ลีน่าอย่างเต็มไปด้วยความสนใจ พร้อมทั้งหยิบตะเกียบขึ้นมา

นี่ก็เป็นงานเลี้ยงรับแขกของเขา งั้นเขาต้องลิ้มลองของดีๆ ได้แล้วซินะ?

ลีน่าเห็นทุกคนลงมือทานข้าวกันแล้ว และรู้ว่าเรื่องราวได้ผ่านไปแล้ว ก็ถอนหายใจโล่ง จากนั้นก็หยิบตะเกียบขึ้นมา และเริ่มรับประทานอาหารเช่นกัน

เธอเองก็หิวแล้วเช่นกัน

อยู่เล่นเป็นเพื่อนสุขใจตลอดทั้งบ่าย ก็กลับไปที่ห้องเพื่อออกแบบเครื่องประดับให้กับลูกค้า เท่านี้ก็หมดเรี่ยวแรงแล้ว

จังหวะนี้เธอต้องกินให้เยอะๆ หน่อย เพื่อเป็นการแก้แค้นที่วารุณีและประธานนัทธีข่มขู่ทำให้เธอตกใจกลัว

ถึงแม้ว่าจะคิดเช่นนี้ แต่ที่จริงแล้วในใจเธอรู้ดี เธอจะกินเยอะอีกสักแค่ไหนก็ไม่สามารถตอบแทนความแค้นได้

ไม่ว่างอย่างไรก็ตามทั้งสองคนก็เป็นครอบครัวที่รวยและมีอิทธิพลใหญ่ ทั้งชีวิตนี้เธอไม่มีทางกินจนทำให้พวกเขาจนหรอก

ขณะทานข้าว จู่ๆ ลีน่าก็นึกอะไรบางอย่างออก ลูกตากลอกไปมา หยุดลงที่วารุณีและนัทธี เธออ้าปากกว้าง คล้ายกับว่าต้องการจะพูดอะไร แต่ไม่รู้ว่าลังเลอะไรอยู่ ชักช้าไม่ยอมพูดออกมาเสียที

วารุณีพอจะเดาออก ก็วางตะเกียบลงไว้ มองเธอพร้อมกับเอ่ยถาม “นาน่า เป็นอะไร? เธออยากจะพูดอะไรก็พูดสิ”

ลีน่าได้ยินคำพูดนั้นของเธอ ก็วางตะเกียบลงเช่นกัน พร้อมกับหัวเราะแหะๆ “วารุณี นี่เธอก็พูดเองนะ”

“อือ” วารุณีพยักหน้า

รอยยิ้มของลีน่ายิ่งเจ้าเล่ห์ขึ้นเรื่อยๆ

นัทธีหรี่ตามอง

ผู้หญิงคนนี้คิดจะทำอะไร?

พงศกรที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จามาตลอด ก็เกิดความสนใจขึ้นมาเช่นกัน วางตะเกียบลงพร้อมกับสองแขนที่โอบล้อมพนักเก้าอี้ไว้ทางด้านหลัง ท่าทางขรึมและดูพร้อมรอเสพข่าว

มือข้างหนึ่งของลีน่าทำเป็นกำปั้นหลวมๆ หลังจากนั้นก็วางไว้ที่ริมฝีปากพร้อมกับไอ และกระแอมเบาๆ เอ่ยถามพลางยิ้มกริ่ม “วารุณี ตอนบ่ายเธอกับประธานนัทธีอยู่ในห้องด้วยกันตั้งนานสองนาน ของขวัญที่ฉันให้พวกเธอ ใช้ดีใช่ไหม?”

เธอมองวารุณี แล้วก็มองไปทางนัทธีอีกครั้ง

พงศกรที่นิ่งรอเสพข่าวเงียบๆ ได้ยินประโยคนี้เข้า น้ำที่อยู่ในปากก็เกือบจะพ่นออกมา

ชัดเจน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึง สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ต้องการจะพูด จะเป็นสิ่งนี้

แต่ทว่า นี่ยิ่งน่าสนใจขึ้นไปอีกไม่ใช่เหรอ?

ความสนใจในแววตาของพงศกรยิ่งเข้มข้นขึ้น

นัทธีที่ถูกให้เป็นตัวพระเอกหลักในเรื่องซุบซิบนี้ เวลานี้สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นอึมครึมขึ้นมาในพริบตา

วารุณีหางตากระตุกเล็กน้อย ส่ายหัวพร้อมกับตอบกลับ “ใช้ก็ยังไม่ได้ใช้เลย ฉันจะรู้ได้ที่ไหนว่าใช้ดีหรือไม่ดี?”

แต่ว่าคำว่าใช้คำนี้ กลับทำให้เธอรู้สึกแปลก

ชุดนอนไม่ใช่สวมเหรอ?

ทำไมต้องใช้คำว่าใช้ด้วย?

“อะไรนะ? พวกเธอไม่ได้ใช้?” ลีน่าตะโกนเสียงดังด้วยสีหน้าประหลาดใจ

วารุณีพยักหน้า “ใช่ ทำไมเหรอ?”

ชัดเจนเลยว่าลีน่าไม่พอใจในผลลัพธ์นี้อย่างเห็นได้ชัด “พวกเธอไม่ได้ใช้ งั้นพวกเธอทำอะไรกันอยู่ในห้องทั้งบ่าย?”

“นัทธีกำลังทำงาน ส่วนฉันก็นอน” วารุณีกะพริบตาปริบๆ พร้อมกับพูด

ลีน่ายื่นมือออกไป ชี้นิ้วไปที่เธอแบบสั่นๆ “เธอ…พวกเธอ…เฮ้อ!”

เวลาดีๆ อันสดใสในช่วงบ่ายเช่นนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าจะนำมาใช้นอนนำมาใช้ทำงาน

เจ้าสองคนนี้นี่จริงๆ เลย!

วารุณีก็ช่างเถอะ

ประธานนัทธีเห็นของขวัญชิ้นนั้นแล้ว ก็ควรอดใจไม่ไหวอยากรีบใช้เลยไม่ใช่เหรอ?

ทำไมถึงอดทนไหว

นี่ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย!

ลีน่าคิดหาสาเหตุของเรื่องนี้ไม่ออกจริงๆ

และพงศกรที่เสพข่าวอยู่ข้างๆ นั้นรู้สึกขบขันจะตายอยู่แล้ว

ลีน่า ผู้หญิงคนนี้ช่างน่าขบขันเสียจริง

มีเธออยู่ ดูเหมือนว่าการใช้ชีวิตต่อจากนี้ คงไม่ต้องกังวลเลยว่าจะไม่มีละครสนุกๆ ดูแล้ว

“นาน่า เธอเป็นอะไรไป?” เห็นลีน่าแสดงท่าทางโมโหในความไม่เอาไหน วารุณีก็ยิ่งงงงวย “ก็แค่ชุดนอนสองชุดเองเหรอ ตอนค่ำหลังจากซักตากแห้งเรียบแล้วพวกเราก็จะใส่ ดังนั้นตอนกลางวันไม่ได้ใส่ ก็ไม่มีอะไรแปลกหนิ? เธอจะรู้สึกเสียดายที่พวกฉันไม่ใส่ไปทำไมกัน?”

เธอไม่เข้าใจ