เดือนสิบ วันที่ยี่สิบสอง ศึกสุดท้ายของก่วงหลิงเริ่มต้นขึ้น หนนี้กองทัพต้ายงเตรียมตัวมาแล้ว ตอนที่กวนเฟิงออกจากเมืองเพื่อโจมตีกองทัพต้ายงบนฝั่ง กองเรือของต้ายงก็พลันปรากฏตัวขึ้น ต้ายงประจันหน้ากับหนานฉู่ในแถบจิงไหวมาหลายปี กองเรือเก่งกาจสูสีทัดเทียมกับหนานฉู่ แตกต่างกับโจรสลัดที่มีคนสารพัดมารวมกันกลุ่มนี้ราวฟ้ากับดิน
หลังจากต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่พักหนึ่ง โจรสลัดทั้งกลุ่มก็ย่อยยับ นอกจากกวนเฟิงที่โชคดีหนีกลับไปก่วงหลิงได้ก็มิมีผู้ใดรอดชีวิตสักคน กองทัพต้ายงตัดเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างก่วงหลิงกับหยางโจวตั้งแต่แรกแล้ว ยามนี้ทะเลสาบเกาโหยวทางฝั่งตะวันออกก็ตกอยู่ในการควบคุมของกองทัพต้ายงอีก เหออิ่งอาศัยกองเรือโจมตีเมืองฝั่งตะวันออกหลายหน หนนี้ก่วงหลิงกลายเป็นนครโดดเดี่ยวแล้วอย่างแท้จริง
เดือนสิบ วันที่ยี่สิบสาม กองทัพต้ายงบุกโจมตีต่อเนื่อง ในที่สุดก่วงหลิงก็สูญเสียกำลังที่จะต่อต้าน แม้แม่ทัพแห่งกองทัพต้ายงร้องขออย่างแรงกล้าให้เผยอวิ๋นบุกยึดก่วงหลินในรวดเดียว ดีที่สุดฆ่าล้างเมืองระบายโทสะเสีย แต่กลับถูกเผยอวิ๋นห้ามไว้ เขาสั่งให้คนยิงศรผูกสารโน้มน้าวให้ยอมจำนนเข้าไปในเมือง
ไช่อวิ๋นผู้แก่ชราลงสิบปีภายในเวลาหนึ่งเดือนมองสารที่ผูกติดมากับลูกศรในมือ สีหน้าเขาเฉยชาอย่างประหลาดขณะที่มองแม่ทัพทั้งหลายเบื้องหน้า พวกเขาล้วนเหนื่อยล้ายิ่งนัก แทบจะบาดเจ็บกันทุกคน ยามนี้ภายในเมืองก่วงหลิงเหลือทหารเพียงหนึ่งหมื่นกว่าคนเท่านั้น ทหารทั้งหมดสองหมื่นนายตายอยู่บนกำแพงเมือง ทหารและประชาชนของก่วงหลิงต่างบาดเจ็บล้มตายเพิ่มมากขึ้นทุกที สู้ต่อไปมิได้แล้วจริงๆ
ในทางตรงกันข้าม กองทัพต้ายงที่นอกเมืองอาศัยอาวุธอันพรั่งพร้อมกับกำลังรบอันกล้าแข็ง แม้เป็นฝ่ายที่บุกตีเมืองแต่กลับสูญเสียกำลังคนไปเพียงหนึ่งหมื่นห้าพันนายเท่านั้น ทั้งกำลังหลักก็ยังมิเสียหาย
เหตุใดกองหนุนจึงยังมิมาอีก ไช่หลินมองเห็นคำถามเช่นนี้ในดวงตาของแม่ทัพและเหล่าทหารใต้บัญชา แนวป้องกันเมืองแตกแล้ว ข้างนอกไร้กำลังเสริม เหล่าทหารเหนื่อยล้า แม้แต่ยอดแม่ทัพก็ยากจะป้องกันเมืองต่อไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นไช่หลินตระหนักดีว่าตนเองมีความสามารถอยู่ในขั้นธรรมดาเท่านั้น เขายิ้มขมขื่น เอ่ยอย่างหม่นหมอง “วันพรุ่งออกจากเมืองขอยอมจำนน”
เห็นสีหน้าราวกับปลดภาระหนักอึ้งลงจากบ่าของแม่ทัพทั้งหลาย ไช่หลินก็ทราบว่าพวกเขามิได้ยินดีเพราะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ผู้ใดจะรู้ว่ากองทัพต้ายงจะชำระแค้นเพราะเสียหายหนักหนาหรือไม่ แต่ขอเพียงหลุดพ้นจากการสู้รบบุกตีเมืองอันมิจบมิสิ้นได้ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว กองทัพไร้กองหนุน มิมีเมืองใดรักษาไว้ได้ ขวัญกำลังใจของทหารและประชาชนก่วงหลิงพังทลายลงแล้ว มิมีทางรักษาเมืองไว้ได้แล้วจริงๆ
หลังจากแม่ทัพทั้งหลายจากไป ชายหนุ่มผิวสีทองแดงที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องก็เดินเข้ามา “พี่ใหญ่ไช่ ท่านจะยอมสวามิภักดิ์จริงหรือ”
ไช่หลินมองเขาแล้วเอ่ยว่า “น้องกวน เจ้าทำเพื่อมิตรภาพที่มีให้แก่ผู้แซ่ไช่จนถึงที่สุดแล้ว ฉวยโอกาสคืนนี้ เจ้าหนีออกไปทางทะเลสาบเกาโหยวเสียเถิด”
ชายหนุ่มผู้นั้นตอบอย่างกรุ่นโกรธ “พี่ใหญ่ไช่ วันวานหากมิใช่ท่านยื่นมือช่วย บิดามารดาของข้าคงถูกทางการสังหารไปนานแล้ว ก่อนท่านทั้งสองจากไปสั่งให้ข้าใช้ชีวิตตอบแทนบุญคุณ ข้าไฉนเลยจะหนีรอดไปเพียงลำพังได้ หากท่านตาย ข้ายังจะมีหน้าอันใดไปพบบิดามารดาอีก”
ไช่หลินเอ่ยอย่างเศร้าหมอง “วันนั้นข้าเพียงยื่นมือช่วยเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าไยต้องเก็บมาใส่ใจ ยิ่งไปกว่านั้นข้าต้องการไหว้วานเจ้าช่วยไปพบแม่ทัพใหญ่ลู่ บอกให้เขาเตรียมรับศึกที่จิงโข่วในเร็ววัน วันพรุ่งนี้ข้าจะไปขอยอมจำนนเท่านั้น เผยอวิ๋นมีคุณธรรมเป็นที่เลื่องลือ เขาคงมิสร้างความลำบากให้ข้า เรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก สำคัญมากยิ่งกว่าชีวิตของข้า เจ้าถือของแทนตัวของข้าไปเถิด”
กวนเฟิงละล้าละลัง เอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อพี่ใหญ่ไช่เอ่ยเช่นนี้ ข้าก็จะไปพบแม่ทัพใหญ่ลู่ พี่ใหญ่โปรดวางใจ เมื่อข้าพบแม่ทัพใหญ่ลู่แล้วจะกลับมาไหวตง คิดหาวิธีช่วยท่าน”
ไช่หลินคลี่ยิ้ม “ดี ข้าจะรอเจ้ามาช่วยข้า คืนนี้เจ้าไปเสียเถิด ข้าเหนื่อยมากแล้ว อยากจะพักผ่อนดีๆ สักหน่อย หลายวันนี้ยากจะมีคืนใดมิต้องกังวลว่ากองทัพต้ายงจะบุกตีเมือง ข้าสมควรพักผ่อนดีๆ สักคืนบ้าง”
กวนเฟิงเห็นเขาสีหน้าซีดเซียวจึงเอ่ยขอตัว “พี่ใหญ่รักษาตัวด้วย คืนนี้ข้าคงมิมาลาแล้ว ท่านวางใจเถิด อย่างมากที่สุดห้าหกวันข้าก็กลับมาแล้ว ถึงยามนั้นจะต้องตามหาท่านจนพบแน่ แถบเจียงไหว ข้าเพียงลำพังเดินทางไปมาได้ดั่งใจ มิมีทางถูกกองทัพต้ายงพบตัวแน่นอน”
ไช่หลินพยักหน้า หมุนตัวกลับไปยังห้องด้านใน คืนนั้นกวนเฟิงฉวยจังหวะกลางคืนเดินทางออกจากก่วงหลิง กองทัพเรือของต้ายงมีเพียงกองเดียว การป้องกันมิแน่นหนานัก ดังนั้นกวนเฟิงจึงลักลอบลงไปในทะเลสาบเกาโหยวได้อย่างราบรื่น จากนั้นว่ายน้ำตลอดทั้งคืนไปขึ้นฝั่งทางใต้
เดือนสิบ วันที่ยี่สิบสี่ หลังจากไช่หลินนอนหลับสบายมาหนึ่งคืน เขาก็จัดแจงหน้าผม อาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ เปลี่ยนมาสวมอาภรณ์สีเขียวชุดหนึ่ง แต่เดิมเขาก็มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง ทั้งยังเคยประสบความสำเร็จในการสอบขุนนาง แม้จะเปลี่ยนมารับตำแหน่งทางทหาร แต่ก็ยังมิทิ้งท่วงท่าเยี่ยงบัณฑิต
เมื่อสวมอาภรณ์สีเขียว เขาก็มิคล้ายแม่ทัพผู้อาบโลหิตรักษากำแพงเมือง แต่กลับเหมือนบัณฑิตผู้ท่องเที่ยวร่ำเรียน มิมีสภาพน่าอเนจอนาถเหมือนหลายวันก่อน เขามองดูใบหน้าซูบผอมแต่ยังมีเรี่ยวแรงในกระจกทองแดง จากนั้นเขาก็ยิ้มเล็กน้อย
รับประทานอาหารเช้าเสร็จ แม่ทัพทั้งหลายและขุนนางแห่งก่วงหลิงก็รออยู่ด้านนอกแล้ว เขามองทุกคนแล้วคลี่ยิ้ม “ทุกท่านมิต้องกังวล ผู้ที่นำกำลังพลต่อต้านสุดชีวิตคือผู้แซ่ไช่ หากกองทัพต้ายงจะถามหาความผิด ผู้แซ่ไช่ย่อมรับไว้เอง” คนทั้งหลายต่างมองหน้ากัน เมื่อเห็นไช่หลินใจกว้างเช่นนี้ ทุกคนจึงวางใจขึ้นมาก
ต้นยามซื่อ ไช่หลินนำผู้คนออกมาทางประตูเมืองทิศเหนือ จากนั้นนำเหล่าแม่ทัพและขุนนางก่วงหลิงเดินเท้ามาถึงค่ายทัพของต้ายงเพื่อขอยอมสวามิภักดิ์ด้วยตนเอง เวลานี้เผยอวิ๋นได้รับรายงานก่อนแล้ว ในใจเขาค่อนข้างนับถือแม่ทัพหนานฉู่ผู้ต้านทานกองทัพใหญ่มาได้นานครึ่งเดือนผู้นี้พอสมควร เพื่อแสดงความนับถือ เขาจึงพาแม่ทัพทั้งหลายมาตั้งขบวนต้อนรับ
ทั้งสองฝ่ายหยุดฝีเท้าเมื่ออยู่ห่างกันยี่สิบจั้ง แม่ทัพทั้งหลายแห่งกองทัพต้ายงมองไช่หลินแล้วลอบนึกประหลาดใจ คนผู้นี้ดูไปแล้วกลับเหมือนบัณฑิตหน้าขาวคนหนึ่ง คิดมิถึงว่าจะปกป้องเมืองที่ถูกปล่อยให้โดดเดี่ยวจากการโหมบุกของกองทัพต้ายงได้นานถึงครึ่งเดือน
ไช่หลินมองกระบวนทัพของกองทัพต้ายงที่แลดูเข้มงวดกวดขันตรงหน้าแล้วยิ้มละไม แต่เดิมเขาเป็นบุตรหลานของตระกูลขุนนางอันเป็นตระกูลบัณฑิต แต่ไหนแต่ไรมาเชิดชูบัณฑิตดูแคลนทหาร มีเพียงเขาที่ร่ำเรียนตำรามิเป็นผลสำเร็จจึงเปลี่ยนมาฝึกฝนกระบี่ แล้วยังขัดคำสั่งของบิดามาเข้าร่วมกองทัพ น่าเสียดายตนเองมีความสามารถเพียงขั้นธรรมดา กองทัพจึงพ่ายแพ้เช่นนี้ เขายังจะมีหน้าอันใดขอยอมสวามิภักดิ์เพื่อเอาชีวิตรอด
เขายกมือขึ้น ห้ามแม่ทัพทั้งหลายของหนานฉู่ให้หยุดเดิน ตนเองเดินไปข้างหน้าเพียงลำพัง เมื่ออยู่ห่างจากกระบวนทัพของต้ายงไม่กี่จั้ง เขาจึงหยุดยืน มองไปทางเผยอวิ๋นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพต้ายง เอ่ยเสียงกังวานว่า “แม่ทัพเผย ไช่หลินเพ้อฝันคิดจะนำไพร่พลต่อต้านกองทัพของท่าน เวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมาโลหิตสาดย้อมนครอันโดดเดี่ยว หากท่านแม่ทัพคิดถือโทษ ไช่หลินขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว ขอท่านอภัยให้ทหารและประชาชนก่วงหลิงด้วย”
เผยอวิ๋นตอบเสียงดังเช่นกัน “สองแคว้นทำศึก ย่อมสมควรเป็นเช่นนี้ ผู้แซ่เผยแม้ไร้ความสามารถ แต่ก็มิคิดชำระแค้นกับทหารและประชาชนก่วงหลิงเพราะเรื่องนี้”
ไช่หลินหัวเราะเสียงดังกังวาน ชักกระบี่ออกจากฝัก หวงเฉิงรองแม่ทัพเข้าใจว่าเขาจะมอบกระบี่กับตราประทับแสดงเจตนาว่าจะยอมจำนนเท่านั้น จึงประคองตราประทับส่งมาให้ ผู้ใดจะคิดว่าไช่หลินกลับยกกระบี่จดลำคอกล่าวว่า “ผู้แซ่ไช่เป็นขุนนางของหนานฉู่ มิมีเหตุผลสมควรยอมสวามิภักดิ์ วันนี้ขอใช้ความตายชดใช้ความผิด เรื่องราวภายหลัง ฝากรองแม่ทัพหวงจัดการด้วย” กล่าวจบก็ใช้กระบี่ปลิดชีพตน จังหวะเดียวกับเสียงตะโกนคำว่า “มิได้” ของเผยอวิ๋น โลหิตไหลริน ร่างของไช่หลินล้มลงบนผืนดิน
คนของหนานฉู่ต่างตกตะลึงอย่างยิ่ง รองแม่ทัพหวงร้องตะโกนเสียงดัง ถลาเข้ามาหน้าศพของไช่หลินร่ำไห้น้ำตานอง แม่ทัพทั้งหลายของต้ายงแม้แต่เดิมใจจะนึกเคืองแค้น แต่ยามนี้ความแค้นกลับมลายหายสิ้น มองศพของไช่หลินแล้วถอนหายใจมิวาย
ผ่านไปเนิ่นนาน รองแม่ทัพผู้นั้นก็ห้ามน้ำตาแล้วลุกขึ้น หยิบกระบี่อาบโลหิตของไช่หลินกับตราประทับก้าวเข้ามาค้อมคำนับ “ผู้น้อยหวงเฉิงรองแม่ทัพแห่งค่ายใหญ่ก่วงหลิงในสังกัดกองทัพไหวตงแห่งหนานฉู่ ขอเป็นตัวแทนทหารและประชาชนก่วงหลิงขอยอมจำนนต่อแม่ทัพเผยผู้บัญชาการทหารไหวหนาน ขอท่านแม่ทัพโปรดละเว้นพลทหารกับประชาชนทั้งหลาย พวกผู้น้อยล้วนยินยอมให้ท่านแม่ทัพลงโทษตามใจ”
เผยอวิ๋นลงจากม้า ก้าวเข้ามารับกระบี่กับตราประทับแล้วตอบว่า “แม่ทัพผิงเวยเผยอวิ๋น ผู้บัญชาการทหารไหวหนานแห่งต้ายง ขอเป็นตัวแทนองค์จักรพรรดิยอมรับการยอมจำนนของทหารและประชาชนก่วงหลิง ท่านแม่ทัพโปรดวางใจ ผู้แซ่เผยมิมีทางเข่นฆ่าทหารและประชาชนก่วงหลิงเพื่อระบายความแค้น”
รองแม่ทัพผู้นั้นโขกศีรษะตอบ “ผู้น้อยโขกศีรษะขอบคุณท่านแม่ทัพที่อภัย”
ด้านหลังเขา แม่ทัพและขุนนางทั้งหลายของก่วงหลิงล้วนทรุดลงคารวะขอขมา บัดนี้ศึกที่นองเลือดมากที่สุดของไหวตงในที่สุดก็จบลง
หลังจากเผยอวิ๋นปลอบแม่ทัพกับขุนนางทั้งหลายของก่วงหลิงที่ยอมจำนนเสร็จก็กลับมายังค่าย กำลังจะเตรียมยกทัพไปหยางโจว เวลานี้เองก็มีผู้ส่งสารของฉู่โจวนำจดหมายของเว่ยผิงมาส่ง เผยอวิ๋นเปิดออกอ่านแล้วก็ขมวดคิ้วเป็นปม ส่งจดหมายให้บรรดาแม่ทัพผลัดกันอ่าน
ตู้หลิงเฟิงตามอยู่ด้านข้างจึงได้อ่านจดหมายด้วยแล้ว เขานิสัยใจร้อนเป็นที่สุด ตะโกนออกมาอย่างตกใจ “เป็นไปได้เช่นไร จิงฉางชิงอยู่ในคุกแท้ๆ แล้วยังมีครอบครัวเป็นตัวประกันอีก แต่คนทั้งครอบครัวกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย นี่เป็นไปได้เช่นไรเล่า”
จางเหวินซิ่ว เหออิ่งกับแม่ทัพที่เหลือต่างมองหน้ากัน เผยอวิ๋นเอ่ยอย่างเยือกเย็น “จิงฉางชิงคนเดียวไม่นับเป็นอะไร แต่เรื่องนี้บ่งบอกว่ากองทัพเรารีบร้อนเกินไป ถ่ายทอดคำสั่งข้า เหออิ่งตามข้าบุกยึดหยางโจวก่อน เหวินซิ่วรับผิดชอบจัดการเมืองต่างๆ ในไหวตงให้เรียบร้อย ผู้ใดก็ตามที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับหนานฉู่ล้วนต้องตรวจสอบให้ชัดเจน จะทิ้งไว้เป็นภัยภายหลังมิได้
มิสู้เหลือช่องว่างเล็กน้อยให้ขุนนางและประชาชนที่จงรักภักดีต่อหนานฉู่เหล่านั้นหนีไปทางใต้ ทำเช่นนี้ไหวตงจะสงบขึ้นเหน่อย ฝ่าบาทมีพระประสงค์ต้องการให้ยึดครองดินแดนแถบปากแม่น้ำไหวสุ่ยกับซื่อสุ่ยให้มั่น แม้มิอาจข้ามแม่น้ำได้อย่างราบรื่นก็จะต้องมิเสียไหวตงไปอีก”
แม่ทัพทั้งหลายขานรับเสียงดังกระหึ่ม
หลังจากกองทัพต้ายงจัดการเมืองก่วงหลิงอยู่สามวัน เผยอวิ๋นก็นำกองทัพเดินทางไปยังหยางโจว
เดือนสิบ วันที่ยี่สิบเก้า ไพร่พลของกองทัพต้ายงบรรลุถึงชานเมืองหยางโจว เจ้าเมืองหยางโจวทิ้งเมืองหนีเอาตัวรอด ทหารต้ายงมิต้องเสียเลือดเนื้อก็บุกยึดหยางโจวมาได้ ตอนนี้ไหวตงจึงถูกยึดครองอย่างสมบูรณ์