ข่าวจากทางไหวตงขาดหาย ลู่ช่านแม่ทัพใหญ่แห่งหนานฉู่ขอเป็นผู้คุมไหวตงด้วยตนเอง ซั่งเหวยจวินผู้กุมราชสำนักมิยินยอม จนกระทั่งกองทัพต้ายงยึดหยางโจว หมายตาจิงโข่ว ข่าวการศึกมาถึงเจี้ยนเย่ ซั่งเหวยจวินหวาดกลัวอย่างมิอาจพรรณนาจึงอนุญาตให้ลู่ช่านกุมอำนาจกองทัพ ลู่ช่านคุมไพร่พลสามหมื่นนายจากค่ายใหญ่จิ่วเจียง ล่องเรือสองพันห้าร้อยลำ ยกทัพมาถึงจิงโข่ว ประจันหน้ากับกองทัพต้ายง
…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สาม
เดือนสิบเอ็ด วันที่สอง ณ นครหลวงต้ายง ภายในศาลาหลินปัวในจวนขององค์หญิงฉางเล่อ เข้าเดือนสิบเอ็ด ค่ำคืนในฉางอันหนาวเย็นยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้น หลายวันก่อนยังมีหิมะตก แต่เจียงเจ๋อดันมาชมจันทร์ริมทะเลสาบ จะมิให้เสี่ยวซุ่นจื่อปวดหัวได้เช่นไร
เขาให้คนจุดไฟท่อมังกรเพลิงด้านในตั้งแต่เช้าจนค่ำ ศาลาหลินปัวอบอุ่น เมื่อเจียงเจ๋อเดินจากสวนเหมันต์มาถึงศาลาหลินปัว ภายในศาลาก็อบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเปล่าเปลี่ยวหม่นหมองของเจียงเจ๋อ เสี่ยวซุ่นจื่อก็อดกลัดกลุ้มมิได้
นับตั้งแต่ต้ายงยกกองทัพลงใต้ เจียงเจ๋อก็เก็บตัวอยู่ในจวน มิไปที่ใดทั้งสิ้น นอกจากอ่านหนังสืออยู่ที่สวนเหมันต์ ก็นั่งเหม่อลอยอยู่ในศาลาหลินปัว หลายวันนี้มิเพียงปฏิเสธการเรียกเข้าเฝ้าของหลี่จื้อ แม้แต่หลี่เสี่ยนหรือพวกสืออวี้ก็มิยอมพบทั้งสิ้น เสี่ยวซุ่นจื่อย่อมเข้าใจว่าเหตุใดเจียงเจ๋อจึงเป็นเช่นนี้ ต้ายงยาตราทัพลงใต้เป็นเรื่องที่ช้าเร็วก็ต้องเกิด เพียงแต่ทุกคนต่างคิดมิถึงว่า เมื่อเรื่องเกิดขึ้นจริงๆ เจียงเจ๋อจะหดหู่เช่นนี้
ผ่านไปเนิ่นนาน เจียงเจ๋อก็พลันรำพันขึ้นว่า “ชีวิตเฝ้าตรากตรำฝ่าอุปสรรค มิรู้จักบำรุงร่างกาย ยังหนุ่มกลับมีโรคมากมาย กายานี้ไฉนจะทนถึงแก่ชรา”
เสี่ยวซุ่นจื่อได้ยินก็พลันตื่นตระหนก เนื้อความในบทกวีเกี่ยวข้องกับการเกิดแก่เจ็บตาย มักจะกลายเป็นบทกวีทำนายทายทักอยู่บ่อยครั้ง เจียงเจ๋อตรากตรำเหน็ดเหนื่อยมาตั้งแต่เยาว์วัยจนเส้นผมขาวตั้งแต่ยังหนุ่ม เคยเกือบจะกระอักเลือดตาย มิใช่ ‘ชีวิตเฝ้าตรากตรำฝ่าอุปสรรค’ หรือ
แม้วรรคที่ว่า ‘มิรู้จักบำรุงร่างกาย’ จะมิถูกอยู่บ้าง เพราะหลายปีนี้เขาเริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงบ้างแล้ว แต่ก็ติดอยู่ที่พรสวรรค์ ก้าวหน้ามิได้มากจริงๆ
‘ยังหนุ่มกลับมีโรคมากมาย’ วรรคนี้ทุกคนรู้ดีมิต้องพูดถึง หากวรรคที่ว่า ‘กายานี้ไฉนจะทนถึงแก่ชรา’ กลายเป็นจริงอีก ไยมิใช่กลายเป็นกลอนทำนายชีวิตจริงๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสี่ยวซุ่นจื่อพลันรู้สึกว่าเหงื่อเย็นหลั่งออกมาทั่วร่าง รีบก้าวเข้าไปเอ่ยว่า “คุณชายเหตุใดจึงรำพันเช่นนี้ หากคุณชายรู้สึกว่านครหลวงต้ายงอยู่มิสบาย มิสู้ข้ากลับตงไห่เป็นเพื่อนคุณชายดีหรือไม่”
ข้าถามขึ้นมาอย่างเรียบเฉย “หนนี้ฝ่าบาทบุกตีเจียงหนาน แต่มิมาหารือแผนการรบกับข้า เจ้าทราบหรือไม่ว่าเรื่องนี้เป็นเพราะเหตุใด”
ดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อฉายประกายคมกริบ ตอบว่า “หรือฝ่าบาทจะแคลงใจคุณชายแล้ว ดังนั้นจึงจงใจกีดกัดคุณชายให้อยู่วงนอก หนนี้กองทัพใหญ่บุกลงใต้ ตามหลักสมควรตั้งกองบัญชาการชั่วคราวสำหรับการปราบทิศใต้เพื่อคอยควบคุมดูแลแต่ละกองทัพ หากเป็นเช่นนั้น ฉีอ๋องย่อมเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้คุมกองบัญชาการปราบทักษิณที่ผู้คนเชื่อถือ แต่ฝ่าบาทก็มิได้ออกราชโองการก่อตั้ง หรือฝ่าบาทจะมิพอใจมิตรภาพระหว่างฉีอ๋องกับคุณชาย”
ข้าส่ายศีรษะตอบว่า “ฝ่าบาทจะคลางแคลงใจฉีอ๋องหรือไม่ยังมิทราบ ทว่ากระทั่งฉีอ๋องก็มิเคยเอ่ยถึงการตั้งกองบัญชาการชั่วคราว ส่วนข้า หากฝ่าบาทเกิดแคลงใจขึ้นมาจริงก็ย่อมมิเผยร่องรอยออกมาเช่นนี้ เขาเพียงเป็นห่วงว่าข้าจะอาลัยบ้านเกิด มิอยากทำให้ข้าลำบากใจก็เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น หลังปราบเป่ยฮั่นแล้ว ในใจฝ่าบาทก็เกิดความหยิ่งทะนง เขาคิดว่าการปราบหนานฉู่ง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ กองทัพใหญ่สามทางไพร่พลห้าแสนนายบุกอย่างพร้อมเพรียง ส่วนเจียงหนานมีทหารชั้นยอดเพียงสองแสนนายเท่านั้นที่ทำศึกกับต้ายงได้ แม้ว่าจะคว้าชัยชนะมาได้แน่ แต่สุดท้ายก็จะเจ็บกันทั้งสองฝั่ง มิเพียงฝ่าบาทเท่านั้น แม้แต่ฉีอ๋องกับแม่ทัพทั้งหลายก็มีความคิดดูแคลนเจียงหนานอย่างเลี่ยงมิได้ ความกังวลของข้าก็เป็นเพราะเหตุนี้”
เสี่ยวซุ่นจื่อปรบมือ “คุณชายทราบเรื่องราวในเจียงหนานกระจ่างดุจฝ่ามือ หรือว่าศึกหนนี้ต้ายงจะพ่ายแพ้สูญเสียแม่ทัพหรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุไฉนคุณชายจึงมิกราบทูลกับฝ่าบาทให้ชัดเจนเล่า”
ข้ายิ้มขมขื่นกล่าวว่า “บางครั้งหากเรื่องมิปรากฏชัดอยู่ตรงหน้าก็ยากจะทำให้คนเชื่อ ยามฝ่าบาทกับขุนนางทั้งหลายหารือเรื่องการปราบหนานฉู่ แม้แต่สืออวี้ผู้สุขุมก็ยังกล่าวว่า ‘หนานฉู่ถูกขุนนางกุมอำนาจ อีกทั้งยังมีทายาทสำนักเฟิงอี้เป็นภัยซ่อนเร้น แม่ทัพกับเสนาบดีมิถูกกันยิ่งนัก แม้มีแม่ทัพใหญ่เช่นลู่ช่าน ก็มิมีทางสร้างความดีความชอบข้างนอกได้เป็นอันขาด
หากกองทัพของเรารุกคืบเป็นลำดับ แม้นมิอาจปราบหนานฉู่ได้ในศึกเดียว ก็ยังบุกตีไหวหนาน ครอบครองสู่จง ยึดครองเซียงหยาง ให้หนานฉู่เหลือเพียงลมหายใจรวยรินริมฉางเจียงได้’
คำพูดเช่นนี้ เห็นชัดว่าเบื้องบนของต้ายงสูญเสียความเยือกเย็นไปแล้ว กลับเป็นฝ่ายหนานฉู่ แม้ลู่ช่านถูกอำนาจของพวกขุนนางกดอยู่ แต่ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างพร้อมร่วมใจต่อต้านศัตรู ร่วมแรงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ศึกนี้ต้ายงต้องพ่ายหนานฉู่เป็นแน่ ข้าส่งฎีกาลับถวายฝ่าบาทแล้ว แจ้งว่าศึกนี้แพ้ชนะยังมิแน่นอน ขอฝ่าบาทอย่าเพิ่งรีบร้อนยกทัพ
น่าเสียดายฝ่าบาทปล่อยฎีกาทิ้งไว้มิไถ่ถาม เห็นชัดว่ามิเห็นด้วยกับความคิดเห็นของข้า บางทีอาจคิดว่าข้าทนมองเห็นบ้านเกิดพบภัยสงครามมิได้ ดังนั้นจึงกล่าววาจาเกินจริงข่มขวัญ ความจริงลูกผู้ชายไหนเลยต้องพะว้าพะวัง ข้าได้รับการดูแลในต้ายงมาสิบกว่าปี ได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทมามากมายเช่นนี้ จะโลเล มิตัดสินใจเลือกได้เช่นไร”
เสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวอย่างฉงน “คุณชาย ยังมิต้องพูดถึงว่าสิ่งที่เสนาบดีสือกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ แต่แม่ทัพกับเสนาบดีของหนานฉู่มิถูกกัน ทั้งยังมีสำนักเฟิงอี้ขัดขวางอยู่ข้างใน เรื่องนี้เป็นความจริงแน่นอน แม้แม่ทัพลู่จะเก่งกาจกลศึก แต่ก็ยังมิอาจควบคุมอำนาจทหารทั้งหมดได้ เป็นเช่นนี้แล้วยังจะรบชนะได้หรือ
แม่ทัพฉินสุขุมมากประสบการณ์ แม่ทัพจ่างซุนหนักแน่นชาญฉลาด แม่ทัพเผยกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ทั้งสามคนล้วนเป็นแม่ทัพผู้มีความสามารถรับผิดชอบการใหญ่ได้ แม่ทัพลู่เพียงผู้เดียวจะเอาชนะได้เช่นไร”
ข้าถอนหายใจ “ซั่งเหวยจวินเป็นคนที่ทำร้ายแว่นแคว้นก็จริง แต่เจ้าแคว้นหนานฉู่จ้าวหล่งเป็นหลานชายของเขา เขามองแผ่นดินหนานฉู่เป็นสมบัติของตระกูลตนเอง ดังนั้นเมื่อสถานการณ์ถึงยามวิกฤต เขาย่อมสนับสนุนลู่ช่านเต็มกำลัง ส่วนการโจมตีและกีดกันหลังรบชนะ นั่นย่อมมิต้องพูดถึง เพียงแต่ว่าหากถึงเวลานั้นย่อมสายเกินไปสำหรับต้ายงแล้ว
พูดถึงสำนักเฟิงอี้ ข้าค่อนข้างเสียใจอยู่บ้าง ยามนั้นข้าปล่อยทายาทของสำนักเฟิงอี้ให้รอดไปเพราะพวกนางทำการใดก็มิสำเร็จ มีแต่ทำให้ล้มเหลว แต่ข้ามิสมควรปล่อยเหวยอิงไปจริงๆ เพียงแต่ติดที่ว่าสถานการณ์ตอนนั้นมิอาจมิทำเช่นนั้น
แม้คนผู้นี้จะโหดเหี้ยมอำมหิต แล้วยังถูกลาภยศและความเคียดแค้นผูกรั้งจนทำให้บ้านแตกสาแหรกขาด ระเหเร่ร่อนไปยังหนานฉู่ แต่คนผู้นี้ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรชายของเหวยกวน อีกทั้งยังเป็นผู้ที่เจ้าสำนักเฟิงอี้ให้ความสำคัญ เขามีความสามารถเหนือผู้อื่นอย่างแท้จริง อีกทั้งสายตายังเฉียบแหลม เขาใคร่ครวญอย่างหนัก จากนั้นเลือกลู่ช่านเป็นคนที่เขาจะสนับสนุน
หลายปีที่ผ่านมา หากมิมีเขาไกล่เกลี่ยตรงกลาง ด้วยนิสัยของลู่ช่านคงตีกับซั่งเหวยจวินจนบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายไปนานแล้ว ลู่ช่านแตกต่างจากข้า ข้าชอบใช้อำนาจควบคุมคน หากเป็นลูกน้องของข้า ต่อให้เคารพรักข้า ข้าก็ต้องกุมความเป็นความตายของเขาไว้อย่างสมบูรณ์ หากคิดทรยศเมื่อใดก็จัดการอย่างเด็ดขาดได้
แต่ลู่ช่านใช้งานคนด้วยความจริงใจ แม้ในใจลูกน้องมีแผนการของตนเอง ขอเพียงภักดีมิคิดร้าย เขาก็จะใช้งานอย่างมิแคลงใจ ดังนั้นเขาจึงใช้งานเหวยอิงได้ มีคนเช่นนี้กำจัดศัตรูทางการเมือง กำจัดความยากลำบากแทนลู่ช่าน ลู่ช่านจึงยืนหยัดอยู่ในหนานฉู่ได้มิล้ม”
เสี่ยวซุ่นจื่อถามอย่างประหลาดใจ “เหวยอิงผู้นี้ ความจริงแล้วร้ายกาจเช่นนี้เชียวหรือ”
ข้าถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวว่า “ความร้ายกาจของคนผู้นี้ เหนือกว่าที่เจ้ากับข้าจินตนาการไว้เสียอีก นับตั้งแต่แผนการที่ตงไห่มิสำเร็จ คนผู้นี้ก็มิรู้ว่าไปร่วมมือกับลู่ช่านได้อย่างไร หลายปีที่ผ่านมาซั่งเหวยจวินกับสำนักเฟิงอี้ล้วนใช้อุบายเล่นงานลู่ช่าน แต่กลับถูกเขาแก้ไขจนหมด กองการข่าวของกรมกลาโหมเองก็วางแผนการหลายหน คิดจะใช้การต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายในแคว้นหนานฉู่ทำร้ายลู่ช่าน แต่ก็ยังถูกเขากำจัดจนมิเหลือร่องรอย
เรื่องนี้แม้แต่เบื้องบนของต้ายงก็ยังมิทราบว่าเป็นการกระทำของเหวยอิง แต่ข้าอ่านเอกสารของกองการข่าวทั้งหมดกับรายงานลับของหอกลไกสวรรค์จึงค้นพบเบาะแสเงื่อนงำ เฮ้อ ลู่ช่านกล้าใช้งานเหวยอิง ความจริงใจเช่นนี้ ข้าสู้มิได้ เหวยอิงมิถือสาความสัมพันธ์ระหว่างลู่ช่านกับข้า ก็เป็นสิ่งที่ข้าคาดคิดมิถึงเช่นกัน”
เสี่ยวซุ่นจื่อครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “คุณชาย เมื่อวานฝ่าบาทให้คนส่งข่าวการศึกมายังสวนเหมันต์ ด่านจยาเหมิงกับเซียงหยางเริ่มเปิดศึกกันแล้ว แม้ยังมิมีความคืบหน้า แต่กองทหารรักษาเมืองของทั้งสองแห่งก็มิมีเวลาสนใจสิ่งอื่น สถานการณ์ฝั่งไหวตงผลปรากฏชัดแล้ว ส่วนราชสำนักหนานฉู่เพิ่งจะตอบสนอง ลู่ช่านเคลื่อนกำลังพลของค่ายใหญ่จิ่วเจียงมายังจิงโข่ว ภายในเวลามิถึงหนึ่งเดือน หนานฉู่ก็เสียไหวตง
สถานการณ์สงครามเป็นเช่นนี้คุณชายยังรู้สึกมิวางใจ หากมิใช่ว่าราชสำนักหนานฉู่ถ่วงขา ลู่ช่านไฉนจะเพิ่งยกทัพออกศึกตอนนี้ ยามนี้สูญเสียปราการฝั่งไหวตงไปแล้ว แม้นลู่ช่านมีกำลังพอพลิกฟ้า ก็เกรงว่างคงทำอันใดมิได้แล้ว”
ข้าละสายตาจากดวงจันทราเย็นเยือกแล้วหันกลับมาถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า การที่ลู่ช่านยกทัพมาช่วยไหวตงมิทันหนนี้ มิได้อยู่ในการคาดการณ์ของฝ่าบาท ยามลู่ช่านบัญชาการทัพ เมื่อสงครามประชิดอยู่ตรงหน้าเขามักจะตัดสินใจเอง มิสนใจคำสั่งของเจ้าแผ่นดิน ด้วยเหตุนี้ตอนนั้นเขาจึงกล้าจู่โจมด่านจยาเหมิงสายฟ้าแลบ เจ้าคิดว่าเหตุใดเขาจึงยินยอมเสียเวลาอยู่ในเจี้ยนเย่ เหตุใดเผยอวิ๋นจึงรายงานว่าข่าวสารระหว่างไหวตงกับเจี้ยนเย่ถูกตัดขาด”
เสี่ยวซุ่นจื่อตกตะลึง เอ่ยขึ้นว่า “คุณชายเคยบอกว่าลู่ช่านจิตใจดีงาม”
ข้ากล่าวอย่างราบเรียบ “คนเป็นแม่ทัพย่อมต้องใจเหี้ยม ลู่ช่านปฏิบัติอย่างสง่าผ่าเผยต่อศัตรูและต่อมิตรก็จริง แต่วิธีการของเขามิแน่ว่าจะเมตตาสักเท่าใด มิเช่นนั้นเมื่อตอนนั้นเขาคงมิวางแผนดักสังหารข้า ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเหวยอิงอยู่ข้างกายเขาอีก”
เสี่ยวซุ่นจื่อครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ถอนหายใจแผ่วเบา ข้าเอ่ยต่อว่า “ชัยภูมิของไหวตงเป็นจุดยุทธศาสตร์ แม่น้ำตัดผ่านกัน เหมาะแก่การทำศึกทางบกและน้ำ กองเรือของหนานฉู่ชำนาญภูมิประเทศ ถนัดการใช้กองเรือเดินทางไปมาลอบจู่โจมเร็วทางแม่น้ำ หากลู่ช่านกับเผยอวิ๋นทำศึกกันในไหวตง ย่อมตกอยู่ในสถานการณ์ยืดเยื้ออย่างแน่นอน จากนั้นสถานการณ์ก็จะเป็นประโยชน์กับฝ่ายหนานฉู่
แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง กองทัพหนานฉู่ก็คงจะยอมทิ้งไหวตงมิได้ง่ายๆ ยามสงครามดำเนินต่อเนื่องจะถอยย่อมมิง่าย หากเป็นเช่นนี้ย่อมสมความประสงค์ของกองทัพเรา รั้งลู่ช่านไว้ที่ไหวตง ส่วนไหวซี จิ่วเจียง เจียงเซี่ยไร้การป้องกัน กองเรือกับพลทหารเดินเท้ากับพลทหารม้าของค่ายใหญ่สวีโจวมีหนึ่งแสนห้าหมื่น เหตุใดมีกำลัพลสามหมื่นนายมิรู้ไปที่ใด จ่างซุนจี้นำกองทัพใหญ่สองแสนนาย จะเตรียมตัวรั้งอยู่ในเซียงหยางทั้งหมดเลยหรือ
แม่ทัพคนอื่นของหนานฉู่ยังมิอาจแบกรับการใหญ่ได้ อวี๋เหมี่ยนแห่งจยาเหมิงทำเป็นแต่ปฏิบัติตามคำสั่ง หรงเยวียนแห่งเซียงหยางหากออกจากเซียงหยางก็เป็นปลาออกห่างน้ำ เป็นห่านป่าหลงฝูง จุดอ่อนของหนานฉู่ก็คือมีเพียงลู่ช่านผู้เดียวที่ค้ำจุนสถานการณ์ได้ พวกเขายังสู้เป่ยฮั่นในตอนนั้นมิได้เสียด้วยซ้ำ เป่ยฮั่นหลังจากสิ้นหลงถิงเฟยก็ยังมีองค์หญิงจยาผิงกับแม่ทัพต้วนสืบทอดปณิธานของเขา ด้วยเหตุนี้แม่ทัพเผยจึงค่อยๆ บุกยึดเมืองฝั่งไหวตงทีละก้าวเพื่อล่อลู่ช่านให้เข้ามาในไหวตง
แต่น่าเสียดายเผยอวิ๋นทำดีเกินไป สุดท้ายจึงล้มเหลวก่อนสำเร็จเพียงก้าวเดียว สองกองทัพมาประจันหน้ากันที่ท่ากวาโจว แม้หนานฉู่จะสูญเสียไหวตงไป แต่อาศัยแม่น้ำฉางเจียงอันเป็นปราการธรรมชาติ ลู่ช่านย่อมล่องเรือสู้รบได้อย่างคล่องแคล่วดังใจ เช่นนี้แผนการของกองทัพเราย่อมพบอุปสรรคแล้ว แต่ความสำเร็จอันราบรื่นในไหวตงกลับทำให้คนของต้ายงทั้งบนล่างยิ่งระวังหนานฉู่น้อยลงอีก ฝั่งนี้ลดฝั่งนั้นเพิ่ม เจ้าเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ของต้ายงแล้วหรือไม่!”
เสี่ยวซุ่นจื่อฟังจบเหงื่อกาฬก็หลั่งรินทั่วร่าง แต่เขาก็ยังโต้อีกว่า “แม้เป็นเช่นนี้ แต่ชั่วขณะหนึ่งลู่ช่านก็จะติดอยู่ที่จิงโข่วกระดิกตัวมิได้ ค่ายใหญ่เจียงเซี่ยก็เคลื่อนพลมิได้โดยง่าย แม่ทัพที่เหลือล้วนมิอาจไปช่วยเหลือ ตามความคิดของคุณชาย กองทัพเราตั้งใจจะบุกทางไหวซี สือกวนแม่ทัพผู้พิทักษ์ไหวซีแม้จะชำนาญศึกก็มิอาจชนะทหารกล้าผู้รอดมาจากร้อยศึกของต้ายงได้ อาศัยกำลังพลอ่อนแอของไหวซี จะต้านทานกองทัพอาชาเหล็กของต้ายงได้เช่นไร”