ข้าถอนหายใจแล้วตอบว่า “เรื่องนี้ ตอนนี้ข้าก็ยังคิดไม่ออก แต่บางครั้งกำลังของมนุษย์ก็มิอาจเอาชนะสวรรค์ ข้าคิดว่าก่อนวันที่สิบห้าคงมีข่าวการศึกส่งกลับมา ถึงยามนั้นก็จะทราบว่าลู่ช่านรับมืออย่างไร ข้าเพียงหวังว่าศึกนี้ต้ายงจะมิสูญเสียสาหัสเกินไปนัก”
เสี่ยวซุ่นจื่อเงียบงันมิตอบคำ ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายมิจำเป็นต้องกังวล แม่ทัพเผย แม่ทัพจ่างซุนล้วนเป็นผู้เก่งกล้าชำนาญศึกย่อมมิพ่ายแพ้ย่อยยับถึงขั้นเก็บกวาดมิได้ คุณชาย เมื่อวานเฉินเจิ่นส่งข่าวมา จิงฉางชิงญาติผู้พี่ของท่านถูกจับเป็นเชลยอยู่ฉู่โจว ตกระกำลำบากมิน้อย แต่ซานจื่อกับฉวีหวงใช้กองบัญชาการลับที่ไหวตงของหอกลไกสวรรค์พาพวกเขาทั้งครอบครัวส่งกลับไปจยาซิงแล้ว”
ข้ายิ้มละไมตอบว่า “ญาติผู้พี่เป็นคนหัวแข็ง ท่านลุงตั้งใจจะย้ายมาอาศัยในฉางอัน แต่เขาหัวเด็ดตีนขาดก็มิยอม จะรักษาคุณธรรมความภักดีให้ได้ หนนี้จึงได้ลิ้มรสความลำบากแล้ว เผยอวิ๋นคงไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับข้า หาไม่แล้วมิว่าอย่างไรก็คงมิสร้างความลำบากให้เขา”
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้ม “คุณชายกับตระกูลจิงแห่งจยาซิงตัดขาดการติดต่อกันมานานแล้ว คุณชายซุ่นชิงที่เป็นญาติฝั่งนั้นของท่านก็ถูกนายท่านจิงขับไล่ออกจากตระกูลมานาน ไม่แปลกที่แม่ทัพเผยจะมิทันฉุกใจคิดถึงเรื่องนี้ แต่เรื่องนี้เกรงว่าคนของกรมวินิจการณ์จะล่วงรู้แล้ว แม้เฉินเจิ่นจัดการได้รอบคอบอย่างยิ่งจนแม้แต่พวกคนตระกูลจิงยังมิทราบตัวตนของพวกเขา แต่ข้ากังวลว่ากรมวินิจการณ์อาจค้นพบความเกี่ยวพันระหว่างหอกลไกสวรรค์กับคุณชาย”
ข้าพยักหน้า “เรื่องนี้มิป้องกันมิได้ แต่เรื่องหนก่อนในสู่จง เซี่ยโหวหยวนเฟิงก็คงได้รับบทเรียนไปมิน้อยแล้ว การเสียด่านจยาเหมิงทำให้ขุนนางใหญ่มากมายกล่าวโทษเขาว่าทำงานไม่เรียบร้อย แล้วตอนนี้ในมือพวกเราก็ยังมีทายาทเจ้าแคว้นสู่อยู่อีก เซี่ยโหวหยวนเฟิงคงมิกล้าล่วงเกินข้ามากเกินไป อีกประการหนึ่ง หลังจากปราบหนานฉู่สำเร็จ หอกลไกสวรรค์ก็สมควรหายไป
หลายปีที่ผ่านมาความสำเร็จของลี่ว์เอ่อร์กับกำไรจากตระกูลไห่เพียงพอให้พวกเราดำรงชีวิตแล้ว มิจำเป็นต้องพะวงถึงการมีอยู่ของหอกลไกสวรรค์อีกต่อไป ให้พวกเขาระวังตัวสักหน่อย อย่าให้ถูกลู่ช่านกับเหวยอิงพบพิรุธ ข้ายังมีเรื่องต้องใช้หอกลไกสวรรค์ในศึกปราบหนานฉู่”
เสี่ยวซุ่นจื่อขานรับเบาๆ
เวลานี้เอง เสียงเหยียบกองหิมะก็ดังมาจากไกลๆ ข้าขมวดคิ้ว เหตุไฉนเวลานี้แล้วยังมีคนมารบกวนข้าที่ศาลาหลินปัวอีก ข้าเงยหน้ามองจึงเห็นองค์หญิงฉางเล่อพาหญิงรับใช้สองนางกับเสี่ยวลิ่วจื่อเดินมาทางด้านนี้ใต้แสงโคมอำพราง ความอบอุ่นผุดพรายขึ้นในใจ เป็นสามีภรรยากันมาสิบปี ให้เกียรติกันและกันเสมอแขก สตรีนางนี้ยังคงมีความรักลึกซึ้งดังเช่นวันที่พวกเราจูงมือกันออกจากฉางอันมิเคยลดทอน
เพื่อชมทิวทัศน์ยามหิมะ ข้าจงใจสั่งห้ามคนมิให้มากวาดหิมะที่กองทับถมรอบศาลาหลินปัว บนทางเดินหินก็เป็นเช่นนี้ เมื่อเห็นนางต้องให้หญิงรับใช้ประคองระหว่างย่ำเหยียบกองหิมะหนาเข้ามา ข้าก็ทนมิไหวจนต้องก้าวออกไปรับ ทันทีที่เดินออกจากศาลาหลินปัว ลมหนาวพลันโถมเข้าใส่หน้า ข้าตัวสั่นสะท้าน รู้สึกปวดใจยิ่งกว่าเดิม ข้าสาวเท้าเร็วไวสองสามก้าวไปกุมมือเรียวของฉางเล่อแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ดึกป่านนี้แล้ว ท่านยังออกมาทำอะไรหรือ” พูดพลางรีบจูงนางเดินเข้ามาในศาลาหลินปัว
ภายในศาลาหลินปัว แสงโคมประหนึ่งหิมะ ข้าหันไปมองดวงหน้างามอันนิ่งสงบของฉางเล่อ หลายปีที่ผ่านมาต้องผ่านลมผ่านฝนมากมาย แม้ว่าจะกลับมาถึงฉางอันแล้ว แต่นางมักจะต้องแวะเวียนเข้าวังรับมือกับการเล่นงานในที่ลับและในที่แจ้งสารพัดเพื่อแย่งชิงพื้นที่ที่จะอยู่อย่างสงบสุขและเป็นอิสระเสรีให้ข้า ถึงกระนั้นมิว่าเวลาจะเคลื่อนคล้อยผ่านไปเช่นไร รูปโฉมของนางกลับมิด้อยลงแม้แต่น้อย ต่อให้ดวงหน้ามีริ้วรอยที่กาลเวลาฝากไว้ แต่กลับทำให้นางมีเสน่ห์มากขึ้น ประดุจดั่งน้ำพุใสไหลรินรดหัวใจผู้คนให้สดชื่น แม้สุขุมสงบนิ่งแต่กลับอ่อนหวานทำให้คนเป็นสุข ข้ากุมมือเย็นเฉียบทั้งสองข้างของนาง เคลื่อนสายตามองดวงหน้างามที่ถูกสายลมหนาวเป่าจนแดง จากนั้นก็ถอนหายใจแผ่วเบาหนหนึ่ง แล้วจุมพิตริมฝีปากสีชมพูของนางเบาๆ
เรือนร่างอรชรของฉางเล่อขืนตัวเล็กน้อย แม้เป็นสามีภรรายากันมาหลายปี แต่นางก็ยังมิคุ้นชินกับการใกล้ชิดกันต่อหน้าผู้อื่น ทว่านางก็มิได้ผลักข้าออก ปล่อยให้ข้าแสดงความรักตามใจชอบ ข้าสัมผัสได้ถึงความเขินอายของนางจึงล้มเลิกความคิดที่จะจู่โจมต่อแล้วคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นอะไร ท่านวางใจเถิด มิต้องเป็นห่วงข้า”
เวลานี้ดวงหน้างามของฉางเล่อแดงระเรื่อกว่าเดิม นางเหลือบมองคนทั้งสี่ด้านนอกศาลาหลินปัวที่กำลังกำหนดสมาธิดวงตาพิจารณาจมูก จมูกพิจารณาริมฝีปาก ปากพิจารณาความคิดอย่างไวๆ วูบหนึ่ง แล้วตอบอย่างอ่อนหวาน “ข้าทราบว่าท่านคงมีแผนการอยู่แล้ว ข้ามิคิดจะถามท่าน เพียงแต่กลางคืนหิมะตก อากาศหนาวเย็น ท่านสมควรสวมอาภรณ์เพิ่มสักหน่อย เสี่ยวลิ่วจื่อ หยิบมาเถิด”
เสี่ยวลิ่วจื่ออุ้มห่อผ้าห่อหนึ่งเดินเข้ามา องค์หญิงฉางเล่อสะบัดห่อผ้าคลุมสีเหลืองสว่างออก หยิบผ้าคลุมหนังเพียงพอนหิมะผืนหนึ่งออกมา บอกว่า “สิ่งนี้พี่สะใภ้ให้คนส่งมาให้วันนี้ เป็นของบรรณาการของปีนี้จากโยวโจว บางแต่อบอุ่นที่สุด ข้ามิสนว่าท่านจะชมหิมะหรือชมจันทร์ มิว่าอย่างไรก็ต้องสวมเสื้อผ้าเพิ่มจึงจะถูกต้อง”
ข้าปล่อยให้นางผูกผ้าคลุมให้ข้า หลังจากนั้นจึงกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้แล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ มือของนางกลับมาอบอุ่นแล้ว ข้าเอื้อมมือไปโอบเอวบางของนาง แย้มรอยยิ้ม “ในเมื่อมาแล้วก็อยู่เป็นเพื่อนข้าเถิด ชมจันทราเย็นเยือกกลางสระน้ำ ดวงดาราหนาวเหน็บบนผืนฟ้าของค่ำคืนนี้”
ฉางเล่อเงยหน้าขึ้น แต่นางมิได้มองดวงจันทร์และดวงดาวบนผืนฟ้า กลับมองมาหาข้า แย้มรอยยิ้มงดงามมิเอ่ยวาจา ข้ารู้สึกว่าหัวใจสงบและเป็นสุข ปรารถนาให้ห้วงเวลาหยุดอยู่ ณ ยามนี้ชั่วนิรันดร์
ตอนนี้พวกเสี่ยวซุ่นจื่อถอยออกไปไกลอย่างรู้จักกาลเทศะ เหลือเพียงพวกเราสองสามีภรรยากระซิบกระซาบกันใต้แสงจันทร์ ข้าตระกองกอดฉางเล่อ โยนความกลัดกลุ้มออกจากหัวใจชั่วคราว จดจ่ออยู่กับการสนทนาสัพเพเหระเป็นเพื่อนนาง ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวใจ จากนั้นก็มลายหายในชั่วพริบตา ค่ำคืนนี้ เหนือแม่น้ำฉางเจียงจะมีคนกำลังชมจันทราเย็นเยือกอย่างเงียบงันอยู่เหมือนกันหรือไม่
ห่างออกไปนับพันลี้ ค่ายใหญ่ของกองทัพต้ายงกับกองเรือของกองทัพหนานฉู่กำลังประจันหน้ากั้นกลางด้วยผืนน้ำกว้างใหญ่ จันทร์ข้างขึ้นหม่นแสง ดวงดาราส่องสว่างเต็มผืนฟ้า ลู่ช่านยืนอยู่บนเรือโหลวฉวน มองจันทราเย็นเยือกกลางแม่น้ำ รินสุราอธิษฐาน “ขอสวรรค์คุ้มครองข้า ขับไล่อริกล้าแกร่งจากต้ายง พิทักษ์แผ่นดินและประชาชนของข้า หากวิญญาณวีรชนของแม่ทัพไช่รับรู้ โปรดเข้าใจความลำบากใจของข้าด้วย” กล่าวจบ เขาก็มองของแทนตัวของไช่หลินในมือแล้วถอนหายใจมิเลิก
เมื่อวันก่อนมีคนถือของแทนตัวของไช่หลินเดินทางมาขอพบ เสร็จแล้วคนผู้นั้นก็ตั้งใจจะย้อนกลับไปไหวตงเพื่อช่วยเหลือไช่หลิน หลังจากตนเองบอกตามตรงว่าไช่หลินปลิดชีพสละชีวิตเพื่อแว่นแคว้นแล้ว คนผู้นั้นก็ร่ำไห้จนสลบ แม้การตัดสินใจเลือกเสียสละไหวตงของตนจะมิมีผู้ใดตำหนิ แต่ก็ทำใจให้สงบยากยิ่งนัก
เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังของเขา “แม่ทัพใหญ่ไยต้องคิดมาก ผู้แซ่เหวยเป็นคนลงมือตัดขาดข่าวสารระหว่างไหวตงกับเจี้ยนเย่โดยพลการก่อนค่อยรายงานเอง หากมิเป็นเช่นนี้จะทำให้อัครมหาเสนาบดีซั่งยอมมอบอำนาจทหารทั้งหมดออกมาได้เช่นไร ยามนี้แม่ทัพใหญ่กุมกำลังทหารทั้งหมดของหนานฉู่ไว้แล้ว ต่อต้านกองทัพต้ายงได้เต็มกำลัง เสียสละไหวตงแห่งเดียวจะนับเป็นอะไรได้ ยิ่งไปกว่านั้นกองทัพไหวตงก็อ่อนแอยิ่งนัก ทั้งยังเป็นพรรคพวกของอัครมหาเสนาบดีซั่ง พวกเขาเสียหายหนักย่อมมีแต่ผลดีต่อท่านแม่ทัพมิใช่หรือ”
ลู่ช่านยิ้มขื่นขม “พี่เหวยไยจึงเอ่ยเช่นนี้ เรื่องนี้ข้าก็เป็นผู้ร่วมสมคบคิดด้วย แม้ไหวตงตัดขาดข่าวสาร แต่ข้าไฉนจะมิทราบความสามารถของเผยอวิ๋น แม่ทัพทั้งหลายในไหวตงย่อมมิมีผู้ใดต้านทานเขาไหว เพียงแต่ว่าเพื่อการใหญ่ ข้าจึงทำได้เพียงแสร้งมิรู้ ยุ่งอยู่กับอัครมหาเสนาบดีซั่งที่เจี้ยนเย่มิจบสิ้น จนไหวตงพ่ายแพ้ แม่ทัพไช่สละชีพอย่างมิขลาดกลัว เฮ้อ นี่เป็นบาปของข้า พี่เหวยเพียงขบคิดเพื่อกองทัพของข้าก็เท่านั้น”
เหวยอิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็เพียงตอบอย่างเฉยเมย “ผู้แซ่เหวยกระทำไปหาใช่เพื่อท่าน เพียงแต่อยากให้ท่านเป็นฝ่ายทำศึกชนะอย่างยิ่งใหญ่ก็เท่านั้น ท่านมั่นใจหรือไม่”
ลู่ช่านเพียงยิ้มมิตอบ จากนั้นจึงเอ่ยว่า “เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนข่าวการศึกทางไหวซีส่งมาถึงแล้ว กองทัพของชุยเจวี๋ยแห่งค่ายใหญ่หนานหยางบุกโซ่วชุนแล้ว ส่วนต่งซานแห่งค่ายใหญ่สวีโจวที่หนนี้มิปรากฏตัวที่ไหวตงก็ไปถึงจงหลีแล้ว จ่างซุนจี้นำกองทัพใหญ่หนึ่งแสนสี่หมื่นของค่ายใหญ่หนานหยางโอบล้อมเซียงหยางด้วยตนเอง ไหวซีมีกำลังพลของแม่ทัพสือกวนเพียงสามหมื่นนาย เจตนาของกองทัพต้ายงชัดแจ้ง พวกเขาจะบีบให้ข้าห่วงหน้าพะวงหลัง ข้าถ่ายทอดคำสั่งไปยังจงหลีแล้ว ให้ปกป้องเมืองสามวัน จากนั้นถอยไปโซ่วชุน หากมิอาจถอยอย่างปลอดภัยได้จริงๆ จะขอยอมจำนนก็มิเป็นอันใด เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมล่อสองกองทัพของต้ายงมายังโซ่วชุนได้”
เหวยอิงขมวดคิ้ว “ท่านคิดจริงๆ หรือว่าโซ่วชุนจะต้านกองทัพของต้ายงได้ สือกวนมีความสามารถระดับกลางค่อนไปทางบนเท่านั้น แต่กองทัพต้ายงมีทหารและแม่ทัพมากมาย”
ลู่ช่านตอบสีหน้าเคร่งขรึม “จุดสำคัญของการรักษาเมือง กุญแจสำคัญอยู่ที่ขวัญกำลังใจทหารกับประชาชน แม่ทัพสือจะต้องปกป้องโซ่วชุนได้อย่างมิมีปัญหาแน่ ยิ่งไปกว่านั้นอวิ๋นเอ๋อร์เป็นบุตรชายคนโตของข้า แล้วยังเป็นผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์เจิ้นหย่วนกง มีเขาอยู่ที่โซ่วชุน ทหารและประชาชนย่อมวางใจ โซ่วชุนมิมีทางเสียเมืองเด็ดขาด”
เหวยอิงกล่าวขึ้นว่า “แต่อาศัยเพียงกำแพงเมืองตั้งหลักป้องกัน อย่างไรก็ยากจะต้านไว้ได้นาน ยิ่งไปกว่านั้น ค่ายใหญ่เจียงเซี่ยมีกองเรือเป็นกำลังหลัก แม้มีทหารม้าเพียงสามพัน แต่ก็เสมือนน้ำหนึ่งถ้วยมิอาจดับไฟไหม้ฟืนหนึ่งคันรถ ท่านคงจะมิให้กองเรือไปรบกับทหารม้าเหล็กของต้ายงหรอกกระมัง นั่นไยมิใช่ทิ้งรากคว้าปลาย ค่ายใหญ่จิ่วเจียงก็ประจันหน้ากับกองทัพต้ายงอยู่ที่นี่ เผยอวิ๋นเพียงต้องรั้งกองทัพของเราเอาไว้ ช้าเร็วโซ่วชุนย่อมรักษาไว้มิได้ ท่านมิเป็นห่วงความปลอดภัยของบุตรรักหรือ”
ลู่ช่านตอบอย่างเยือกเย็น “เกิดเป็นบุตรตระกูลลู่ เขาย่อมมีสำนึกสละตนเองเพื่อแว่นแคว้น นับประสาอะไรกับเมื่อศึกนี้ข้าเตรียมการเอาไว้แล้ว หนนี้กองทัพต้ายงมุ่งเป้ามายังไหวซีเป็นหลัก ไหวตงเป็นกับดัก เซียงหยางกับด่านจยาเหมิงเป็นเพียงเป้าหมายที่จะบรรลุหรือไม่ก็ได้ แต่น่าเสียดาย กองทัพต้ายงมิมีผู้ใดคอยชักนำสถานการณ์ทั้งหมด ทั้งยังเลือกไม่ใช้กองเรือตงไห่ เรื่องนี้คงเป็นเพราะจักรพรรดิต้ายงดูแคลนเหล่าทหารและแม่ทัพหนานฉู่ของพวกเรา ผู้แซ่ลู่จะเล่นงานกองทัพต้ายงหนักๆ สักหน ให้กองทัพอาชาเหล็กแห่งต้ายงมิกล้าหมายตาไหวหนานอีกต่อไป”
เหวยอิงฟังจบก็เงียบงันมิตอบ เวลานี้เขามองเห็นความฮึกเหิมและจิตสังหารแผ่ออกมาจากร่างของลู่ช่านอย่างชัดเจน บางทีการเลือกสนับสนุนบุรุษผู้นี้คงจะเป็นการเลือกที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตของเขาแล้วจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตนต้องขบคิดให้รอบคอบเพื่อเขา จะปล่อยให้เขาถูกขุนนางชั่วผู้กุมอำนาจทำร้ายมิได้เป็นอันขาด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เหวยอิงก็ถามหยั่งเชิง “เจ้าเมืองหยางโจวหูเฉิงอยู่ในค่ายของแม่ทัพใหญ่แล้วหรือ”
ลู่ช่านเลิกคิ้ว ตอบว่า “มิผิด คนผู้นี้ทิ้งเมืองหลบหนี ทอดทิ้งทหารและประชาชนนับพันหมื่นในหยางโจว สมควรประหารอย่างแท้จริง เขาข้ามแม่น้ำมาโดยที่ยังเพ้อฝันว่าจะกลับไปเสพสุขกับลาภยศในเจี้ยนเย่ได้ แต่สุดท้ายกลับตกอยู่ในมือข้า ข้าตัดสินใจแล้วว่าก่อนข้ามแม่น้ำไปทำศึก จะใช้ศีรษะของเขาเซ่นไหว้ธง”
เหวยอิงถอนหายใจ “แม้คนผู้นี้จะไร้ยางอาย แต่เขาก็เป็นเจ้าเมืองที่อัครมหาเสนาบดีซั่งเลือกมาเองกับมือ ได้ยินว่าใช้ทองคำสามแสนตำลึงซื้อตำแหน่งเจ้าเมืองแห่งนี้มา หนนี้จะกลับหนานฉู่ก็ส่งคนในตระกูลไปติดสินบนอัครมหาเสนาบดีซั่งอีกสองแสนตำลึง วันพรุ่งหนังสือสั่งให้ท่านส่งเขากลับไปลงโทษที่เจี้ยนเย่จากอัครมหาเสนาบดีซั่งก็จะเดินทางมาถึงแล้ว”
สีหน้าโกรธเกรี้ยวปรากฏบนใบหน้าของลู่ช่าน “พวกขุนนางละโมบ มิน่าเขาจึงลักลอบค้าเกลือเถื่อนในหยางโจวอย่างเปิดเผย ที่แท้ก็อยากจะทวงเงินที่เสียไปคืนมานี่เอง ซั่งเหวยจวินเลอะเลือนแล้วจริงๆ คนเช่นนี้กลับส่งไปเป็นเจ้าเมืองหยางโจว มิแปลกที่หยางโจวจะแตกโดยมิถูกบุก ในเมื่อหนังสือจะมาถึงวันพรุ่ง” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยเสียงกังวาน “เข้ามา”
องครักษ์คนสนิทคนหนึ่งเข้ามาจากด้านนอก ยืนตรงรอรับคำสั่ง ลู่ช่านสั่งเสียงเย็นชา “เจ้าจงกลับค่ายไปถ่ายทอดคำสั่งของข้า ตัดหัวหูเฉิงต่อหน้ากองทัพทันที”
ทหารนายนั้นขานรับแล้วเดินออกไป หลังจากนั้นลู่ช่านจึงมองเหวยอิงคล้ายยิ้มแต่ก็คล้ายไม่ยิ้ม “พี่เหวยก็คิดจะขอความเมตตาแทนหูเฉิงด้วยหรือ”
เหวยอิงยิ้มละไมตอบว่า “เพียงอยากให้แม่ทัพใหญ่ลงมือเร็วหน่อย มิให้ต้องขัดแย้งกับอัครมหาเสนาบดีซั่งก็เท่านั้น”
ลู่ช่านชะงักวูบหนึ่ง จากนั้นจึงส่ายศีรษะยิ้มๆ มองแสงไฟจากค่ายใหญ่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พี่เหวยกล้าไปลอบสอดแนมค่ายกับข้าหรือไม่”
เหวยอิงหัวเราะ “ที่แม่ทัพใหญ่เรียกข้าขึ้นเรือมาก็เพื่อไปสำรวจสถานการณ์ของศัตรูอยู่แล้วมิใช่หรอกหรือ”
ลู่ช่านยิ้มน้อยๆ แล้วสั่งให้พลทหารแล่นเรือโหลวฉวนมุ่งไปยังฝั่งตรงข้าม ยามนี้ดวงดาราพร่างพราวเต็มผืนฟ้า จันทราเย็นเยือกสะท้อนอยู่กลางสายน้ำ โลกหล้านอกจากเสียงลมหนาวพัดครวญคร่ำ ก็มีเพียงเสียงแหวกธาราของเรือโหลวฉวน