ตอนที่ 247-2 เหตุการณ์ในปราสาท ผู้บงการอยู่เบื้องหลัง
สตรีนางนั้นส่ายหน้าอีกครั้ง “ย่อมไม่ใช่ ครั้งแรกที่ข้าได้พบนายใหญ่ผู้นั้น ข้าได้พบคนที่คาดไม่ถึง เขาใส่เสื้อคลุมศีรษะ ก้มหน้าก้มตา ซ้ำยังใช้มือบังปีกหมวกเอาไว้ แต่ที่บังเอิญมากก็คือ ที่หลังมือของเขามีรอยแผลเป็นอยู่รอยหนึ่งซึ่งข้าบังเอิญได้เห็นเข้า”
“คนที่มีแผลเป็นตรงหลังมือ…อย่าบอกนะว่าเป็น…” เฉียวเวยชะงักไป
สตรีนางนั้นตอบว่า “ไซน่าอิง”
เฉียวเวยถามด้วยความแปลกใจ “เป็นเขาได้อย่างไร”
สตรีนางนั้นเหลือบมองไปด้านหลังเฉียวเวย “ข้าจำได้ว่าพวกเจ้ามีลูกน้องทั้งหมดสามคน คนหนึ่งกับ…ไซน่าอิงข้าไม่ได้เห็นนานแล้ว คงไม่ได้ไปด้วยกันกระมัง หากพวกเขาไปด้วยกันจริง ลูกน้องของพวกเจ้าน่ากลัวว่าน่าจะมีข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี”
เฉียวเวยใจเต้นตึกตัก อี้เชียนอิน…ไม่ได้ข่าวคราวเลยมาหลายวันแล้วจริงๆ
สตรีนางนั้นทอดถอนใจ “ข้ารู้ว่าคำพูดของข้าอาจไม่เพียงพอให้พวกเจ้าเชื่อถือ แต่ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าต้องมีทางพิสูจน์แน่”
ครั้นกลับไปยังห้องของตน ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างรำไรแล้ว ซาลาเปาน้อยสองคนกอดกันนอนหลับฝันหวาน สัตว์น้อยทั้งสามที่อยู่บนเก้าอี้แขวนก็สงบเรียบร้อยดีเช่นกัน เฉียวเวยกวาดตามองทีหนึ่งแล้วงับประตูลงเบาๆ นางเดินไปนั่งลงข้างจีหมิงซิวที่โถงจิบชา “ที่เซวียหรงหรงกล่าวเป็นความจริงหรือไม่”
จีหมิงซิวเอ่ยว่า “เรื่องที่พวกเขาคิดจะเข้ามาแทนที่เจ้า วางแผนทำร้ายท่านแม่เจ้าคงเป็นเรื่องจริง ฮาจั่วคิดอยากได้ตระกูลปี้หลัวมาในครอบครองก็คงไม่โกหก ส่วนที่ว่าประมุขตระกูลปี้หลัวถูกขังอยู่ในกะลาจริงหรือไม่ คงต้องสืบให้รู้แน่ชัด”
เฉียวเวยพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เช่นนั้นเรื่องตระกูลไซน่าเล่า ท่านเชื่อหรือไม่ ท่านคิดว่าตระกูลไซน่ามีใจคิดเป็นอื่นจริงหรือไม่”
จีหมิงซิวทอดสายตามองขอบฟ้าอันไร้ขอบเขต “การที่ตระกูลไซน่าช่วยเจ้าให้กลับไปอยู่ข้างกายเหอจั๋วจากใจจริงนั้นย่อมมีจุดประสงค์ของพวกเขา กับเรื่องที่ไม่มีประโยชน์อันใดต่อตนเองเลย ใครเล่าจะทำ ต้องดูว่าจุดประสงค์ของพวกเขาใหญ่เพียงใดกันแน่ หากเพียงอยากมีคุณงามความดีร่วมกับผู้เป็นใหญ่ เพื่อประคองฐานะวงศ์ตระกูลให้มั่นคง และกลายเป็นตระกูลที่อยู่เหนือกว่าตระกูลปี้หลัวจนไม่เห็นฝุ่น เช่นนั้นจุดประสงค์นี้ก็ไม่มีอะไรต้องน่ากลัว พวกเจ้าต่างได้สิ่งที่ตนต้องการ ไว้รอเจ้ามีฐานะที่แข็งแรงแล้ว ค่อยดูอีกทีว่าเขาจะอยู่หรือไป แต่หากตระกูลไซน่าคิดอยากบีบประมุขออกคำสั่งขุนนาง เช่นนั้นก็ต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม ตัดเนื้อร้ายออกไปเสียแต่เดี๋ยวนี้ เพียงแต่การคาดเดาทั้งหมดล้วนเป็นไปในทางร้าย ข้าจะยังไม่ตัดเรื่องที่ตระกูลไซน่ามีความลำบากของตนเอง เช่นว่าเพราะมีเหตุบางอย่างที่อยากขอร้องเจ้า ต่อให้จั๋วหม่าน้อยตัวปลอมผู้นั้นพูดความจริงทั้งหมด ก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ที่ว่าข้อมูลที่นางเข้าใจมีความผิดพลาด ดังนั้นก่อนที่จะมีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ ทางที่ดีอย่าได้คาดเดามั่วซั่วจะดีกว่า”
เฉียวเวยรู้สึกว่าสามีของตนมีเหตุผลยิ่งนัก เซวียหรงหรงไม่อาจเชื่อถือได้ง่ายๆ แต่จะไม่เชื่อเลยก็ไม่ได้เช่นกัน ถึงอย่างไรก็มีทิศทางแล้ว หลังจากนี้แค่สืบต่อไปก็พอ
เฉียวเวยคิดบางอย่างไร จึงพูดต่อว่า “เมื่อครู่ไซน่าฮูหยินถามข้าว่าพิธีแต่งตั้งจะจัดขึ้นเมื่อใด ท่านชิงตอบแทนข้า ใช่เพราะเริ่มสงสัยว่าตระกูลไซน่ามีเป้าหมายเป็นอื่นตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหรือไม่”
จีหมิงซิวจับนิ้วที่เรียวเล็กของนาง “เจ้าอย่าเพิ่งคิดมาก นั่นเป็นเพียงความเคยชินเมื่อยามอยู่ราชสำนัก ไม่ว่าเรื่องใดก็ชอบเผื่อใจไว้ก่อนเท่านั้นเอง”
เฉียวเวยทำเสียงจึ๊ๆ “ชอบเผื่อใจมากเพียงนี้ จะมีวันใดที่ข้าก็ถูกท่านคิดบัญชีจนไม่เหลือหรือไม่”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ เอ่ยล้อเล่นว่า “ข้าคิดว่าข้าคิดบัญชีเจ้าจนไม่เหลือแล้วเสียอีก ที่แท้ก็ยังเหลืออยู่อีกนิด…”
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา!
ครู่ใหญ่ถึงได้พูดต่อว่า “ไซน่าอิงเล่า ท่านยังไม่ได้พูดถึงเลยว่าเขาร่วมมือกับนายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังผู้นั้นหรือไม่”
จีหมิงซิวเพ่งสายตาเอ่ยว่า “เรื่องนี้ก็ต้องสืบให้แน่ชัด”
ภายในห้องมีเสียงคนตื่นนอนแล้ว เฉียวเวยรีบผลักประตูเข้าไป ซาลาเปาน้อยทั้งสองตื่นแล้ว จิ่งอวิ๋นตื่นเช้าเป็นนิจ น้อยครั้งที่ยัยหนูขี้เซาอย่างวั่งซูไม่อิดออดแต่ยอมตื่นเช่นวันนี้ จิ่งอวิ๋นใส่เสื้อผ้าอย่างว่าง่าย วั่งซูทั้งตัวมีกางเกงตัวในอยู่เพียงตัวเดียว ก้มตัวอวบอ้วนของตนลงไปดึงสมบัติส่วนตัวของตนออกมาจากใต้เตียง – นกสีทองอร่าม เสือสีทองเป็นประกาย ไข่มุกมากมายหลากสี… นางลูบสมบัติรักทุกชิ้นก่อนจะปีนขึ้นเตียง ซุกตัวเข้าผ้าห่มแล้วหลับต่อ!
เจ้าเด็กนี่!
เฉียวเวยโมโหจนหัวเราะออกมา เดินเข้าไปหยิกแก้มน้อยๆ ของนาง
“มือท่านแม่เย็นจังเลย!” วั่งซูขดตัวเข้าไปในผ้าห่ม เฉียวเวยยื่นมือเย็นๆ เข้าไปข้างในอย่างเกเร บีบก้นอวบแน่นขาวผ่องของบุตรสาว วั่งซูร้องโอ้ยๆๆ ขึ้นมา มุดหนีไปมาอยู่ในผ้าห่ม สุดท้ายพอทำอะไรไม่ได้ จึงงัดท่าไม้ตายออกมา “ท่านพ่อๆๆๆ!”
จีหมิงซิวเดินเข้ามา วั่งซูเบิกผ้าห่มแล้วโผเข้าไปกอดบิดา “ท่านแม่ใจร้าย!”
เฉียวเวยขำแทบทนไม่ไหว ความหงุดหงิดใจที่เกิดจากเซวียหรงหรงก็พลันมลายหายไปจนสิ้น นางเดินไปใส่รองเท้า หวีผมให้บุตรชาย เสร็จก็ไปเตรียมอาหารเช้าที่ห้องครัวเล็ก ตอนเดินผ่านห้องเฉียวเจิงก็ได้ยินเสียงตะโกนลั่นของบิดาตน “ใครทำอะไรต้นหลงเสวี่ยของข้า! ใครขโมยเห็ดหลิงจือซู่เฉอของข้า! ใคร! ใคร! ใคร!—”
ตอนเยี่ยนเฟยเจวี๋ยพาเซวียหรงหรงกลับมา เขาซ่อนนางเอาไว้ในช่องลับของรถม้า คนในปราสาทไซน่าไม่รู้ว่าจั๋วหม่าน้อยตัวปลอมเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว ทางเฉียวเวยมีหน้ากากของเฟิ่งชิงเกออยู่พอดี จึงเอาไปใส่ที่หน้าของอีกฝ่าย กับคนนอกบอกเพียงว่านี่เป็นเด็กสาวผู้น่าสงสารที่เก็บมาได้ เตรียมจะให้มานางเป็นสาวใช้
หลังมื้อเช้า เฉียวเวยไปที่ห้องของสตรีนางนั้น “ข้าจะถามเจ้าว่า คราก่อนที่เจ้าได้พบไซน่าอิงที่ห้องของคนผู้นั้นคือเมื่อใดกัน”
สตรีนางนั้นนึกย้อนกลับไป “ไม่ปลายเดือนแปดก็ปลายเดือนเก้ากระมัง นายใหญ่มักเรียกพวกเขาไปพบช่วงปลายเดือน วันนี้ก็สิ้นเดือนพอดี อันที่จริงเจ้าลองไปเสี่ยงดวงดูได้ ดูสิว่าจะได้พบไซน่าอิงหรือไม่”
เฉียวเวยนิ่งไป “ไซน่าอิงรู้หรือไม่ว่าเจ้าทำงานให้นายใหญ่ผู้นั้น”
สตรีนางนั้นคิดแล้วส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่แน่ใจ เพียงแต่เขาน่าจะไม่รู้ว่าข้ารู้เรื่องเขาทำงานให้นายใหญ่ แม้แต่ฮาจั่วก็ไม่รู้ ฮาจั่วคิดมาตลอดว่าไซน่าอิงเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเรา”
เฉียวเวยไม่รู้ว่าควรเชื่อคำพูดเซวียหรงหรงหรือไม่ หากเชื่อ เช่นนั้นไซน่าอิงก็เป็นพวกเดียวกับเซวียหรงหรง เพียงแต่ลำดับชั้นของไซน่าอิงดูเหมือนจะสูงกว่าอยู่หน่อย และรักษาความลับได้ดีกว่าหน่อย
“ตอนอยู่เมืองเฟยอวี๋ เจ้ากับไซน่าอิงวางแผนกันไว้แล้ว” เฉียวเวยถาม
สตรีนางนั้นส่ายหน้า “ไม่ใช่ คนที่เป็นลูกน้องนายใหญ่จะต่างคนต่างทำงาน นอกจากข้ากับฮาจั่วที่ได้รู้จักกันเพราะความจำเป็นในเรื่องภารกิจแล้ว คนอื่นต่อให้ยืนประจันหน้ากันก็ไม่แน่ว่าจะรู้ว่านายใหญ่ที่พวกตนภักดีเป็นคนเดียวกัน”
หากเซวียหรงหรงไม่ได้หลอกนาง เช่นนั้นนายใหญ่ผู้นี้ก็เริ่มน่าสนใจแล้ว
…
สุดท้ายเฉียวเวยตัดสินใจไปพบนายใหญ่ผู้นั้น
“เจ้าจะไปเจออย่างไร” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถาม
เฉียวเวยเอ่ยว่า “ปลอมตัวเป็นเซวียหรงหรง กลับไปรายงานเขา”
เยี่ยนเฟยเจวี่ยเดือดดาล “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เจ้าไปหาเขาเช่นนี้ ไม่กลัวเป็นลูกแกะเข้าปากเสือหรือ หากเกิดเซวียหรงหรงตั้งใจล่อเจ้าให้เข้าไปติดแหจะทำอย่างไร”
“ความเสี่ยงนั้นมี แต่เวลานี้ทำได้เพียงเดิมพันสักตา”
“เจ้า…” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทั้งโกรธทั้งเหนื่อยใจ “หากอี้เชียนอินอยู่ก็ดีหรอก”
อี้เชียนอินเชี่ยวชาญด้านการแปลงโฉม สามารถแปลงโฉมเป็นเฉียวเวยเข้าไปพิสูจน์แทนนางได้ แต่กระนั้นในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ กลับติดต่อเจ้าเด็กนั่นไม่ได้
อี้เชียนอินขาดการติดต่อไป คนสุดท้ายที่อยู่กับเขาก็คือไซน่าอิง ต่อให้เพียงเพื่อให้ได้รู้ว่าอี้เชียนอินอยู่ที่ไหน เฉียวเวยก็คิดว่าตนจำเป็นต้องไปสักครั้ง
จีหมิงซิวนิ่งมองเฉียวเวย “มั่นใจหรือไม่”
เฉียวเวยตบหน้าอก “วางใจเถิด เรื่องขี้โกงข้าเก่งที่สุดแล้ว!”
จีหมิงซิวลูบศีรษะนาง “ข้าจะรอเจ้าอยู่ข้างนอก”
เฉียวเวยเปลี่ยนไปใส่ชุดเซวียหรงหรงที่ซักและอบแห้งเรียบร้อยแล้ว นางทากลิ่นหอมที่เซวียหรงหรงใช้เป็นประจำ ผมถักเป็นเปียเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน สวมหมวกหยกสีขาว สวมเสื้อคลุมแล้วพาเสี่ยวไป๋ไปด้วย
เสี่ยวไป๋ม้วนตัวกลมซ่อนอยู่ในแขนเสื้อจนแทบมองไม่เห็น
สถานที่นัดพบอยู่ไม่ไกลจากปราสาทเฮ่อหลัน ที่นั่นมีบ้านหลังเล็กที่ดูคล้ายเป็นบ้านร้างที่สร้างอยู่บนทะเลสาบน้ำใส รอบด้านเป็นต้นหลิ่วอันเขียวชอุ่ม เพราะเดินทางไม่สะดวกนักจึงไม่มีใครผ่านไปมา
จีหมิงซิวขึ้นไปอยู่บนเนินเขาที่ห่างไปไม่ไกล มือซ้ายถือหน้าไม้พิฆาตเทวาไว้มั่น
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยซ่อนตัวอยู่ในน้ำอีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบ จีอู๋ซวงแต่งกายเป็นสารถี เอาหมวกคลุมหน้า นั่งรอเงียบๆ อยู่นอกรถม้า
จูเอ๋อร์ปีนขึ้นไปบนต้นหลิ่ว ต้าไป๋ซ่อนตัวในทุ่งหญ้า
ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้อย่างดี
เฉียวเวยก้าวขึ้นสะพานเล็กๆ พอมาถึงหน้าบ้านหลังเล็ก นางเคาะหนักๆ สามทีแล้วเคาะเบาๆ สามที
ประตูถูกเปิดออก
เฉียวเวยก้าวเข้าไปช้าๆ ก้มหน้านิ่ง สาวใช้ใบ้ที่เปิดประตูพานางเข้าไปยังห้องด้านขวา ห้องนี้กว้างขวาง แต่กลับไม่โล่งโปร่งน่าสบาย หน้าต่างทุกบานถูกดึงลงมา บรรยากาศอึมครึม ตะเกียงกำยานที่อยู่ด้านข้างส่งควันจางๆ ลอยออกมา
ภายในบ้านไม่มีเครื่องเรือนอะไรที่ไม่จำเป็น มีเพียงฉากกั้นแบบจงหยวนที่กั้นห้องออกเป็นสองส่วน ฉากกั้นนี้เรียกได้ว่าเป็นของชิ้นเดียวตั้งแต่มาที่นี่ที่เฉียวเวยเห็นว่ามีเอกลักษณ์ของจงหยวน
เฉียวเวยยืนอยู่นอกฉากกั้นอย่างรู้งาน นางก้มหน้า เอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยความหวาดหวั่นว่า “นายใหญ่”
มีเสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากด้านหลังฉากกั้น “เจ้ายังมีหน้ากลับมาพบข้าอีกหรือ”
แยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงจริงๆ ด้วย…
สายตาของเฉียวเวยวาววับ เอ่ยด้วยความหวาดกลัวยิ่ง “ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ ข้าทำเสียแผนหมดแล้ว ขอนายใหญ่ลงโทษด้วย”
“ลงโทษ? เจ้ามีค่าอะไรให้ข้าลงโทษ” คนที่อยู่หลังฉากกั้นกล่าวประชดจบก็โยนกริชเล่มหนึ่งออกมา “จัดการตัวเองเสียเถิด!”
เฉียวเวยมองกริชที่อยู่ปลายเท้า คิดในใจว่า หากนี่เป็นฉากที่เซวียหรงหรงจัดขึ้น เช่นนั้นเขาก็คงคิดจะฆ่านางทิ้งหลังหมดประโยชน์จริงๆ ตัวของเฉียวเวยสั่นเทิ้ม “นายใหญ่ โปรดฟังข้าอธิบายก่อน เดิมทีครั้งนี้ข้าวางแผนไว้แล้ว แต่ฮาจั่วยืดยาดไม่มาปรากฏตัวเสียที ข้าตัวคนเดียว…รับมือพวกเขาที่มีคนมากเพียงนั้นไม่ได้ จึงทำให้เป็ดที่ต้มสุกแล้วบินหนีไป”
ฮาจั่วถูกขังอยู่ในหุบเขาบ้าๆ นั้น จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ออกมา นางไม่กลัวหรอกว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่านางโกหก
แต่กระนั้น เฉียวเวยยังคิดไม่ทันเสร็จ ด้านหลังฉากกั้นก็มีผ้าแดงพุ่งออกมารัดคอเฉียวเวยไว้ เฉียวเวยได้แต่อุทานในใจ ลำคอถูกรัดแน่นจนขยับไม่ได้
เสี่ยวไป๋ได้ยินเสียงอู้อี้ของเฉียวเวยเลยจะโผล่ออกมาจากแขนเสื้อ แต่เฉียวเวยกดมันเอาไว้
“ข้าเกลียดข้อแก้ตัวที่สุดแล้ว! ฮาจั่วย่อมมีทางไปของเขา ส่วนเจ้า…” คนที่อยู่หลังฉากกั้นพูดพลางหมุนมือให้ผ้ารัดแน่นขึ้นอีก
เฉียวเวยรู้สึกเพียงว่าตนหายใจไม่ออก เหงื่อเย็นๆ ผุดออกมา เจ้านี่วรยุทธ์สูงส่งเพียงนี้ ต่อให้เป็นเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับจีอู๋ซวงรวมกัน ก็คงไม่ใช่คู่ปรับของเขา ให้ตายเถอะ! คนชนเผ่าลึกลับโตมาด้วยอะไรกัน เหตุใดถึงมีแต่ยอดฝีมือกันทั้งนั้น
“แค่กๆ… ข้า… ข้ามีวิธี… เล่นงาน… พวกเขา…”
เฉียวเวยหัวแล่นขึ้นมาในช่วงวิกฤต พยายามแค่นเสียงออกมาทีละคำ ผ้าแดงบนคอพลันคลายออก เฉียวเวยจับคอไว้พลางไออย่างหนัก
คนที่อยู่หลังฉากกั้นไม่ปล่อยผ่าน “ทางที่ดีเจ้าควรมีวิธีการจริงๆ มิเช่นนั้นหากให้ข้ารู้ว่าเจ้าแค่เพียงยื้อเอวลา ข้าจะให้เจ้าได้ตายเป็นร้อยหน!”
นังปีศาจ คอยดูเถอะ ใครจะให้ใครตายเป็นร้อยหนยังไม่แน่หรอก!
เฉียวเวยข่มความคิดในใจเอาไว้ โค้งกายด้วยท่าทางหวาดกลัว เนื้อตัวสั่นสะท้าน “ข้าน้อยไม่กล้าหลอกลวงนายใหญ่!”
“ว่ามา เจ้ามีวิธีการอะไร” คนที่อยู่หลังฉากกั้นเอ่ยถาม
เฉียวเวยตาเป็นประกาย “ข้าสามารถสังหารจั๋วหม่าน้อยแล้วเข้าไปแทนที่นางจริงๆ ได้! เรื่องที่ข้าออกมาจากหุบเหวแล้วยังไม่มีใครรู้ ข้าเพียงแค่ต้องหลอกนางไปสังหารที่หุบเหว เช่นนั้นทุกคนก็จะคิดว่าคนที่ตายคือข้า หลังจากนั้นข้าค่อยกลับไปที่ปราสาทเฮ่อหลัน กลับไปอยู่ข้างกายจั๋วหม่า ใครเล่าจะรู้ความจริง”
คนที่อยู่หลังฉากนิ่งไป ก่อนจะเอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าสามารถหลอกคนชนเผ่าถ่าน่าได้ แต่เจ้าหลอกพวกลูกสมุนของนางไม่ได้”
เฉียวเวยไม่คิดเช่นนั้น “เหตุใดจะหลอกไม่ได้เล่า ข้ามีปฏิสัมพันธ์กับนางมานานเพียงนี้ ข้ารู้นิสัยตัวตนของนางโดยละเอียดแล้ว ข้ามั่นใจว่าจะหลอกทุกคนไปได้ตลอดรอดฝั่ง”
คนหลังฉากกั้นจมสู่ความเงียบงัน คล้ายกำลังลังเล
ลังเลก็เท่ากับสนใจ เฉียวเวยหรี่ตา แล้วตัดสินใจเติมเชื้อไฟลงไปอีก “นายใหญ่ เลือดเนื้อที่ท่านทุ่มเทให้กับข้าไม่ได้น้อยไปกว่าผู้อื่นเลย หรือว่าท่านจะให้ข้าตายไปเปล่าๆ เช่นนี้หรือ เช่นนั้นความพยายามทั้งหมดของท่านก่อนหน้าจะไม่สูญเปล่าหรือ ขอท่านได้โปรดให้โอกาสข้าได้สร้างผลงานชดใช้ความผิด ข้าขอรับประกันว่า ข้าจะต้องดึงเฉียวเวยลงมาแล้วขึ้นไปเป็นจั๋วหม่าน้อยแทนนางได้แน่ ข้าจะช่วยท่านขจัดขวากหนามทุกอย่างออกไป ข้าจะให้สองมือของคนทั้งชนเผ่าถ่าน่ามาโบกชูอยู่ตรงหน้าท่าน!”
ดูเหมือนในที่สุดจะพูดถูกใจเขาแล้ว คนหลังฉากกั้นเก็บผ้าแดงนั้นกลับไป “เช่นนั้นก็ดี ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจำคำข้าไว้ให้ดี เจ้ามีเวลาไม่ถึงสิบวัน สิบวันหลังจากนี้ หากเจ้ายังไม่ได้ขึ้นไปนั่งในตำแหน่งจั๋วหม่าน้อย ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือข้าเอง!”
เฉียวเวย “อกสั่นขวัญแขวน” ขณะตอบรับว่า “เจ้าค่ะ ข้าน้อยรับบัญชา!”
พวกเขาพูดคุยกันอยู่นานพอควร นานจนกระทั่งคนที่มาเข้าพบคนที่สองมาถึงแล้ว สาวใช้ใบ้เดินเข้ามา อ้อมไปรายงานบางอย่างด้านหลังฉากกั้น คนที่อยู่หลังฉากกั้นจึงบอกเรียบๆ ว่า “เจ้ากลับไปได้แล้ว ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก รีบจัดการจั๋วหม่าน้อยให้เรียบร้อย อย่าให้ข้าต้องเป็นกังวลในเรื่องนี้!”
“เจ้าค่ะ!”
เฉียวเวยทำความเคารพแล้วหมุนตัวออกไป
ตอนเฉียวเวยเดินไปถึงห้องโถงนางเห็นว่าที่พื้นมีเงาใครคนหนึ่ง เงานั้นสะท้อนออกมาจากห้องด้านซ้าย เชื่อว่านี่คือคนที่สองที่มาเข้าพบเขา แค่เพียงไม่รู้ว่าใช่ไซน่าอิงหรือไม่
สาวใช้ใบ้เดินไปส่งเฉียวเวยออกจากบ้านหลังนั้น
เฉียวเวยก้าวขึ้นรถม้า ถามด้วยสีหน้าคงเดิมว่า “เมื่อครู่มีคนหนึ่งมาแล้ว เจ้าเห็นหรือไม่”
จีอู๋ซวงกดปีหมวกลง “น่าจะไม่ได้มาทางนี้ ข้าไม่เห็น”
เฉียวเวยพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว กลับไปรวมกับหมิงซิวเถิด”
จีอู๋ซวงเขวี้ยงดาวกระจายอันหนึ่งลงในนั้น นี่เป็นคำสั่งลับให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกลับขึ้นมา
พอเลี้ยวไปอีกทาง จีหมิงซิวกับเจ้าสัตว์น้อยทั้งสองก็ขึ้นมาบนรถม้า
เฉียวเวยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นข้างในให้จีหมิงซิวฟัง จีหมิงซิวพอได้ยินว่านางเกือบถูกคนผู้นั้นรัดคอตาย สายตาก็พลันมีประกายเย็นวาบ “ต้องมีสักวันที่ข้าได้เด็ดหัวมันลงมา!”
เฉียวเวยพยักหน้าหงึกหงัก “เด็ดๆๆ เด็ดมาเลย! เพียงแต่ครั้งนี้ก็ไม่นับว่ากลับมามือเปล่า ถึงแม้จะสืบไม่เจอว่าไซน่าอิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่ แต่กลับจับพลัดจับผลูสร้างยันต์คุ้มภัยให้ตนเองได้”
“อย่าเพิ่งรีบดีใจไปเลย” จีหมิงซิวบอก
“เพราะเหตุใดกัน” เฉียวเวยไม่เข้าใจ
“ข้าได้ข่าวจากอี้เชียนอินแล้ว” จีหมิงซิวส่งแผ่นกระดาษเล็กๆ ในมือให้เฉียวเวย
เฉียวเวยคลี่ออกอ่าน “อะไรกัน ไซน่าอิงสู้กับอี้เชียนอินแล้วหนีไป หรือว่าไซน่าอิงจะน่าสงสัยจริงๆ เมื่อครู่ท่านยืนอยู่บนเนินเขา เห็นใครเข้าไปในบ้านหลังนั้นหรือไม่ ใช่ไซน่าอิงหรือไม่”
จีหมิงซิวเพ่งสายตาขณะเอ่ยว่า “มีบุรุษคนหนึ่ง เขาสวมเสื้อคลุมอยู่ ดูไม่ออกว่าเป็นใคร”
เฉียวเวยทำหน้าเคร่งเครียด “ปราสาทไซน่าไม่ควรรั้งอยู่นาน อย่างไรรีบไปอยู่ที่ปราสาทท่านตาข้าจะดีกว่า!”
จีหมิงซิวพยักหน้า ให้จีอู๋ซวงรีบขับรถม้ากลับไปยังปราสาทไซน่า
เฉียวเวยขึ้นไปข้างบน สั่งให้เฉียวเจิงเก็บข้าวของ เฉียวเจิงพึมพำว่า “อยู่ที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว เหตุใดต้องไปด้วย ท่านตาเจ้าไม่ต้อนรับข้า ข้าไม่ไปอยู่กับท่านตาเจ้าหรอก!”
เฉียวเวยสูดอากาศเย็นๆ เข้าไปเบาๆ “เช่นนั้นท่านก็อยู่ที่นี่คนเดียวก็แล้วกัน!”
เฉียวเจิงมองแผ่นหลังบุตรสาวที่เดินเร็วๆ ออกจากห้องไป “นี่! นี่! จะรีบร้อนเพียงนี้ไปไย”
เฉียวเวยไปที่ห้องของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยต่อ นางโยนเสื้อผ้าของเฟิ่งชิงเกอให้สตรีนางนั้น “เปลี่ยนเสีย ต้องรีบไป!”
สตรีนางนั้นฝืนเอาร่างที่อ่อนล้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
ทุกคนเก็บสัมภาระกันเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่กำลังจะลงไปข้างล่าง ไซน่าเหอก็พาเอาองครักษ์กลุ่มหนึ่งเข้ามายืนเรียงขวางประตูไว้
เฉียวเวยให้บิดาของตนพาเด็กๆ เข้าไปในห้อง จีหมิงซิวก้าวเข้ามากันเฉียวเวยไว้ด้านหลัง สายตาดุดันมองไปยังองครักษ์ที่อยู่หน้าประตู “ประมุขตระกูลไซน่า นี่ท่านหมายความเช่นไร”
“จับตัวพวกมันมาให้ข้า!”
ไซน่าเหอออกคำสั่ง เหล่าองครักษ์ก็ยกหอกพุ่งเข้ามาทันที
“เจ้ากล้า?” เฉียวเวยเดินออกมาจากด้านหลังจีหมิงซิว นางมองไซน่าเหอด้วยสายตาดุดัน “ประมุขตระกูลไซน่า เจ้าคิดจะทำร้ายเบื้องสูงหรือ”
ไซน่าเหอเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ข้าจะเชื่อก่อนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับจั๋วหม่าน้อย ขอจั๋วหม่าน้อยอย่าได้ยื่นมือเข้ามา ท่านจะไปไหนข้าจะไม่ขวาง แต่คนผู้นี้ ข้าต้องจับมาให้ได้!”
เฉียวเวยหรี่ตาลง “อะไรที่บอกว่าไม่เกี่ยวกับข้า คนอื่นไม่รู้ เจ้าก็ไม่รู้อย่างนั้นหรือ พวกเขา คนหนึ่งเป็นสามีข้า อีกสองคนเป็นเพื่อนข้า เจ้าไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จะมาจับพวกเขาไป ในสายตาเจ้ายังมีจั๋วหม่าน้อยอย่างข้าอยู่หรือไม่”
ไซน่าเหอเอ่ยว่า “ข้าบอกแล้วว่าตอนนี้ข้าจะยังเชื่อก่อนว่าท่านไม่เกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นข้าจึงไม่อยากสร้างความลำบากให้ท่าน หวังว่าท่านก็จะไม่สร้างความลำบากให้ข้า” เขามองสัมภาระในมือเฉียวเวย “หากท่านจะไป ก็เชิญพาบิดากับบุตรของท่านไปได้เลย แต่พวกเขาเหล่านี้ อย่าได้คิดจะก้าวออกจากปราสาทเฮ่อหลันได้แม้แต่ก้าวเดียว!”
เฉียวเวยตาแทบลุกเป็นไฟ “วันนี้ข้าจะต้องพาพวกเขาออกไปให้ได้!”
ไซน่าเหอกำหมัดแน่น “เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน องครักษ์! จับตัวนางมาด้วย!”