บทที่ 961 โอกาสในการพัฒนา

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 961 โอกาสในการพัฒนา

บทที่ 961 โอกาสในการพัฒนา

“ยังไม่หิวค่ะคุณป้า เรากินบะหมี่เนื้อมาจากที่อำเภอแล้วน่ะ” เสี่ยวเถียนรีบตอบ

“เจ้าเด็กคนนี้ จะถึงบ้านอยู่แล้วแท้ ๆ ทำไมเอาเงินไปซื้อข้าวเล่า กลับมากินที่บ้านก็ได้ หรือกลัวบ้านป้าไม่มีข้าวให้กินหรือไง?”

ภรรยาของฉางจิ่วพร่ำบ่น จากนั้นก็เทน้ำหวานให้หลานสาวกับเซี่ยหนาน

“ป้าใส่น้ำตาลลงไปเยอะเลย หวานแล้วละ”

การต้อนรับแขกด้วยน้ำหวานหนึ่งแก้วถือเป็นการให้เกียรติมากแล้ว

รอยยิ้มของเธอจริงใจมาก แววตาที่มองไปยังเซี่ยหนานมีประกายความต่ำต้อยปรากฏอยู่

เสี่ยวเถียนยิ้มออกมา “ตอนนั่งรถมาหิวน้ำมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ”

หลังจากพูดคุยกันสักพัก เด็กสาวก็ให้เจ้าของบ้านกินข้าวกันก่อน

เธอกลัวว่าถ้าพูดธุระก่อน ไม่รู้พวกเขาจะได้กินกันหรือเปล่าน่ะสิ

อารมณ์ของเซี่ยหนานในตอนนี้แตกต่างกับสองสามีภรรยาตรงหน้าโดยสิ้นเชิง หลังจากนั้นก็มองไปรอบ ๆ บ้าน

ตัวบ้านทรุดโทรมเล็กน้อย แต่เป็นระเบียบเรียบร้อยทำให้คนมองรู้สึกสบายใจมาก

ในลานบ้านมีสวนผัก ปลูกผักอยู่หกเจ็ดชนิดแลดูอุดมสมบูรณ์มาก

แล้วก็มีต้นไม้อีกสองต้นเป็นต้นสาลี่แก่กับต้นแอปริคอต บริเวณพื้นปัดกวาดอย่างดี ดูก็รู้ว่ามีเจ้าของบ้านดูแล

เสี่ยวเฉ่าเติบโตจากที่นี่มายี่สิบกว่าปีแล้วใช่ไหม?

ตอนเด็ก ๆ เธอเคยเก็บผักในสวนหรือเปล่า? เคยปีนป่ายบนต้นไม้บ้างไหม?

สองสามีภรรยามองผู้เป็นอาจารย์แล้วนึกแปลกใจ

สรุปแล้วเขามาทำอะไรหรือ?

ทำไมเอาแต่มองไปรอบ ๆ บ้านเราตั้งแต่เดินเข้ามาเลยล่ะ?

ที่นี่ก็เป็นแค่บ้านสวนทั่ว ๆ ไปเองนะ ไม่มีอะไรให้ดูหรอก

หรืออาจารย์อยากจะซื้อบ้านแบบนี้หรือ?

เสี่ยวเถียนไม่ได้สนใจ เธอหันไปคุยกับคุณลุงคุณป้าแทน

หลัก ๆ เป็นเรื่องพัฒนาการของหมู่บ้าน ความเป็นอยู่ของแต่ละครอบครัวดีขึ้นหรือเปล่า

เมื่อก่อนฟาร์มของหมู่บ้านเราทำประโยชน์มาก จึงทำให้ชีวิตทุกคนดีขึ้น แต่ตอนนี้มันไร้ประโยชน์แล้ว

ไม่มีใครอยากรับช่วงต่อเลย สองปีที่ผ่านมาจึงถูกทิ้งร้างไว้แบบนั้น

นอกจากรายได้จากการทำนา ก็มีพวกสินค้าทำมือที่หลี่จู้จื่อเป็นฝ่ายรับไปขาย

เสี่ยวเถียนรู้สึกว่าการใช้ชีวิตแบบนี้พอให้มีอาหารและเสื้อผ้าแล้ว แต่ไม่พอให้ใช้ชีวิตเลย

เราต้องพัฒนาอุตสาหกรรมหลักด้วย

ถ้าต้องการจะทำให้ชาวบ้านเรามั่งคั่งร่ำรวย พวกเขาก็คงต้องหาลู่ทางอื่น

“ลุงฉางจิ่ว ไว้ปีหน้าเรามาตั้งโรงงานกันค่ะ” เด็กสาวนึกถึงแผนการตัวเองได้จึงยกประเด็นขึ้นมาพูดทันที

ซูฉางจิ่วระบายยิ้มออกมา “ลุงก็อยากตั้งเหมือนกัน แต่หมู่บ้านไม่มีเงินเลย เบื้องบนก็ไม่ได้ให้เงินมาด้วย”

เสี่ยวเถียนนึกขึ้นได้ เหมือนว่าธุรกิจในเขตเมืองจะอยู่ในขั้นตอนพัฒนาอย่างมากอยู่นะ

ถ้าคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ การเปลี่ยนแปลงความยากจนและล้าหลังของหมู่บ้านย่อมไม่ใช่เรื่องยากแน่นอน

หากพลาดโอกาสนี้ไป ผลประโยชน์ที่ได้รับจากนโยบายย่อมน้อยลงแม้ว่าอนาคตจะยังมีโอกาสอีกก็ตาม

เราต้องคว้าสิ่งนี้ไว้ให้มั่น

“ถ้าปีหน้าหนูระดมทุนได้ส่วนหนึ่งจะเอามาลงทุนดูค่ะ แล้วถ้าเราระดมทุนจากในหมู่บ้านได้ คงชิงเงินทุนบางส่วนจากเบื้องบนได้อีก เรื่องตั้งโรงงานก็ไม่ใช่ปัญหาแน่นอนค่ะ”

เสี่ยวเถียนเอ่ยด้วยความมั่นใจ

ซูฉางจิ่วยิ้มขื่น “มันไม่ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ ทุนที่เบื้องบนส่งให้มีแค่นิดเดียวเอง แถมยังไม่ใช่รอบของหมู่บ้านเราด้วย”

เขาพยายามหามาสองปีแล้ว แต่ไม่ได้ผลเลย

เงินทุนของอำเภอจะเน้นแค่บริเวณโดยรอบเท่านั้น

แม้จะมอบให้ท้องถิ่นมาแค่นิดเดียว แต่ทุก ๆ ที่จะเน้นไปในการพัฒนาของหมู่บ้านที่ทางรัฐจัดตั้งมากกว่า ซึ่งเราไม่ได้อยู่ในตัวเลือกนั้นยังไงละ

เสี่ยวเถียนกล่าว “หลังจากกลับมาเมืองหลวง ลุงได้เข้าตำบลหรืออำเภอบ้างไหมคะ?”

อีกฝ่ายส่ายหัว เขาไม่ได้สนใจเลย

“เมื่อก่อนก็ลำบากอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้ยังเหมือนเดิมหรือคะ?”

หลอกลวงกันชัด ๆ

ถ้ามีการจัดการดี จะตำบลหรืออำเภอก็คงแก้ปัญหาเรื่องเงินทุนได้แล้วละ

เผลอ ๆ ดีกว่านี้อีก

อย่างที่บอก รัฐมนตรีฉางยังบอกเลยว่าถ้าหนานหลิ่งอยากเจริญ ก็ต้องสร้างตลาดของตัวเอง

เสี่ยวเถียนบอกใบ้อีกหน่อย

“ทั่วทั้งมณฑล มีผู้ใหญ่บ้านแบบลุงนะคะที่ได้พบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์น่ะค่ะ!”

ในที่สุดเขาก็เข้าใจเสียที

เขาดูแลหมู่บ้านมาหลายปี แน่นอนว่าฉลาดอยู่แล้วแค่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ก็เท่านั้น

ซูฉางจิ่วถอนหายใจ เสี่ยวเถียนฉลาดมากไม่แปลกใจที่ตระกูลซูจะดีขึ้นเรื่อย ๆ

มีหลานแบบนี้จะไปแย่ได้ยังไงล่ะ?

เซี่ยหนานที่มองดูต้นไม้ใบหญ้าหันกลับมาได้ยินบทสนทนาพอดี

เธอสับสนมาก นี่มันสถานการณ์อะไรเนี่ย

ถ้าจำไม่ผิดเด็กคนนี้เรียนภาษาจีนไม่ใช่หรือ?

แล้วมายืนคุยเรื่องพวกนี้ได้ยังไงเนี่ย? เชี่ยวชาญกว่าคนในมหาวิทยาลัยที่เรียนด้านนี้อีก

หรือเธอจำผิด? เสี่ยวเถียนเรียนเศรษฐศาสตร์หรือ?

ขณะที่ฝั่งหนึ่งกำลังคิดเรื่องเสี่ยวเถียนหัวแตก อีกฝั่งก็สนทนาแผนการในปีหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ภรรยาของฉางจิ่วกินข้าวเสร็จก็เก็บจานไปล้าง

สองลุงหลานคุยกันอย่างมีความสุขจนลืมเซี่ยหนานไปเลย ตอนนั้นเองที่รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังมองตนอยู่จึงนึกได้ว่ามีแขกอีกคน

“ขอโทษจริง ๆ ครับอาจารย์เซี่ยหนาน ผมดีใจจนลืมคุณไปเลย!”

ซูฉางจิ่วกล่าวขอโทษอย่างเขินอาย ตอนนี้ชายชราก็ยังไม่รู้เหตุผลที่อีกฝ่ายมาที่บ้านอยู่ดี

“ไม่เป็นไรค่ะ” เซี่ยหนานไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี

เสี่ยวเถียนมองอาจารย์สลับกับผู้เป็นลุง พลางนึกว่าควรเป็นฝ่ายเปลี่ยนหัวข้อดีหรือเปล่า

“อาจารย์เซี่ย ผมรู้สึกคุ้น ๆ หน้าคุณนะ เราเคยพบกันมาก่อนไหม?” ซูฉางจิ่วถาม

เขาพยายามคิดอย่างหนัก จำไม่ได้ว่าเคยเจอผู้หญิงที่มีกลิ่นอายปัญญาชนแบบนี้หรือเปล่า

แต่ก็ยังรู้สึกคุ้นอยู่ดี

“ลุงน่าจะเคยเจอนะคะ ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นเห็นอาจารย์เซี่ยหรือเปล่า” เสี่ยวเถียนว่าก่อนเอ่ยเรื่องงานเลี้ยงครบเดือนในวันนั้นให้ฟัง

ซูฉางจิ่วส่ายหัว “ไม่สิ ถ้าได้เจอกันก็ต้องจำได้สิว่าไม่ได้เจออาจารย์เขาในวันนั้นน่ะ”

“พี่ซู พี่ว่าฉันกับเสี่ยวเฉ่าเหมือนกันไหมคะ?”

——————————————————-