ตอนที่ 239-1 ตัดสินแพ้ชนะ ทั้งตระกูลร่วมต่อสู้
เกาะนิรนามตั้งอยู่ทางใต้ ซึ่งไม่ได้อยู่ภายในอาณาบริเวณของแคว้นใดแคว้นหนึ่ง ถึงขั้นว่าในแผนที่ทางบกและทางน้ำของแต่ละแคว้นจะมองไม่เห็นเงาของเกาะโดดเดี่ยวแห่งนี้ แต่อย่ามองเพียงแค่มันเป็นเกาะโดดเดี่ยว เกาะแห่งนี้มีพื้นที่ไม่เล็กเลย จากตะวันตกไปถึงตะวันออกยาวกว่าสองร้อยลี้ จากเหนือลงใต้ถึงแม้จะสั้นอยู่สักหน่อย แต่ก็มีความยาวเกือบหนึ่งร้อยลี้ บนเกาะที่มีขนาดใหญ่เพียงนี้ เมื่อเทียบกันแล้วนับว่ามีจำนวนประชากรน้อยยิ่งนัก แต่เมืองถ่าน่าในวันนี้กลับเป็นกรณีพิเศษ
เมืองถ่าน่าตั้งอยู่ใจกลางเกาะนิรนาม มีฐานะประหนึ่งเมืองหลวง เมืองแห่งนี้เป็นสถานที่ที่รุ่งเรืองที่สุดบนเกาะ แต่กระนั้นวันนี้กลับคึกคักกว่ายามปกติอีกเล็กน้อย ตามท้องถนนผู้คนหนาแน่นเบียดเสียด เรียกได้ว่ารุ่งเรืองยิ่งนัก
“หลบหน่อย! หลบหน่อย!”
ท่ามกลางถนนที่อึกทึก จู่ๆ ก็มีรถม้าที่หรูหราเหลือประมาณขับเข้ามา ข้างหน้ารถม้า องครักษ์รูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งกำลังสะบัดแส้ไล่ผู้คนให้หลบไป
ทุกคนดูไม่ประหลาดใจกับเรื่องนี้ ขยับหลบเข้าข้างทางอย่างให้ความร่วมมือ จากนั้นก็มองตามรถม้าที่ขับผ่านไปแล้วเริ่มกระซิบกระซาบกัน
“นายท่านฮาปาเอ่อร์ก็มาด้วย เขาไม่ได้รักษาการณ์อยู่ที่เกาะเหนือหรือ ดูท่าเรื่องในครานี้คงสำคัญมากจริงๆ”
“ใครว่าไม่ใช่เล่า รีบดูทางนั้นเร็ว! นายท่านถ่าถาเอ่อร์ก็ยังมาเลย!”
“นายท่านฉาฮาเอ่อร์!”
ไม่มีใครเคยพบเจอท่านผู้นำหลายคนพร้อมกันในวันเดียวเช่นนี้มาก่อน ชั่วขณะนั้น ทุกคนตกใจจนลูกตาแทบถลนออกมา
ท่านผู้นำเหล่านี้พาคนในอานัติของตนมาด้วย เคลื่อนขบวนเข้าเมืองถ่าน่าไปอย่างองอาจดุดัน ประหนึ่งนายทหารที่ได้รับชัยชนะกลับมาอย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนทั้งเมืองเลือดในกายเดือดพล่านขึ้นมาหลายส่วน พวกเขาถึงแม้จะมากันคนละประตูเมือง แต่กลับเคลื่อนตัวไปในทิศทางเดียวกัน – ลานประลอง
หากว่ากันตามจริงแล้ว ชนเผ่าถ่าน่าไม่นับว่าเป็นชนเผ่าที่ต่อสู้เก่ง แต่เพราะความเอื้ออำนวยทางร่างกายที่มีมาแต่กำเนิด ทำให้พวกเขามีพรสววรค์ในการฝึกวรยุทธ์กว่าผู้อื่นหลายส่วน ลานประลองเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการแลกเปลี่ยนวรยุทธ์รวมถึงแสดงฝีไม้ลายมือของตน ซึ่งสามารถเลือกที่จะเอาชนะศัตรูหรือถูกศัตรูเอาชนะได้ที่นี่ มีข่าวลือว่าจั๋วหม่าในตอนนั้นเป็นแขกประจำของลานประลอง แน่นอนว่านางไม่ใช่คนที่ลงไปต่อสู้ เพราะถึงอย่างไรคนทั้งชนเผ่าก็ไม่มีใครกล้ากระทำการหยาบคายต่อจั๋วหม่า นางเพียงมาเพื่อดูการแสดงต่อสู้เท่านั้น
การประลองที่เกิดขึ้นที่นี่ นอกจากคนแล้วยังมีสัตว์ดุร้าย วัวป่า เสือ หมาป่า หมีดำ… หรือกระทั่งสัตว์ร้ายที่หาไม่ได้ในจงหยวน
สนามประลองแห่งนี้ ประลองไม่เสียเงิน แต่เก็บเงินคนเข้าชม ค่าเข้าชมขึ้นอยู่กับความดุเดือดของการประลองในวันนั้น ขั้นต่ำสิบเหรียญเงิน สูงสูดอาจถึงหนึ่งเหรียญทอง สิบเหรียญเงินสำหรับเมืองถ่าน่าแล้วไม่นับว่ามากมายอะไร เพราะถึงอย่างไรซาลาเปาหนึ่งลูกก็ขายกันหนึ่งเหรียญเงินแล้ว แต่สำหรับชาวบ้านยากจนในเมืองเล็กๆ ที่ไม่มีเงินกินกระทั่งซาลาเปานั้น สิบเหรียญเงินนับว่าแพงหู่ฉี่เลยทีเดียว
ยังดีที่การประลองในวันนี้ไม่คิดค่าเข้าชม ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าชมได้ทั้งสิ้น
ตรงระเบียงรับชมบนชั้นสาม มีผู้คนเบียดเสียดกันหนานแน่น กวาดตามองไปมีแต่ศีรษะผู้คนเต็มไปหมด
ระเบียงรับชมตรงชั้นสองคนน้อยกว่ามากนัก บนโต๊ะเก้าอี้ที่งดงามหรูหรา มีขนมรสเลิศกับสุราชั้นดีวางอยู่ บนที่นั่งทางทิศใต้มีเหอจั๋ว ธิดาเทพและผู้อาวุโสทั้งห้านั่งอยู่ ฝั่งขวามือของเหอจั๋วคือประมุขตระกูลไซน่าอย่างไซน่าเหอ บิดาไซน่าอิงอย่างไซน่าซือรวมถึงไซน่าฮูหยินด้วย ไซน่าอิงกับอี้เชียนอินยังอยู่ระหว่างทางมายังเมืองเฟยอวี๋ จึงมาไม่ทันการประลอง
ทางฝั่งซ้ายของผู้อาวุโสคือประมุขตระกูลปี้หลัว ปี้หลัวฉวน ปี้หลัวฮูหยิน บุตรชายสายหลักคนโตปี้หลัวฟู่ รวมถึงบุตรนอกสมรสอย่างฮาจั่ว
ตระกูลปี้หลัวกับตระกูลไซน่าตามหาจั๋วหม่าน้อยกลับมาได้ตระกูลละคน ต่างฝ่ายต่างกล่าวอ้างว่าคนของตนเป็นตัวจริง วันนี้จั๋วหม่าน้อยทั้งสองต้องมาประลองกัน บรรยากาศของทั้งสองฝ่ายจึงตึงเครียดขึ้นมาด้วยเหตุนี้
นอกจากสองตระกูลนี้แล้ว ท่านผู้นำที่ปกครองพื้นที่ทั้งหกอาทินายท่านปาฮาเอ่อร์ นายท่านถ่าถาเอ่อร์ นายท่านฉาฮาเอ่อร์ล้วนมาอยู่ที่ลานประลองกันทั้งสิ้น กระจายนั่งกันอยู่บนระเบียงรับชมสองฝั่งตะวันตกและตะวันออก
“เอาสุรากานี้ส่งไปให้ท่านพ่อข้าที” ไซน่าฮูหยินเอ่ยกับสาวใช้
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ยกสุราชั้นเลิศที่เหอจั่วมอบให้ไปยังที่นั่งของนายท่านถ่าถาเอ่อร์
ชนเผ่าถ่าน่ามีท่านผู้นำปกครองดินแดนทั้งหมดแปดท่าน หนึ่งในนั้น ตระกูลไซน่ากับตระกูลถ่าถาเอ่อร์แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน จึงกลายเป็นคนในเรือลำเดียวกัน พวกเขาสนับสนุนเฉียวเวยกันสุดตัว ส่วนตระกูลปี้หลัวกับปาฮาเอ่อร์ก็แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน สองตระกูลนี้เป็นกำลังสำคัญที่คอยสนับสนุน “จั๋วหม่าน้อย” ส่วนตระกูลที่เหลืออีกสี่ตระกูลยังเป็นกลาง ไม่แน่ว่าจะสนับสนุนฝ่ายใด จะสามารถดึงให้พวกเขามาเป็นพวกได้หรือไม่คงต้องดูที่ฝีไม้ลายมือของจั๋วหม่าน้อยทั้งสองในวันนี้แล้ว
คณะของเฉียวเวยถูกพาไปยังโถงใหญ่ด้านหลังเวที สาวใช้ตรวจสอบว่าไม่ได้พกพายาพิษหรืออาวุธลับมาด้วย ถึงได้ปล่อยคณะให้ขึ้นไปยังระเบียง
ซาลาเปาน้อยทั้งสองอุ้มเจ้าไป๋มาคนละตัว เดินคู่ไปกับเฉียวเวย จีหมิงซิวกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยและจีอู๋ซวงก็มาด้วย ทั้งสามแต่งกายเป็นองครักษ์เฉียวเวย เดินเข้ามาพร้อมกัน
ระหว่างทางบังเอิญเจอกับคณะของพวกตัวปลอม
“โอ๊ะ นี่ใครกัน” เฉียวเวยระบายยิ้ม
สายตาของสตรีนางนั้นกวาดมองจีหมิงซิวด้วยสีหน้าเรียบเฉย อมยิ้มเอ่ยว่า “พกคนมาด้วยตั้งมากเพียงนี้ ดูท่าเจ้าคงตื่นเต้นมากสินะ”
เฉียวเวยถอนหายใจช้าๆ “เฮ่อ ไม่ใช่ว่าต้องขอบคุณเจ้าหรือ เจ้าอยู่ว่างดีๆ จะวิ่งแจ้นออกไปรักษาให้ชาวบ้านทำไมกัน ออกไปรักษาชาวบ้านก็แล้วไปเถอะ แต่ยังสั่งให้คนทำร้ายผู้หญิงกับเด็กจนตายอีก เวลานี้ชาวบ้านแทบจะด่าว่าเจ้าให้ล่มจมอยู่แล้ว ข้ามีใบหน้าเหมือนเจ้า หากเกิดมีคนคิดว่าเป็นเจ้าขึ้นมาแล้วถูกชาวบ้านที่โกรธแค้นเหล่านั้นฉีกอกเข้าจะทำอย่างไร ข้าจะไม่ระวังได้หรือ”
“เจ้า…” สตรีนางนั้นไม่อาจรักษาสีหน้าที่สมบูรณ์แบบไว้ได้อีก เรื่องวันนั้นแค่คิดถึงก็พาให้รู้สึกหัวเสีย นางสงสัยอย่างรุนแรงว่ามีคนตั้งใจสร้างเรื่องให้นาง แต่ก็จนใจที่นางหาหลักฐานอะไรไม่พบ “ใช่ฝีมือเจ้าหรือไม่”
เฉียวเวยยิ้มอย่างไม่มีปิดบัง “ใช่แล้ว ข้าเป็นคนทำเอง ว่าอย่าไงไร ของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นนี้เจ้าชอบหรือไม่”
สตรีนางนั้นเงื้อมือขึ้นโดยพลัน
สายตาจีหมิงซิวพลันดุดัน
“จั๋วหม่าน้อย!” สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเตือนว่า “เหอจั๋วรออยู่ทางด้านนั่นเจ้าค่ะ”
สตรีนางนั้นสูดหายใจเข้าลึกๆ หลายที ลดมือลง ตวัดสายตาดุดันไปทางเฉียวเวย “เจ้าอย่าคิดว่าตนทำอะไรไร้ร่องรอย ตาแหถี่เล็กจนไม่มีอะไรเล็ดรอดไปได้ ช้าเร็วอย่างไรเจ้าต้องมีวันนั้น!”
เฉียวเวยเบิกตาโต “ตายจริง ข้าไม่ได้ฟังผิดไปกระมัง พวกตัวปลอมถึงขั้นกล้าพูดต่อหน้าข้าอย่างไม่รู้สึกละอายใจว่า ‘ตาแหถี่เล็กจนไม่มีอะไรเล็ดรอดไปได้’ ได้สิ ข้าก็อยากดูเหมือนกันว่าจะไม่มีอะไรเล็ดรอดไปได้อย่างไร จะมีคนรู้ว่าเจ้าขโมยของดูต่างหน้าข้าไปก่อน หรือจะสืบรู้ก่อนว่าเจ้าเข้ามาสวมแทนฐานะของข้า”
สายตาสตรีนางนั้นดูดุดัน ก่อนจะสงบนิ่งอีกครั้ง นางระบายยิ้มอย่างยะโส “ใครสวมฐานะใคร อีกไม่นานก็จะได้รู้เอง”
พูดจบก็พา “ท่านพ่อ” กับ “บุตร” ของตนเดินผ่านหน้าเฉียวเวยไป
เจ้าตัวเดินไปไกลแล้ว แต่กลับยังรับรู้ได้ถึงสายตาเยือกเย็นที่มองมายังตน นางหันไปมองก็ได้สบกับสายตาคมกล้าของจีหมิงซิว นางรู้สึกถึงมีดปลายแหลมที่ทิ่มแทงเข้ามาที่หน้าอกนาง จึงสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“จั๋วหม่าน้อย ท่านเป็นอะไรไป” สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไร” นางหลุดจากภวังค์ เบือนสายตาหนี นี่นางรู้สึกไปเองหรืออะไรกัน เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าสายตานี้ช่างคุ้นตาเหลือเกิน คล้ายเป็นสายตาที่นางได้เห็นจากใครอีกคนอย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่สายตาคนผู้นั้นไม่ได้คมกล้าเพียงนี้
“ใต้เท้าเจ้าสำนัก จะไปทางขวาหรือทางซ้ายขอรับ” บนทางเดินใต้ดินที่มืดมิด อาต๋าเอ่อร์ถือคบเพลิงยืนอยู่ตรงทางแยกขณะถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ใต้เท้าเจ้าสำนักน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ทางขวา”
อาต๋าเอ่อร์เลี้ยวขวา เข้าไปยังทางเดินใต้ดินที่เล็กแคบขึ้นไปอีก “แล้วอย่างไรต่อ”
“แล้วเลี้ยวขวา”
“ค่อยเลี้ยวซ้าย”
“แล้วซ้าย”
“แล้วตรงไป”
หลังจากเลี้ยวลดไปมาอยู่หลายที ทั้งสองไปถึงห้องใต้ดินที่มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ที่นี่มีกรงเหล็กวางอยู่สิบกว่ากรง ในทุกกรงมีสัตว์ดุร้ายถูกขังอยู่ พวกมันเพิ่งกินอาหารอิ่ม กลิ่นคาวเลือดที่โชยมา ออกมาจากกรงของพวกมันนี้เอง
ถิ่นของพวกมันมีคนแปลกหน้าบุกเข้ามา แต่กระนั้นพวกมันกลับไม่ร้องคำรามสักนิด
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินไปตรงหน้ากรงเหล็ก มองสิงโตดุร้ายที่อยู่ข้างในแล้วยื่นมือเรียวยาวเข้าไป “แม่คนงาม มานี่สิ”
สิงโตที่ก่อนหน้านี้ยังดุดันเหลือแสน เวลานี้กับครางหงิงๆ เดินเข้ามาอย่างว่าง่าย ใช้หัวสิงโตที่ใหญ่โตถูไถฝ่ามือของเขา
ใต้เท้าเจ้าสำนักลูบศีรษะมัน “โตขนาดนี้แล้วหรือ ครั้งก่อนที่ได้พบเจ้า เจ้ายังเป็นลูกสิงโตกินนมอยู่เลย”
สีหน้าอาต๋าเอ่อร์ดูสงบนิ่งยิ่งนัก
ใต้เท้าเจ้าสำนักเคยถูกจับมาเป็นคนงานให้อาหารสัตว์ที่ลานประลองแห่งนี้ คนงานให้อาหารสัตว์ที่ว่า ไม่ใช่การเอาอาหารเข้ามาป้อนสัตว์เหล่านี้ แต่พวกเขาเองที่เป็นเนื้อชิ้นนั้นในปากสัตว์ร้าย ใต้เท้าเจ้าสำนักถูกแยกมาให้ลูกเสือตัวนี้ ลูกเสือกินนมยังใสซื่อ ไม่รู้ว่า “เนื้อ” สามารถกินได้ ใต้เท้าเจ้าสำนักเลยรอดชีวิตมาได้
เสือดาวที่เพิ่งมาใหม่นอนตื่นแล้ว พอหายใจได้กลิ่นคนแปลกหน้าจึงใช้ตัวชนกับกรงพลางร้องคำรามขึ้นมา!
สิงโตตัวนั้นพุ่งเข้าไปคำรามอย่างดุดัน เสือดาวตกใจจนก้มหน้าลง ขดตัวไปอยู่ที่มุมกรง
ใต้เท้าเจ้าสำนักตบศีรษะมันเบาๆ แล้วพาอาต๋าเอ่อร์ออกจากห้องใต้ดินไป เมื่อเดินขึ้นไปหนึ่งชั้น ที่นั่นมีห้องเล็กๆ ที่ถูกทิ้งร้างอยู่ห้องหนึ่ง เมื่อนั่งอยู่ข้างใน สามารถมองเป็นลานประลองที่อยู่ข้างนอกได้
ฉากสนุกๆ อย่างคนตระกูลจีหน้าโง่กับพวกต้มตุ๋นที่น่ารังเกียจห้ำหั่นกัน เขาจะพลาดไปได้อย่างไร
คณะของพวกเขาเดินต่อไปยังระเบียงรับชม
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทำเสียงจึ๊ๆ “คนผู้นั้นปากกล้าไม่เบา”
เฉียวเวยไม่คิดเห็นเช่นนั้น “แล้วอย่างไรเล่า ข้าต้องกลัวนางด้วยหรือ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยเตือน “นางมีวรยุทธ์ เจ้าอย่าได้ชะล่าใจไป”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “ลุงเยี่ยน วางใจเถอะ ข้าต่อสู้มาตั้งแต่เล็กจนโต เรื่องอื่นข้าไม่กล้าพูด แต่เรื่องต่อสู้น่ะข้าไม่เคยแพ้ใครมาก่อน”
จีหมิงซิวมองนางอย่างมีนัยยะลึกซึ้ง สู้มาตั้งแต่เล็กจนโต คุณหนูใหญ่เฉียวได้ชื่อว่าเป็นคุณหนูผู้อ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร…
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนึกถึงพละกำลังที่มากผิดมนุษย์มนาแล้วรู้สึกว่าคนที่ควรเป็นห่วง น่าจะเป็นจั๋วหม่าน้อยผู้นั้นถึงจะถูก
คณะของพวกเขาเข้าไปนั่งยังที่นั่งตระกูลไซน่า
ก่อนเดินทางมาที่นี่ เขาคุยกับเด็กๆ เอาไว้เป็นอย่างดีแล้วว่าห้ามเรียกท่านพ่อ ห้ามเรียกให้ท่านพ่อมาทางนี้ เวลานี้ท่านพ่อเป็นองครักษ์ที่ดุดันห้าวหาญ
ไซน่าฮูหยินดึงมือเฉียวเวยไปถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงว่า “วันนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ดีมากทีเดียว” เฉียวเวยมองไปรอบๆ เจ้าคนตัวปลอมนั่นเข้าไปนั่งข้างๆ เหอจั๋วแล้ว เด็กสองคนก็กำลังพูดคุยกับเหอจั๋วอย่างอารมณ์ดี ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เมื่อได้เห็นภาพนี้ มากน้อยอย่างไรก็รู้สึกยินดีขึ้นไม่น้อย นั่นคือตาทวดของบุตรสองคนของนาง บุตรของนางลำบากตรากตรำมามากเพียงนั้น พวกเขาน่าสงสารมากพอแล้ว การที่ในโลกนี้มีคนที่รักใคร่เอ็นดูพวกเขามากขึ้นอีกสักคนนับเป็นเรื่องที่น่าสุขใจยิ่งนัก แต่เวลานี้ความสุขทุกอย่างกลับเป็นของนังตัวปลอมผู้นั้น!