บทที่ 969 พาอาจารย์เซี่ยขึ้นเขา

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 969 พาอาจารย์เซี่ยขึ้นเขา

บทที่ 969 พาอาจารย์เซี่ยขึ้นเขา

เธอไม่ใช่เถียนเสี่ยวเหอคนโง่ที่ดีแต่สร้างเรื่องนะ ตอนนี้เธอก็ไม่อยากมีชีวิตที่น้อยหน้าใครเหมือนกัน

สองปีที่นโยบายเริ่มผ่อนคลายลง หลังแยกครอบครัว ความเป็นอยู่บ้านเธอก็สบายขึ้นมาก

จางไฉ่อวิ๋นเลี้ยงไก่ หมู และทำนาที่บ้านโดยให้สามีเข้าเมืองไปทำงาน

ปีนี้เสี่ยวซื่อกลับมาขอให้ชาวบ้านทำงานหัตถกรรม แน่นอนว่าตนกระตือรือร้นมาก ทำทั้งงานในบ้านและนอกบ้านเลย

สองสามเดือนมานี้ได้เงินมาเกือบร้อย บวกกับรายได้จากงานที่สามีทำ สภาพความเป็นอยู่ดีขึ้นเยอะ

ถ้าเป็นเมื่อก่อนตนไม่กล้าทำอะไรเลย แต่พอเห็นคนรอบข้างมีชีวิตดีขึ้นก็เริ่มสนใจบ้าง

ตอนนี้พวกเขากำลังวางแผนจะเปิดร้านในตำบลไม่ก็ในอำเภอด้วยนะ มีแค่ตอนนี้เท่านั้นที่รู้สึกได้ว่าพวกเราอยู่สบายขึ้นจริง ๆ

ส่วนแม่เถียนเสี่ยวเหอคนโง่เอาแต่ฝันหวานไปเรื่อย คิดว่าสิ่งเหล่านี้จะร่วงลงมาจากฟ้าให้ หล่อนได้คิดบ้างไหมว่ามันจะมีเรื่องแบบนั้นจริงหรือเปล่าน่ะ?

ขอแค่ตั้งใจก็ทำได้แล้ว

“ฝากขอบคุณเสี่ยวเฉ่าด้วยนะ พี่ทำพื้นรองเท้าไว้หลายคู่เลย ให้เธอสองคู่ เสี่ยวเฉ่าอีกสองคู่ อย่าถือสาเรื่องฝีมือกันเลยนะ ฉันตั้งใจทำจริง ๆ”

จางไฉ่อวิ๋นเอ่ยด้วยความจริงใจ

เสี่ยวเถียนไม่กล้าปฏิเสธ

“ขอบคุณค่ะพี่สะใภ้”

เสี่ยวเถียนตื้นตันใจเหลือเกิน จางไฉ่อวิ๋นเป็นคนดีกว่าเถียนเสี่ยวเหอมาก ถ้าเลิกแข่งกับน้องสะใภ้คงดีกว่านี้อีกหรือเปล่า?

บ้านพ่อสามีก็ภูมิหลังที่ดี คิด ๆ ดูแล้วไม่เห็นต้องไปแข่งอะไรกันเลย เพราะยังไงทุกคนต่างก็มีชีวิตใครชีวิตมัน

ทางเถียนเสี่ยวเหอกำลังไม่พอใจ เธอจะกลับได้ยังไงในเมื่อยังไม่ได้ผลประโยชน์สักอย่าง

แต่แม่สามีไล่แล้ว

ถ้าเป็นเมื่อก่อนภรรยาฉางจิ่วคงจะดูแลไหวนั่นแหละ เพราะไม่อยากให้ปัญหาเยอะ แต่ก็เพิ่งมารู้ว่าถ้าตนถอยอีกฝ่ายก็จะเดินเข้ามา

จางไฉ่อวิ๋นมองน้องสะใภ้จากไปโดยไม่พูดอะไร เธอทักทายเซี่ยหนานแล้วขอตัวกลับบ้าง

ไม่ได้พูดพล่ามเลยสักนิดเดียว

เป็นฉากที่ทำให้ภรรยาฉางจิ่วสบายใจขึ้นเล็กน้อย

เซี่ยหนานมองคนทั้งด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น

ภรรยาฉางจิ่วเอ่ยอย่างอับอาย “ทำให้น้องใหญ่ต้องขบขันแล้ว ฉันแข็งแกร่งมาตลอดเลยนะจนกระทั่งมาเจอสะใภ้สองคนนี้นี่แหละ…”

มันเป็นเรื่องที่ล้มเหลวจริง ๆ นะ ไม่เหมือนบ้านซูเลยที่ได้สะใภ้ดี ๆ ทั้งนั้น

ได้ยินจากชายชราว่าหลานคนรองก็ได้คู่ที่ดีว่า ส่วนลูกชายคนที่สองของตระกูลซูมีหุ้นส่วนที่ดีมากเช่นกัน

อิจฉาไม่ไหวแล้วจริง ๆ!

ทำไมตอนนั้นถึงไม่รู้ก่อนนะว่าสองสะใภ้จะเป็นแบบนี้น่ะ?

ถ้าสะใภ้เล็กเป็นคนเดียวก็ยังผ่อนปรนได้บ้าง ทำไมสะใภ้ใหญ่ถึงเป็นไปด้วยอีกคนล่ะ? ทั้งที่ตอนแต่งเข้าบ้านมายังดี ๆ อยู่เลย ซื่อสัตย์ ขยันขันแข็ง

“ทุกบ้านมีปัญหาของตัวเองทั้งนั้นค่ะ” เซี่ยหนานยิ้ม

หลังจากอธิบายเรื่องนี้ให้ฟังอย่างชัดเจน ชาวบ้านก็เลิกให้ความสนใจ บางส่วนกลับไปทำงานต่อ หลังจากพูดคุยกันสักพักก็แยกย้ายกันไป

เสี่ยวเถียน “คุณป้า หนูว่าพี่สะใภ้ไฉ่อวิ๋นนิสัยดีกว่าพี่สะใภ้เสี่ยวเหอเยอะเลย”

ภรรยาฉางจิ่วเข้าใจดี

“เธอเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยน่ะ ใจคิดแข่งกับสะใภ้เล็กมาตลอดเลย เพราะกลัวจะแพ้เขา!”

เสี่ยวเถียนนึกถึงฉีเหลียงอิง เมื่อก่อนแม่รองแกก็เป็นแบบนี้ แต่ถ้าเอามาเทียบตอนนี้ แม่รองมีชีวิตการกินอยู่ดีแล้ว จึงไม่สนใจเรื่องพวกนั้นอีก

ต้องบอกเลยว่าเรื่องเกี่ยวกับคุณย่าเต็ม ๆ

ถ้าแกจัดแจงความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวกันเองได้ไม่ดี แม่รองคงเป็นยิ่งกว่านี้อีก

อย่างที่เขาว่า เด็กร้องไห้ก็ต้องได้กินนมแต่เราจะไปบังคับเขาให้ร้องไห้ไม่ได้*[1]ใช่ไหมล่ะ

ถ้าให้เสี่ยวเถียนบอกก็ว่ายาก เหมือนที่อาจารย์เซี่ยพูดนั่นแหละ แต่ละบ้านมีปัญหาเป็นของตัวเอง!

ให้คนของเขาจัดการกันเองนั่นแหละ!

ตกบ่าย ซูฉางจิ่วและภรรยาต้องไปทำงานในทุ่งนา

หลังเสี่ยวเถียนให้ของขวัญคุณลุงคุณป้าเสร็จก็ตั้งใจพาเซี่ยหนานไปพักที่บ้านตัวเอง

“เด็กคนนี้ ไม่ได้กลับบ้านนานขนาดไหนแล้ว? ป่านนี้ผ้าผ่อนในบ้านคงมีแต่กลิ่นอับทั้งนั้น”

ก็จริงนะ เธอไม่ได้กลับมาที่นี่เป็นเวลาเป็นปีกว่าแล้ว เผลอ ๆ ผ้าห่มอาจขึ้นราไปหมดแล้วก็ได้

แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะ?

ถ้ามาตัวคนเดียวก็หาที่พักได้อยู่ แต่เรามากับอาจารย์เซี่ยด้วยไง?

เด็กสาวมองผู้เป็นอาจารย์หมายจะถามว่า ‘เราออกไปหาโรงแรมกันดีไหมคะ?’

จากนั้นก็ได้ยินเสียงคุณป้าเสียก่อน

“ฟังป้าเถอะ พักบ้านป้านี่แหละ ผ้านงผ้านวมมีพร้อมเลยนะ” แกเอ่ยอย่างเบิกบานใจ

เสี่ยวเถียนยิ้ม “ถ้างั้นรบกวนคุณป้าด้วยนะคะ”

เดินทางเหนื่อยมาทั้งวัน พักบ้านลุงฉางจิ่วสักคืนแล้วกันเนอะ

เดี๋ยวพรุ่งนี้เย็นต้องเดินทางกลับเมืองหลวงอีก มีเวลาเหลือตั้งหนึ่งคืน

“งั้นก็พักผ่อนอยู่บ้านไปนะ พวกป้าไปทุ่งก่อน เย็น ๆ เดี๋ยวเอาไก่กลับมาทำอาหารให้” ว่าจบก็หยิบจอบ ใส่หมวกฟางเตรียมจากไป

ซูฉางจิ่วลังเล “หรือเธอจะอยู่บ้านกับพวกเขาไหม?”

มันดูไม่มีเหตุผลเท่าไรที่ปล่อยแขกไว้บ้าน แต่เจ้าของบ้านออกไปทุ่ง

ถึงงานจะหนักแต่ไม่ได้ใช้เวลาทั้งวัน

ทีแรกฝ่ายภรรยาก็นึกห่วง แต่พอสามีว่างั้นจึงรู้สึกเห็นด้วยจึงวางข้าวของลง

“เดี๋ยวบ่ายนีัฉันอยู่ด้วยแล้วดันน้องใหญ่ พี่เขยเขาไปคนเดียวได้”

เซี่ยหนานรู้สึกละอายใจ

จึงหันไปมองเสี่ยวเถียนเพื่อขอความช่วยเหลือ

เสี่ยวเถียนยิ้ม แล้วหยิบจอบขึ้น “คุณป้า หนูตั้งใจว่าจะพาอาจารย์ขึ้นเขาค่ะ เผื่อจะจับไก่ป่าหรือกระต่ายได้”

ซูฉางจิ่วเป็นกังวล “เด็กคนนี้ ทำไมคิดจะขึ้นเขาเล่า? หนูเป็นเด็กผู้หญิงนะ ลุงไม่วางใจ!”

แต่เธอไม่ได้สนใจ “ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูเก่งมาก ถ้าหนูไม่ไปพี่ ๆ เขาก็ไม่ไปเหมือนกันค่ะ”

ถึงจะเก็บไว้เป็นความลับ แต่ทุกครั้งที่เด็ก ๆ ขึ้นเขาก็จะพาน้องสาวไปด้วยตลอด

ตอนเสี่ยวเถียนไม่อยู่ พวกเขาไม่ค่อยได้ไปเลยซึ่งเรื่องนี้ซูฉางจิ่วรู้ดี

เมื่อก่อนก็คิดนะว่าเด็ก ๆ รักน้องเลยพาไปด้วย แต่เหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น สาวน้อยคนนี้คงพูดจริง

“อยากให้ลุงไปด้วยไหม?”

“ลุงไปทำงานเถอะค่ะ หนูจัดการเองได้” เสี่ยวเถียนรีบบอก “เราไปแค่แถว ๆ ตีนเขาเอง ไม่ได้เข้าไปลึกมาก”

ซูฉางจิ่วมองเซี่ยหนาน จู่ ๆ รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูไม่ค่อยมีแรงเท่าไร คงปีนเขาไม่ไหวหรอก

แบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย

[1] คล้ายกับคำพูดที่ว่า อยากได้อะไรก็ต้องได้ แต่ในที่นี้จะหมายถึง หากเราแสดงความต้องการหรือขอร้องออกมาบ่อยครั้ง จะมีคนให้ความช่วยเหลือเอง