บทที่ 972 แขกไร้มารยาทมาหาถึงบ้าน

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 972 แขกไร้มารยาทมาหาถึงบ้าน

พวกเธอร่วมแรงร่วมใจกันทำอาหารให้เสร็จก่อนฟ้ามืด

ตามความเคยชินของชาวบ้าน พวกเธอจึงนั่งกินข้าวใต้ต้นไม้กัน

มีโต๊ะไม้เรียบ ๆ กับเก้าอี้ทำเอง พร้อมคนทั้งสี่นั่งล้อมวงกัน

บนโต๊ะมีถ้วยข้าวเม็ดใส อาหารจานเนื้อจานผัก ทั้งจานร้อนและจานเย็นล้วนดูน่ากินมาก

นี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยหนานได้กินอาหารของชาวไร่ เธอจึงมีความสุขมาก

“พวกเธอเป็นคนในเมืองคงได้กินอาหารมาเยอะแล้ว ของเราเป็นอาหารชาวไร่ หวังว่าจะไม่รังเกียจกันนะ” ภรรยาฉางจิ่วยิ้มแล้วเอ่ยอย่างสุภาพ

“ตอนนี้ในเมืองไม่ได้ใช้ฟืนทำอาหารแล้วค่ะ จึงไม่มีกลิ่นหอมถ่านแล้ว แต่อาหารแบบนี้แหละที่อร่อยที่สุดเลย” เซี่ยหนานตื้นตันใจมาก

เสี่ยวเถียนคิดว่าใช้ฟืนทำแล้วดีนะ แต่อนาคตคงไม่ได้ใช้แล้วน่ะสิ เพราะอาหารที่ทำออกมาจึงไม่ค่อยหอมเลย

“ถ้าอาจารย์เซี่ยว่าอร่อยก็กินเยอะ ๆ เลยค่ะ ไม่ต้องกลัวไม่ย่อยนะ พอออกไปเดินเล่นสักหน่อยก็ย่อยหมดแล้ว”

เซี่ยหนานยิ้ม “กลัวเดินไม่ไหวน่ะสิ ฉันไม่เคยเดินเยอะขนาดนี้เลย”

ทั้งนั่งรถไฟ ต่อรถยนต์ แล้วก็เดินขึ้นเขาอีก วันนี้เธอออกกำลังกายมากกว่าวันปกติด้วยซ้ำ

เลยกะว่าจะพักให้เต็มที่เสียหน่อย

ภรรยาฉางจิ่วเห็นด้วย “ก็จริงนะ ขึ้นเขามาตั้งนาน แช่เท้าสักหน่อย แล้วรีบเข้านอนดีกว่านะ”

ตอนนี้เธอรู้สึกประทับใจในตัวเซี่ยหนานมาก

เป็นคนในเมืองแต่ติดดินมาก ทั้งยังไม่รังเกียจหมู่บ้านเราสักนิด

แถมยังออกตัวช่วยงานด้วย คนแบบนี้หายากมากเลย

และถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของเสี่ยวเฉ่าก็คงดีกว่านี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเราไม่ควรมีอะไรมากั้น

ตอนนี้ทุกคนมีข้าวคนละถ้วย พร้อมอาหารรสเลิศ ขนาดเซี่ยหนานเห็นแล้วยังหิวเลย

“เมื่อกลางวันฉันกินบะหมี่เนื้อมาค่ะ พอตอนนี้ได้กินอาหารฝีมือพี่อีก จึงรู้แล้วว่าฉันเป็นกบในกะลา”

เพราะตอนแรกเธอคิดว่าดินแดนอันแห้งแล้งทางตะวันตกเฉียงเหนือคงไม่มีอะไรดี แต่ตอนนี้ได้รู้แล้วว่าที่นี่ทั้งอุดมสมบูรณ์และมีอาหารรสเลิศกับเขาเหมือนกัน

อาจารย์เซี่ยอารมณ์ดีขึ้น และไม่เลือกกินเลย

แต่น่าเสียดายไม่ว่าจะอารมณ์ดีขนาดไหน คงเลี่ยงเจอพวกไม่รู้สถานการณ์มาหาตอนชาวบ้านเขากินข้าวกันยาก

เซี่ยหนานเห็นข้าวแล้วก็หิว พอกินหมดไปถ้วยก็ขอเติมอีกหน่อย

และในขณะนั้นก็มีคนเปิดประตูบ้านเข้ามา

ภรรยาฉางจิ่วสับสนมาก นี่เป็นช่วงเวลากินข้าว ทุกบ้านจะรู้กันว่าไม่ควรมาเยี่ยมกันในเวลานี้

จากนั้นจึงมองไปทางประตู ไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกจากเถียนเสี่ยวเหอและลูกชายทั้งสองคน

พวกเขามีลูกกันสองคน คนโตอายุแปดขวบ ส่วนคนเล็กอายุหกขวบ

โดยปกติเด็ก ๆ ถึงวัยเรียนรู้แล้ว ควรได้เรียนหนังสือจะได้รู้กฎเกณฑ์

แต่เถียนเสี่ยวเหอเป็นพวกไม่สนใจอะไร จึงสั่งสอนลูกให้ไม่รู้จักกฎมารยาท

กับบ้านอื่นก็ดีนะ แต่พอเป็นบ้านซูฉางจิ่วแล้วเหมือนจะไม่ใช่

และสิ่งที่เธอสอนคือ ให้หยิบของที่อยากได้ในบ้านปู่ย่าไปได้เลย

พอเห็นอาหารอร่อย เด็ก ๆ ก็พุ่งเข้ามาหมายจะเอาให้ได้

เด็ก ๆ บ้านซูรู้จักกฎเกณฑ์มาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่มีใครนิสัยแบบนี้เลย เสี่ยวเถียนเองยังไม่ชอบเด็กแบบนี้ด้วย

เธอขมวดคิ้วก่อนยื่นแขนมาขวางไว้

เด็ก ๆ พลันอารมณ์เสียขึ้นมาเมื่อไม่ได้ของที่ต้องการ ก่อนตะคอกใส่หน้าเสี่ยวเถียน

“นี่คือบ้านฉันนะ เธอทำอะไร?”

“ฉันจะกินเนื้อ ทำไมต้องไม่ให้กันด้วย?”

เถียนเสี่ยวเหอเห็นยังไม่พอใจขึ้นมา

เธอพาลูกมาเพราะได้กลิ่นเนื้อจากบ้านแม่สามี ถ้าวันนี้ไม่ได้กินตนไม่ยอมหรอกนะ!

“ซูเสี่ยวเถียน เธอหมายความว่ายังไง? มากินข้าวบ้านฉันแล้วก็ไปเฉย ๆ น่ะนะ?”

“นี่คือคำพูดคำจาของคนเป็นมนุษย์หรือ? ใครมากินข้าวบ้านแก เถียนเสี่ยวเหอ เราแยกบ้านกันอยู่แล้ว!”

ภรรยาฉางจิ่วที่อุตส่าห์อดทนมาได้ทั้งวัน ตอนนี้กลับทนไม่ไหวอีกต่อไป

ทำพวกเขาขายหน้าไม่พอ ยังจะขัดขวางการกินข้าวอีก มันคือสิ่งที่คนเขาทำกันหรือยังไง?

เราคุยเรื่องกฎเกณฑ์กันแล้ว ไม่มีใครในหมู่บ้านเขาทำแบบนี้หรอก

แต่เถียนเสี่ยวเหอกลับพาลูกมาสร้างความรำคาญ โนเวล-พีดีเอฟ

เด็ก ๆ อายุเพิ่งจะแค่นี้ ตอนนี้ไม่รู้จักกฎเกณฑ์ แล้วโตขึ้นจะเป็นคนดีได้ยังไง?

ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป เด็ก ๆ จะไม่โดนชาวบ้านเขาว่าลับหลังเอาหรือ?

“แม่ นี่หลานแม่นะ!” เถียนเสี่ยวเหอไม่คิดเลยว่าแม่สามีจะเข้าข้างไอ้เด็กคนนั้น

เพราะตระกูลซูมีเงินใช่ไหมล่ะ จึงคิดประจบแจงน่ะ?

พวกใจปลาซิว!

“หลานฉันแล้วมันทำไม? โชคดีจริง ๆ ที่ลูกชายฉันไม่มาด้วย ถ้ามันมาเหล่าจื่อจะตบมันสักที ถามมันซิว่าฉันสั่งสอนมันให้เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”

คราวนี้ซูฉางจิ่วเป็นฝ่ายพูด ดูก็รู้ว่าเขาโกรธจัด

บ้านเขาโชคร้ายจริง ๆ ที่ลูกสะใภ้แบบนี้มา แถมโชคร้ายกว่าเก่าที่ลูกชายมันเป็นพวกใจเสาะ!

ไม่ว่าเถียนเสี่ยวเหอจะสร้างเรื่องไว้แค่ไหน แม่สามีก็ช่วยไว้เสมอ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อสามีเอ่ยปากเอง

เถียนเสี่ยวเหอมองด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ

เหตุผลที่ทำตัวอวดเบ่งเพราะมั่นใจว่าพ่อสามีจะไม่ว่าอะไรลูกสะใภ้แน่นอน

“พ่อ พ่อหมายความว่าอะไร?”

“ไปตามซูผิงอันมา วันนี้เหล่าจื่อจะสั่งสอนเอง ถามไปเลยว่ากฎเกณฑ์ที่พ่อมันสอนมาเอาให้หมาแดกไปหมดแล้วหรือ?”

ใบหน้าซูฉางจิ่วเย็นเยือก เขาไม่สนใจลูกสะใภ้สักนิด

การเคลื่อนไหวของผู้ใหญ่บ้านสร้างความตื่นตระหนกให้แก่ชาวบ้านโดยรอบ

คนที่อยากมาดูความสนุกเดินเข้ามาล้อมดูเหมือนกัน

บางส่วนถือถ้วยข้าวมาด้วย ทั้งดูทั้งกินไม่อยากเสียเวลาสักนิด

“เสี่ยวชวนจื่อ ช่วยไปตามซูผิงอันให้ปู่หน่อยนะ” ซูฉางจิ่วบังเอิญเห็นเด็กห้าหกขวบยืนตรงนั้นพอดีจึงไหว้วานเขา

ครอบครัวของเสี่ยวชวนจื่อไม่อยากให้ลูกเข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่ยังไม่ทันหยุดเอาไว้เจ้าตัวก็วิ่งไปตามคนมาแล้ว

จึงเหลือแค่ผู้ใหญ่ในบ้านที่ยืนสบถอยู่

“พ่อ พ่อจะเข้าข้างคนอื่นไม่ได้นะ” เถียนเสี่ยวเหอคาดไม่ถึงว่าพ่อสามีจะทำเช่นนี้

“สั่งสอนลูกชายต่อหน้าแขกไม่ดีก็จริง แต่ลูกทำผิด ฉันซูฉางจิ่วจะยอมเสียหน้าเอง วันนี้ฉันจะสั่งสอนมันให้ชาวบ้านทุกคนเห็นกันไปเลย!”

เถียนเสี่ยวเหอตกใจกลัว

เธอรู้สึกว่าสิ่งที่คำนวณไว้นั้นผิดพลาดเสียแล้ว

เหมือนว่าตนกำลังจะเสียผลประโยชน์!

เจ้าตัวตื่นตระหนกพยายามหนีออกไป แต่โดนแม่สามีรั้งข้อมือไว้

“ไหน ๆ ก็มาแล้ว รอซูผิงอันมาก่อนสิ จะได้ฟังพ่อแกพูดไปพร้อม ๆ กันเลยไง”