บทที่ 1013 ยุคใหม่

หานเจวี๋ยใช้งานแบบจำลองการทดสอบอย่างต่อเนื่อง

ท้าสู้มหาเทวาพ้นนิวรณ์สิบรายในคราวเดียว พอจะฝืนสู้ได้เท่านั้น

ต้องกล่าวเลยว่ามหาเทวาพ้นนิวรณ์ร้ายกาจมากจริงๆ พลังอันลึกลับนั้นมีผลผูกมัดแกร่งกล้ายิ่ง แต่น่าเสียดายที่ทำลายเกราะป้องกันของหานเจวี๋ยไม่ได้

หานเจวี๋ยนำกงล้อสวรรค์เลิศรังสรรค์ออกมา เริ่มทำให้จดจำเจ้าของ

กงล้อสวรรค์เลิศรังสรรค์เป็นกงล้อสีทองวงหนึ่ง สามารถยืดหดได้ตามต้องการ

ถึงอย่างไรก็เป็นสุดยอดสมบัติ หานเจวี๋ยเสียเวลาไปถึงพันปีเพื่อทำให้มันยอมรับเจ้าของ หากมิใช่เพราะเขาพิสูจน์ผู้สร้างมรรคาแล้ว เกรงว่าอาจใช้เวลานานกว่านี้ร้อยเท่า

หลังจากจดจำเจ้าของแล้ว กงล้อสวรรค์เลิศรังสรรค์เปล่งแสงทองมลังเมลือง ลอยไปอยู่ด้านหลังของหานเจวี๋ย ดูทรงบารมียิ่ง

หานเจวี๋ยพินิจดูร่างตน พอใจกับรูปลักษณ์ในปัจจุบันมาก

หลังจากเก็บซ่อนโลกปฐมยุคไว้ในส่วนลึกของวิญญาณอีกครั้ง เขาก็เรียกหานหลิงกลับเข้ามาในอารามเต๋า

หลังจากเข้ามา หานหลิงรีบเอ่ยถามว่า “ท่านพ่อ ท่านทะลวงระดับแล้วหรือเจ้าคะ ตอนนี้อยู่ระดับใดแล้ว”

หานเจวี๋ยตอบว่า “เพียงทะลวงขั้นเล็กเท่านั้น ยังคงเป็นยอดมหามรรคอยู่”

หานหลิงร้องโอ้

ตอนทะลวงสู่ผู้สร้างมรรคาไม่ได้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตสักเท่าไร เพราะมีอาณาเขตเต๋าปิดกั้นอยู่ สรรพสิ่งไม่รับรู้ส่วนสิ่งมีชีวิตในอาณาเขตเต๋าก็ระดับต่ำเกินไป รับรู้ถึงกลิ่นอายของผู้สร้างมรรคาไม่ได้

ก็เหมือนก่อนหน้านี้ที่เจ้านวฟ้าบุพกาลปรากฏตัวขึ้น หานเจวี๋ยก็มองไม่เห็นตัวเขาเช่นกัน

หานเจวี๋ยไม่พูดไร้สาระอีก เริ่มตรวจดูกล่องจดหมาย

หลายล้านปีมานี้ไม่ได้ตรวจดูจดหมายเลย ไม่ทราบเช่นกันว่าแวดวงสหายเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นบ้าง

[หวงจุนเทียนสหายของท่านตระหนักรู้ในพลังวิเศษสูงสุด ดวงชะตาเพิ่มพูน]

[เทพมหาทัณฑ์สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ]

[หานฮวงบุตรชายของท่านเข้าสู่โลกมหามรรคอวิชชา]

[หลี่เต้าคงสหายของท่านเริ่มบุกเบิกโลกมหามรรค]

[เต้าจื้อจุนศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมารปีศาจ] x103998222

[ศิษย์ของท่าน…]

….

[มู่หรงฉี่ศิษย์หลานของท่านผสานรวมกับมหามรรคสงคราม ก้าวเข้าสู่ระดับเหนือสามัญ]

[ผานกู่สหายของท่านฟื้นคืนชีพ]

[เจียงเจวี๋ยซื่อศิษย์ของท่านเข้าสู่รอยแยกฟ้าบุพกาล]

….

โอกาสวาสนามากมายนัก ถูกโจมตีก็มากเช่นกัน

แต่หากมองในส่วนของโอกาสวาสนาและการเปิดพื้นที่ใหม่ๆ แล้ว นับว่ามีความก้าวหน้ากันทั้งสิ้น

หานเจวี๋ยพอใจมาก ไม่ได้มีเพียงตัวเขาที่ก้าวหน้าคนเดียว

หลังตรวจจดหมายเสร็จ เขาเริ่มลังเลขึ้นมา จะออกไปเดินเล่นดีหรือไม่

ถึงอย่างไรการทะลวงขั้นครั้งต่อไปก็ต้องไม่ใช่แค่สามสิบล้านปีแน่ ไม่จำเป็นต้องแยแสระยะเวลาไม่กี่พันปีเลย

ก่อนจากไป เขาต้องคิดด้วยว่าจะนำกฎแห่งการรังสรรค์ไปไว้ที่ไหนดี นอกจากจะเก็บไว้ในโลกปฐมยุคแล้ว เขายังสามารถแยกส่วนกฎแห่งการรังสรรค์ แล้วนำไปซ่อนในสถานที่แตกต่างกันไปได้ด้วย เพื่อรับประกันว่าตนจะไม่มีทางตาย

เก็บส่วนหนึ่งไว้ในณาเขตเต๋าแห่งที่สามได้ จากนั้นก็นำอีกส่วนไปเก็บในที่ไหนสักแห่งในฟ้าบุพกาล ดินแดนเวิ้งว้างก็ใช้ได้เช่นกัน ต้องเตรียมการให้พร้อม

กฎแห่งการรังสรรค์แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ต่อให้แบ่งแยกออกเป็นร้อยล้านส่วนก็ไม่ส่งผลกระทบต่อวงจรปกติของโลกปฐมยุค

หลังจากตัดสินใจได้แล้ว หานเจวี๋ยก็ใช้จิตรับรู้ควบคุมแบ่งกฎแห่งการรังสรรค์สามสายทิ้งไว้ในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม

เขาลุกขึ้นยืน เอ่ยถามว่า “พ่อจะออกไปเที่ยวเล่น เจ้าอยากไปด้วยหรือไม่”

หานหลิงผงะไป รีบลุกขึ้นมาพลางเอ่ยว่า “ท่านพ่อไปที่ใดข้าก็จะไปที่นั่นเจ้าค่ะ”

หานเจวี๋ยพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม บอกไปว่า “เจ้าคงต้องคอยสักหลายสิบปีก่อน พ่อจะไปเยี่ยมบรรดาท่านแม่ของเจ้า”

หานหลิงไม่มีความเห็นใด เพียงนั่งลงอีกครั้ง

แปดสิบปีผ่านไป

หานเจวี๋ยพาหานหลิงมาที่มรรคาสวรรค์ ทั้งสองสะกดตบะไว้ ระดับของมรรคาสวรรค์สูงไม่เท่าพวกเขา พวกเขาย่อมเข้ามาได้ง่ายๆ

มรรคาสวรรค์ปฏิเสธเพียงตัวตนแห่งฟ้าบุพกาลที่แข็งแกร่งมากกว่าตัวเองหลายเท่า ปีนั้นที่เทวีตราวินัยทำลายเกราะป้องกันมรรคาสวรรค์ได้ง่ายๆ ยังคงเป็นฉากที่ตราตรึงอยู่ในใจ

หานเจวี๋ยไม่ได้แจ้งให้อริยะมรรคาสวรรค์รู้ตัว เขาพาหานหลิงออกท่องแดนเซียน

….

ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ภายในตำหนักเอกภพ

อริยะมรรคาสวรรค์นับพันล้วนอยู่ที่นี่แล้ว จอมอริยะเสวียนตูนั่งในตำแหน่งประธาน เบื้องหน้าคือเหล่าอริยะ เป็นฉากที่ตระการตายิ่งนัก

ผ่านไปกว่ายี่สิบล้านปี มรรคาสวรรค์เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกดินมานานยิ่ง แค่อริยะมหามรรคก็มีจำนวนเกินนับนิ้วได้แล้ว ส่วนอริยะเสรีกินสัดส่วนถึงหนึ่งในห้า

พื้นที่ของมรรคาสวรรค์ก็ขยายตัวขึ้นเป็นเท่าตัว ทำให้อริยะมรรคาสวรรค์แต่ละคนมีเขตปกครองดูแลเป็นของตัวเอง

แต่อริยะสวรรค์เกรียงไกรไม่ปรากฏตัวขึ้นนานมากแล้ว อริยะรุ่นใหม่ๆ ล้วนไม่เคยพบหานเจวี๋ย เขาถูกมองเป็นตำนานเล่าขานไปแล้ว

จอมอริยะเสวียนตูเป็นคนรู้งานยิ่ง ทุกครั้งที่เรียกประชุมเหล่าอริยะ ข้างกายจะมีเบาะกลมวางอยู่หนึ่งใบเสมอ นั่นคือที่ของหานเจวี๋ย สื่อให้อริยะรุ่นใหม่ทราบว่าอริยะสวรรค์เกรียงไกรยังอยู่

ฉิวซีไหลแค่นเสียงเอ่ยขึ้นมา “เผ่าผานกู่รวมตัวกันอีกครั้ง ข่าวแพร่ขึ้นมาถึงมรรคาสวรรค์แล้วเกรงว่าเทพยักษาผานกู่คงมีความคิดอื่นอยู่”

ผานซินเอ่ยยิ้มๆ “มีจริงๆ ถึงอย่างไรมรรคาสวรรค์ก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แต่ปัจจุบันนี้มรรคาสวรรค์ไม่มีทางกลับไปอยู่ภายใต้การปกครองของเขาอีก ต่อให้บรรพชนเต๋าฟื้นคืนชีพกลับมาก็ไม่ได้เช่นกัน แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบรรพบุรุษของพวกข้า มารยาทที่พึงมีก็ไม่อาจละทิ้งได้”

ช่วงล้านปีที่ผ่านมา ผานกู่บุกเบิกฟ้าดินขึ้นอีกครั้ง สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้น สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ไม่ทราบว่าเป็นความบังเอิญสมพงศ์หรือจงใจ เริ่มมาเยี่ยมเยือนมรรคาสวรรค์แล้ว

มรรคาสวรรค์เข้าออกง่าย เปิดรับสิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาลเสมอมา ไม่เคยปฏิเสธผู้มาเยือน

อริยะคนอื่นๆ ก็พากันแสดงความคิดเห็นของตน

ล้วนต้องการป้องกันผานกู่ทั้งสิ้น

พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นหลังจากมรรคาสวรรค์เริ่มต้นวงจรใหม่ ภาพจำที่มีต่อผานกู่ไม่นับว่าลึกซึ้งนัก เทพผู้สร้างโลกที่พวกเขาให้การยอมรับก็คืออริยะสวรรค์เกรียงไกร

หากไม่มีอริยะสวรรค์เกรียงไกร มรรคาสวรรค์คงจบสิ้นไปหลายคราแล้ว

หลังจากคุยเรื่องผานกู่จบ ฟางเหลียงเอ่ยขึ้นว่า “ระยะนี้ความขัดแย้งระหว่างตระกูลหานและสำนักทะยานฟ้ารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เรื่องนี้จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นภัยร้ายแรง”

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยถาม “หานอวิ๋นจิ่นมีท่าทีอย่างไร”

ฟางเหลียงเอ่ยว่า “เขากำลังปิดด่านอยู่ เจ้าบ้านรุ่นปัจจุบันของตระกูลหานกลับไม่ยินยอมอ่อนข้อ ถึงแม้เรื่องนี้จะเกิดขึ้นจากชนรุ่นเยาว์ของตระกูลหาน แต่สิ่งที่ตระกูลหานเสียไปกลับหนักหนาเหลือเกิน หากเขายอมเลิกราง่ายๆ เช่นนี้คงไม่มีหน้าไปพบกับเผ่ามนุษย์แล้ว”

จอมอริยะเสวียนตูขมวดคิ้ว

“สำนักทะยานฟ้าปรากฏบุตรแห่งสวรรค์ขึ้นมากมาย ในจำนวนนั้นก็ไม่ขาดแคลนอริยะเลย จะทำให้เหล่าอริยะมัวหมองแคลงใจไม่ได้” จั้งกูซิงเอ่ยต่อ

พอเอ่ยวาจาเช่นนี้ มีอริยะสิบกว่าคนที่อยู่ในหมู่อริยะพยักหน้ารับ มองไปที่เขาด้วยสายตาตื้นตัน

เทพสูงสุดหนานจี๋เอ่ยเหน็บแนม “แล้วบุตรแห่งสวรรค์จากตระกูลหานมีน้อยหรือไร แค่เซียนทองต้าหลัวมีอยู่หลายร้อยคนแล้ว อีกทั้งตระกูลหานสืบทายาทขยายตัวไปมากมาย หากนับรวมกันแล้วก็เป็นจำนวนไม่น้อยเลย”

เหล่าอริยะรุ่นใหม่เงียบไป เรื่องเกี่ยวพันถึงสองขั้วอำนาจใหญ่ พวกเขาไม่กล้าสอดปากวุ่นวาย เลี่ยงไม่ให้ล่วงเกินผู้อาวุโสเข้า

เทพสูงสุดอู๋ฝ่ากล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องมีข้อสรุป เลี่ยงไม่ให้กระทบถึงภาพรวมของมรรคาสวรรค์ มิสู้อริยะอย่างพวกเรายอมสละสมบัติวิเศษสักหน่อย ชดเชยให้พวกเขาทำให้พวกเขายอมละวางบ่วงกรรม”

หลงเฮ่าเอ่ยว่า “เจ้าหนูตระกูลหานคนนั้นของข้านิสัยแข็งกร้าว ประกาศว่าต้องการพบเจ้าสำนักทะยานฟ้า ให้มาคุยกันต่อหน้าให้ชัดเจน หากว่าอริยะสอดมือเข้ายุ่งเกรงว่าสถานการณ์คงจะรุนแรงขึ้น”

จี้เซียนเสินเปิดปากเอ่ย “เช่นนั้นก็ให้พวกเขาพบกันเถอะ เจ้าสำนักทะยานฟ้าคนนั้นก็ชอบกล่าวอ้างว่าผู้กล้าองอาจในมรรคาสวรรค์ล้วนมาจากสำนักทะยานฟ้ามิใช่หรือ หรือว่าเขาไม่มีความกล้าพอจะไปเผชิญหน้า”

จอมอริยะเสวียนตูขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม

ชัดเจนยิ่งนัก เรื่องนี้มิใช่แค่ความขัดแย้งระหว่างตระกูลหานและสำนักทะยานฟ้า แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างอริยะสองรุ่นด้วย

สำนักทะยานฟ้าคือสำนักที่เหล่าอริยะรุ่นที่สองร่วมมือกันก่อตั้งขึ้น คงอยู่มายี่สิบล้านปีแล้ว รากฐานแข็งแกร่ง โลกมนุษย์สามัญที่อยู่ในการปกครองก็มีมากหลักหลายพัน ย่อมมีใจทะเยอทะยาน

ถึงแม้ตระกูลหานจะเกี่ยวข้องกับอริยะสวรรค์เกรียงไกร แต่ไม่ใช่เพียงสายตะกูลเดียวในหมู่ทายาทของอริยะสวรรค์เกรียงไกร!

หากเห็นว่าแซ่หานก็ยอมก้มหัวให้แล้ว ชื่อเสียงของสำนักทะยานฟ้าจะได้รับความเสียหายอย่างหนัก

………………………………………………………………