บทที่ 1014 สุดยอดดาวสังหาร
ยามที่รุ่นอาวุโสกระทบกระทั่ง ถกเถียงไม่เลิกรา เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าเหล่าอริยะรุ่นใหม่เริ่มเลือกฝักฝ่ายแล้ว
จอมอริยะเสวียนตูรู้สึกปวดหัวอย่างยิ่ง ค่อนข้างคะนึงหาบรรยากาศในสมัยที่อริยะสวรรค์เกรียงไกรนั่งแท่นปกครองมรรคาสวรรค์ หากอยู่ต่อหน้าอริยะสวรรค์เกรียงไกรยังมีจะมีผู้ใดกล้าทะเลาะกันอีกเล่า
เพียงแต่เวลาผ่านมาเนิ่นนาน ภาพจำของอริยะสวรรค์เกรียงไกรในความทรงจำของเขาก็เริ่มเลือนรางไปเช่นกัน ถึงขั้นที่เขาจดจำนามที่แท้จริงของอริยะสวรรค์เกรียงไกรไม่ได้แล้ว
สุดท้ายจอมอริยะเสวียนตูเอ่ยขึ้นว่า “ให้เจ้าสำนักทะยานฟ้าไปพบเจ้าบ้านตระกูลหานที่เขาเทพปู้โจว อริยะหานอวี้ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจงไปดูเชิงด้วยตัวเอง ป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายขึ้น”
หานอวี้ได้ฟังก็พยักหน้ารับ
หากว่ากันไปแล้วเจ้าบ้านตระกูลหานนับว่ามีลำดับอาวุโสเสมอกับเขา เพียงแต่ตบะของทั้งสองห่างชั้นกันมากนักจึงไม่เคยไปมาหาสู่กัน
สีหน้าของเหล่าอริยะแปรเปลี่ยนเล็กน้อย รู้สึกว่าจอมอริยะเสวียนตูลำเอียงไปทางฝั่งตระกูลหาน แต่อยู่ต่อหน้าหานอวี้พวกเขาไม่กล้าทักท้วง
ถึงแม้หานอวี้จะเป็นคนสุภาพ แต่ฉินหลิงศิษย์หลานคนนั้นของเขากลับไม่ใช่คนที่จะไปหาเรื่องได้ นิสัยใจร้อนมุทะลุ เคยมีอริยะนินทาหานอวี้ พอฉินหลิงได้ยินเข้าก็ตามไล่ล่าทันที หากมิใช่เพราะรุ่นอาวุโสออกหน้าช่วย เกรงว่าคงเกิดฉากอริยะดับสูญขึ้น
เรื่องนี้จึงได้บทสรุป จากนั้นอริยะรายอื่น ก็เอ่ยถึงเรื่องใหญ่อย่างอื่นขึ้นมา
นี่ก็คือตำหนักเอกภพ หมื่นปีสงบเงียบไร้เรื่องราว แต่เมื่อเหล่าอริยะมารวมตัวก็จะมีเรื่องให้พูดคุยกันนานยิ่ง
….
ขุนเขาทอดตัวดั่งระลอกคลื่น ดวงตะวันลอยอยู่เหนือทิวเขา หานเจวี๋ยและหานหลิงเดินอยู่ในป่า ที่นี่เป็นป่าโปร่งจึงมีผู้บำเพ็ญสัญจรผ่านไม่น้อยเลย ทั้งหมดล้วนมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน
พวกหานเจวี๋ยสองพ่อลูกรูปโฉมดั่งเทพบุตรดุจเทพธิดา ย่อมดึงดูดสายตาให้มองมาไม่น้อย แต่ขณะนี้ยังไม่มีผู้ใดเข้ามาหาเรื่อง
หานหลิงเอ่ยถาม “ท่านพ่อ กลิ่นอายบริเวณด้านหน้าไม่แข็งแกร่งเลย ถึงขั้นที่สู้ผู้บำเพ็ญบางส่วนที่เคยพบก่อนหน้านี้ไม่ได้ หรือจะเป็นเพียงคำอวดอ้างหลอกลวงเจ้าคะ”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเราทำอะไรกันอยู่เล่า เพียงมาร่วมชมเรื่องครื้นเครงเท่านั้น ไปกันเถอะ”
สองพ่อลูกเดินขึ้นเขา หยุดลงที่ศาลาหินหลังหนึ่ง ศาลาหลังนี้สูงตระหง่าน มองเห็นทิวเขาในละแวกนี้
เมื่อมองจากตรงนี้จะมองเห็นอารามเต๋าหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่บนเนินเขาลูกหนึ่งที่อยู่ไกลออกมาสิบกว่าลี้ หน้าอารามคือแท่นกว้างโล่ง มีผู้บำเพ็ญหลายสิบคนนั่งสมาธิอยู่ ในป่าเขาละแวกใกล้เคียงก็มีผู้บำเพ็ญอยู่เช่นกัน เป็นภาพที่ตระการตายิ่ง
หานเจวี๋ยเฝ้ารอให้เซียนคนนั้นมาเทศนาธรรมพลางเปิดใช้สวรรค์ประทานโชคไปด้วย
เขามีสวรรค์ประทานโชคสะสมอยู่สองครั้ง สมควรนำมาใช้สักครั้งแล้ว
[เริ่มใช้งานสวรรค์ประทานโชค ผู้มีมหาโชคแต่กำเนิดจะปรากฏขึ้นในหมู่เชื้อสายของท่านแบบสุ่มเลือก]
[หานเย่เชื้อสายของท่านตื่นรู้ในมหาโชคแต่กำเนิด…สุดยอดดาวสังหาร]
[สุดยอดดาวสังหาร: แฝงจิตวิญญาณแห่งดาวสังหารมาแต่กำเนิด นิสัยหยิ่งทะนง ยิ่งก่อกรรมสังหารมากเท่าไร ตบะก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ไม่ต้องดูดซับดวงชะตาฟ้าดินใดๆ]
สุดยอดดาวสังหารอย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยแปลกใจ เขาเริ่มทำนายถึงหานเย่
หานเย่มิใช่ทายาทรุ่นหลังของหานอวิ๋นจิ่น แต่เป็นทายาทรุ่นหลังของหานอวี้ สายเลือดห่างไปนับพันรุ่น แยกตัวออกจากตระกูลหลักไปแล้ว ถือกำเนิดขึ้นในถิ่นกันดารของโลกมนุษย์ธรรมดา บิดามารดาล้วนเป็นชาวนา ไม่เคยทราบประวัติความเป็นมาของบรรพชนตน
ยามนี้หานเย่อายุได้สองขวบ กำลังเผชิญการปรับเปลี่ยนจากสวรรค์ประทานโชคอยู่
หานเจวี๋ยถามในใจ ‘สุดยอดดาวสังหารกับดาวจักรพรรดิอนธการใครแข็งแกร่งกว่ากัน’
[โชคที่สวรรค์ประทานยากจะคาดคะเนได้]
หานเจวี๋ยสนใจในตัวหานเย่ขึ้นมาแล้ว
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไปเฝ้าดูหานเย่สักหลายๆ ปีหน่อย
สำหรับหานเจวี๋ยแล้วกาลเวลาสั้นยิ่งนัก
….
ท่ามกลางป่าทึบ เด็กชายหน้าตาคมคายในชุดเสื้อผ้าเรียบง่ายคนหนึ่งวิ่งเร็วดั่งเหินบิน ด้านหน้ามีหมูป่าตัวหนึ่งที่สูงเท่าไหล่ผู้ใหญ่กำลังอาละวาดไปทั่วป่า
“เดรัจฉาน! เจ้าพังสวนบ้านข้าแล้วคิดจะหนีไปไหน!”
เด็กชายย่อตัวกระโดดออกไป ตกลงบนหลังหมูป่า เขาเงื้อกำปั้นน้อยๆ ชกเข้าที่หัวมัน
ตึง!
หมูป่าล้มแผ่ทันที หัวอวบอ้วนกระแทกเข้ากับพื้น มีเสียงกระดูกหักแว่วขึ้นอย่างต่อเนื่อง เลือดสดๆ สาดกระจาย
เด็กชายยังไม่หายโมโห ชกเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง ชกจนหมู่ป่าสิ้นใจตายอย่างรวดเร็ว
เขาลุกขึ้นมา ยิ้มยิงฟัน จากนั้นก็แบกหมูป่าพาดไหล่ ขนาดตัวของสองฝ่ายแตกต่างกันสุดขีด เห็นแล้วชวนให้ตะลึงอย่างยิ่ง
พอกลับไปถึงหมู่บ้าน เด็กชายโยนหมูป่าลงหน้าประตูหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านล้อมวงกันเข้ามาดู
“หานเย่ร้ายกาจมากจริงๆ”
“จุ๊ๆ เก้าขวบก็มีพละกำลังมากขนาดนี้แล้ว ราวกับจอมมารที่สวรรค์ส่งมาเกิด!”
“ทำดีมาก หมูป่าตัวนี้สมควรตายแล้ว!”
“ฮ่าๆๆ หานเย่ จะปันส่วนเนื้อหมูป่าตัวนี้หรือไม่”
“จุ๊ๆ ครั้งก่อนก็สังหารเสือโคร่งตัวหนึ่งได้ ครั้งนี้ก็สังหารหมูป่าตัวเท่ารถม้าได้อีก ดุดันเหลือเกิน”
….
หานเย่ประสานมือค้อมกาย ยิ้มร่าพลางเอ่ยว่า “พวกท่านแบ่งไปได้เลย ช่วยส่งส่วนขาขวาไปให้ที่บ้านข้าก็พอ!”
พูดจบเขาก็มุ่งหน้าไปทางภูเขาที่อยู่เยื้องไปทางซ้ายของหมู่บ้าน เขาโลดแล่นผ่านป่าไปอย่างรวดเร็วดั่งลิงทโมน เดินทางมาสิบกว่าลี้ก็มาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง ปากทางเข้าหุบเขาเต็มไปด้วยหญ้ารกชัฏ มองแวบแรกยากจะสังเกตเห็นว่ามีทางสายหนึ่งอยู่ตรงนี้
หานเย่พุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว หลังผ่านช่องเขาไปมีกระท่อมไม้เล็กๆ หลังหนึ่งอยู่ หน้ากระท่อมมีทะเลสาบผืนหนึ่ง มีคลื่นใสไหวกระเพื่อม
หน้าทะเลสาบมีชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งกำลังตกปลาอยู่ ฝ่ายหญิงงดงามปานบุปผา รูปโฉมล่มเมืองได้ แต่ฝ่ายชายกลับหล่อเหลาเลิศล้ำยิ่งกว่า กลิ่นอายสูงสง่าดุจเซียนมากกว่าฝ่ายหญิงเสียอีก
หานเย่วิ่งมาหยุดข้างกายคนทั้งสอง เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ท่านเซียนทั้งสอง วันนี้ข้าสังหารหมูป่าตัวที่ใหญ่โตเป็นพิเศษตัวหนึ่งได้ เสียดายที่พวกท่านไม่ได้เห็น หมูป่าตัวนั้นใหญ่เท่ากระท่อมไม้หลังนี้เลย ข้าชกต่อยไม่กี่ทีก็ตายแล้วขอรับ!”
หานเจวี๋ยเหลือบมองเขา เอ่ยยิ้มๆ “แล้วมีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นหรือไม่”
หานเย่พยักหน้าด้วยความตื่นเต้น กำสองมือแน่นพลางเอ่ยว่า “ท่านเซียน วิธีเดินลมปราณที่ท่านสอนข้าร้ายกาจเหลือเกิน หลังสังหารหมูป่าได้พลังเพิ่มขึ้นจริงๆ ขอรับ!”
หานหลิงมุ่นคิ้ว ทว่าไม่ได้เอ่ยอันใด
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามาเพียงเพื่อบอกเรื่องนี้กับพวกเราหรือ”
หานเย่เกาหัว หัวเราะแหะๆ กล่าวไปว่า “ท่านเซียน ข้าอยากฆ่าสัตว์ร้ายให้มากขึ้นขอรับ พลังจะได้เพิ่มมากขึ้น แต่สิงสาราสัตว์ของป่าในรัศมีร้อยลี้นี้น้อยเหลือเกิน ข้าสมควรทำอย่างไรดีขอรับ”
“รู้จักแต่เข่นฆ่าสังหาร อายุยังน้อยก็โหดเหี้ยมเช่นนี้แล้ว!”
หานหลิงทนไม่ไหวเอ่ยแขวะขึ้นมา หานเย่ตกใจกลัวตัวสั่น
เขารู้จักท่านเซียนคู่นี้มาครึ่งเดือนแล้ว คนที่เขากลัวที่สุดก็คือหานหลิง เนื่องจากหานหลิงไม่เคยมีสีหน้าดีๆ ให้เขาเลย
หานเย่มองหานเจวี๋ยตาละห้อย
แม้จะอายุแค่เก้าขวบ แต่ลักษณะภายนอกของหานเย่พอๆ กับเด็กวัยสิบสามสิบปีแล้ว ใบหน้าเขาไม่มีส่วนที่คล้ายกับหานเจวี๋ยเลยแม้แต่นิด แต่มีสายเลือดของหานเจวี๋ยอยู่จริงๆ
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะถ่ายทอดวิชามวยชุดหนึ่งให้เจ้า ไม่จำเป็นต้องเข่นฆ่าก็ทำให้พลังเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน เจ้ากลับไปฝึกปรือสักสองสามเดือน รอจนเชี่ยวชาญวิชามวยแล้วค่อยมาหาพวกเราอีกครั้ง”
เขาไม่รอให้หานเย่ได้ตอบอะไรก็ยื่นนิ้วหนึ่งออกมา หานเย่ตัวสั่นเล็กน้อย เหม่อลอยไปทันที
พอเขารู้สึกตัวขึ้นมา ก็กลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว ในหัวมีความทรงจำส่วนหนึ่งเพิ่มเข้ามา ทำให้เขาเลื่อมใสในตัวหานเจวี๋ยยิ่งกว่าเดิม เป็นเทพเซียนจริงๆ ด้วย!
ภายในหุบเขา
หานหลิงถามด้วยความไม่เข้าใจ “ท่านพ่อ ท่านชอบเขามากหรือเจ้าคะ”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้หรือไร”
“ถึงแม้จะเป็นชนรุ่นหลังที่สืบสายเลือดมา แต่ลำดับห่างไกลกันมากเกินไป เสมือนคนแปลกหน้า แถมเด็กคนนี้ยังมีนิสัยใช้ความรุนแรงมาแต่กำเนิด ไม่เห็นข้อดีในตัวเลยเจ้าค่ะ” หานหลิงเอ่ยพลางส่ายหน้า
หานเจวี๋ยใคร่ครวญเงียบๆ ดูเหมือนผู้ถูกเลือกจากสวรรค์ประทานโชคจะรับรู้ถึงกันและกันไม่ได้
หานหลิงรับรู้ถึงมหาโชคของเจียงเจวี๋ยซื่อได้ เนื่องจากมหาโชคของเจียงเจวี๋ยซื่อด้อยกว่าดาวจักรพรรดิอนธการ
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “ถึงเขาจะชอบเข่นฆ่า แต่เขาดีต่อคนในท้องถิ่นยิ่ง เส้นทางบำเพ็ญไหนเลยจะปราศจากการเข่นฆ่าได้ ส่วนตัวเจ้าแม้จะไร้ประสบการณ์แต่นั่นเป็นเพราะมีพ่ออยู่ หากไม่มีพ่อ แค่เจ้าอยากได้สถานที่ฝึกบำเพ็ญก็ต้องไปแก่งแย่งฆ่าฟันกับคนอื่นเช่นกัน”