ตอนที่ 248-2 ความจริง (ต้น)
ทั้งสองพยักหน้าอย่างขวัญหนีดีฝ่อ สถานที่แห่งนั้นเข้าไปทีแรกแล้วไม่เสียสติออกมาก็นับว่าบุญโขแล้ว ไหนเลยจะกล้าเข้าไปเป็นครั้งที่สองอีก ตีให้ตายก็ไม่ไป!
เฉียวเวยลุกขึ้นยืนนิ่งๆ “ข้าจะไปดูที่หุบเหวนั้นหน่อย”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกลืนน้ำลาย “ไม่ดีกระมัง…”
เฉียวเวยเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าไม่เชื่อเรื่องผี ไม่เชื่อเรื่ององค์เทพ ไม่เชื่อเรื่องจอมมารปีศาจ ข้าอยากจะไปดูสักหน่อยว่าที่นั่นมีอะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้พวกเจ้าหวาดผวาได้ถึงเพียงนี้”
คณะของพวกเขาออกเดินทางกันตอนกลางคืน เข้าหุบเหวร้อยผีไปทางตะวันออก ทางใต้มีถนนใหญ่หลายสาย คนผ่านไปมามาก จึงไม่ดูวิเวกวังเวงเท่าไรนัก แต่ที่นี่คล้ายว่าแม้แต่ลมก็ยังเย็นยะเยือก
ระหว่างทางพวกเขาพบสัตว์ร้ายที่หิวโหยหลายตัว ทั้งหมดถูกสือชีกับอี้เชียนอินจัดการไปได้อย่างง่ายดาย
พวกเขามุ่งหน้าลงใต้ไปประมาณครึ่งชั่วยามจนไปถึงหุบเหวอันเลื่องชื่อ คืนนี้แสงจันทร์กระจ่างยิ่งนัก ดอกไม้ภูเขาบานไปตลอดทาง ทั่วทั้งหุบเขาจึงมีเต็มไปด้วยม่านหมอกอันมีเสน่ห์
เฉียวเวยก้าวขาไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจับข้อมือนางไว้ “ข้าขอเตือนว่าอย่าเข้าไปจะดีกว่า”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ข้ามาถึงนี่แล้ว จะไม่เข้าไปหรือ”
“อีกเดี๋ยวสิ่งที่เจ้าเห็นอาจจะ…”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยังไม่ทันพูดจบ ต้าไป๋ก็กระโดดเข้าไปก่อนแล้ว พอมันพุ่งเข้าไป เสี่ยวไป๋ก็กระโดดสองทีแล้วพุ่งเข้าไปบ้าง
เฉียวเวยดึงมือเยี่ยนเฟยเจวี๋ยออก เดินสบายๆ เข้าไปในหุบเขา สือชีก็ตามเข้าไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยร้อนใจจนกระทืบเท้า นี่เขาจะเข้าไปดีหรือไม่เข้าไปดี ไปก็แล้วกัน แต่ก็น่ากลัวเกินไป งั้นไม่ไปแล้วกัน แต่ให้สตรีบุกเข้าไปในหุบเขาคนเดียวก็ดูจะไม่ดีสักเท่าไร…
สุดท้ายเขากัดฟัน ไปก็แล้วกัน!
จีอู๋ซวงกับอี้เชียนอินก็กลั้นใจก้าวเข้าไปในหุบเขานั้นอีกครั้ง
แต่กระนั้นที่ทำให้ทุกคนแปลกใจก็คือ ครั้งนี้พวกเขาไม่เห็นอะไรที่ “ไม่น่าเห็น” เลยสักอย่างเดียว!
ทุกคนหันมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เฉียวเวยตามต้าไป๋เข้าไปในหุบเขา ลดไปเลี้ยวมาอยู่ประมาณเกือบครึ่งชั่วยามก็มาถึงอีกฝั่งหนึ่งของหุบเขา
เฉียวเวยปัดมือ “นี่ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่ ภูตผีปีศาจมีที่ไหนกัน”
“นี่…” ทุกคนอึ้งงัน
ต้าไป๋กระโดดไปมาด้วยความตื่นเต้น เสี่ยวไป๋ไม่รู้ว่ามันกำลังตื่นเต้นกับอะไร แต่ถึงอย่างไร ต้าไป๋ตื่นเต้นมันก็ตื่นเต้นด้วย เจ้าไป๋สองตัวเลยกระโดดเหยงๆ กันอยู่กับที่
เฉียวเวยมองภูเขาที่อยู่ตรงหน้า “พวกเราแบ่งกันออกเป็นสามทาง อี้เชียนอิน เจ้ากับจีอู๋ซวงไปด้วยกัน ลุงเยี่ยน ท่านกับพี่ไห่ไปด้วยกัน ข้ากับสือชีจะไปอีกทาง หลังจากนี้สองชั่วยาม ไม่ว่าจะหาเจอหรือไม่ ให้กลับมาพบกันที่นี่”
ทุกคนไม่มีความเห็นอะไรจึงเดินแยกกันไป
เฉียวเวยกับสือชีเดินเข้าไปจากทางเข้าทางใต้
ต้าไป๋ตื่นเต้นผิดปกติ กระโดดทีไกลไปสามฉื่อ มุดไปมุดมา ปีนขึ้นลงต้นไม้ ซ้ำยังโหนกิ่งไม้กระโดดไปข้างหน้า ท่าทางราวกับลิงก็ไม่ปาน!
เจ้าไป๋ทั้งสองดูราวกับเป็นลิง คว้าเถาวัลย์ห้อยโหนไปในป่า เล่นเอาลิงบนต้นไม้ตกใจจนกอดกันกลม
เฉียวเวยก็ตามหาอย่างไร้จุดหมาย เลยตามเจ้าไป๋ทั้งสองไปเสียเลย นางเดินอยู่ในป่าไปพักหนึ่ง จู่ๆ เสี่ยวไป๋ก็หยุดนิ่ง ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ขนาดสิบคนโอบ กรงเล็บน้อยๆ กรีดลงบนเปลือกไม้
เฉียวเวยเดินเข้าไป ต้นไม้ต้นนี้มีอะไรพิเศษหรือ
เสี่ยวไป๋ยังคงข่วนต่อไป ซ้ำยังใช้ปากกัดด้วย
เฉียวเวยเอามือลูบเปลือกไม้ก็ไม่เจออะไรพิเศษ เอาหูแนบเข้าไปฟัง ยังไม่ทันได้ยินอะไรก็ถูกสือชีใช้กระบี่ดันตัวออกมา
ภายในโพรงต้นไม้ ผีร้ายสามตนกำลังถอดเสื้อเล่นไพ่หม่าเตี้ยวกันอยู่ แต่แล้วจู่ๆ ก็เกิดเสียงดังกัมปนาทขึ้น พลังหอบหนึ่งที่รุนแรงประหนึ่งลมพายุพุ่งเข้าใส่หน้าพวกเขา ไพ่หม่าเตี้ยวบนโต๊ะถูกพัดกระจาย ไข่มุกราตรีที่อยู่เหนือศีรษะก็ถูกพัดจนหล่นลงมา ยันต์ที่แปะอยู่บนหน้าพวกเขาก็ปลิวว่อนไปทั่วห้อง
ทั้งสามล้มลงจากเก้าอี้ ใช้มือบังตาเอาไว้จนกระทั่งลมจากดาบหอบนั้นสงบลง ถึงได้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เพ่งมองไปภายในห้องก็เห็นสตรีในชุดสีฟ้าอ่อนกำลังเดินเอื่อยๆ เข้ามาในโพรงต้นไม้
การเห็นสตรีนางหนึ่งในสถานที่เช่นนี้ อันที่จริงนับว่าน่าตกใจมากทีเดียว
“ผี!” ผีร้ายสามตนร้องลั่น
เสียงนี่…ฟังดูคุ้นหูอยู่นะ
เฉียวเวยหรี่ตาแล้วเดินเข้าไปข้างใน พอยกไข่มุกราตรีในมือขึ้นส่อง “พวกเจ้าเองหรือ”
ผีทั้งสามก็เห็นเฉียวเวยชัดแล้วเช่นกันเลยนึกสบถด่าในใจ สตรีนางนั้นช่างสลัดไม่หลุดเสียจริง! ตามมาล้างแค้นถึงนี่เชียวหรือ!
แต่จะว่าไป นางคือคนไหนกันแน่นะ คนที่ถูกพวกเขาอัดจนหน้าเขียวจมูกบวม หรือคนที่อัดพวกเขาเสียจนหน้าเขียวจมูกบวม?
ทั้งสามตกใจจนพูดไม่ออก
เฉียวเวยดึงหูผีร้ายตนหนึ่งออกมาตะคอกเสียงเย็นว่า “เจ้าก็คือคนที่ยิงธนูใส่ลูกสาวข้า?”
ความทรงจำที่เฉียวเวยมีกับผีร้ายทั้งสามตนก็คือ ตนที่หนึ่ง โง่ ถูกบุตรสาวนางจับตัวได้ ตนที่สอง โง่ ถูกนางจับตัวได้ คนที่สาม เจ้าเล่ห์ ยิ่งธนูใส่บุตรสาวของนาง ซ้ำยังโยนระเบิดควันแล้วช่วยพวกของมันหนีไป
ช่วยพวกของมันหนีไป เฉียวเวยไม่ว่าอะไร แต่ยิงธนูใส่บุตรสาวนางนี้นางยอมไม่ได้!
พี่ใหญ่คิดไม่ถึงว่าสตรีจะโมโหร้ายเพียงนี้ หูเขาถูกบิดแทบจะหลุดอยู่แล้ว เขาเจ็บจนร้องโอ้ยๆ ไม่หยุด “ปล่อยมือๆๆๆ! ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว!”
เฉียวเวยเพิ่มแรงเข้าไปอีก “เวลานี้รู้จักเจ็บแล้วหรือ ตอนยิงธนูใส่ลูกสาวข้าไม่คิดบ้างเล่าว่าลูกสาวข้าจะเจ็บหรือไม่”
พี่ใหญ่เจ็บจนแทบจะสลบไปอยู่แล้ว “อ๊ากๆๆๆๆ! หูจะหลุดอยู่แล้ว! จะหลุดแล้ว! จะหลุดแล้วโว้ย!”
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเย็น “หลุดก็สมน้ำหน้าเจ้า! ใครใช้ให้เจ้าอยู่ดีไม่ว่าดีไปแต่งตัวเป็นฝีหลอกคนเล่า แล้วยังแอบเล่นงานลูกสาวข้าอีก! ข้าว่าพวกเจ้าสามคนคงไม่เสียดายชีวิตสินะ!” นางพูดพลางบิดหูเจ้ารองอีกคนหนึ่ง
เจ้ารองเจ็บจนตาลอยคว้าง “เจ้า… เจ้าๆๆๆ… เจ้าๆ… เจ้า…เจ้ากล้า?!”
เฉียวเวยยิ้มเย็น “คอยดูแล้วกันว่าข้ากล้าไม่กล้า สือชี!”
สือชีไม่ขยับ
“สือชี!”
ก็ยังไม่ขยับ
เฉียวเวยเกือบลืมไปแล้วว่าสือชีไม่มีปฏิกิริยากับคำสั่งของผู้อื่น นางเลยพูดว่า “วั่งซู!”
สือชีเลยขยับ เงื้อกระบี่เดินเข้ามา
ผีสามตนตกใจจนตัวสั่น
พวกเขาเป็นผีร้ายที่มีคุณธรรม จะแค่หลอกให้กลัวแต่ไม่สังหารใคร เหตุใดต้องมาถูกลงโทษเช่นนี้ เกินไปแล้ว หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรกพวกเขาคงไม่มาเป็นผี!
เจ้าสามร้องลั่น “อย่าใช้กระบี่ ข้ากลัวเลือด!”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ก็ได้ งั้นเอาผ้าขาวสามฉื่อให้เขา”
เจ้ารองโอดครวญ “แขวนคอผีอัปลักษณ์มากนะ!”
เฉียวเวยทำเสียงหึหึ “ยาพิษก็มี รับประกันว่าลงท้องไปเม็ดเดียวได้กลับบ้านเก่าแน่”
พี่ใหญ่เริ่มกลัว “ท้องไส้บิดเกรียวทรมานมากนะ!”
เฉียวเวยบิดมือหนักขึ้น “จะตายแล้วยังจะเรื่องมากอีก!”
“อ๊ากๆๆๆๆ—” เจ้าใหญ่ เจ้ารองร้องลั่น
“อ๊ากๆๆ—” เจ้าสามก็ร้องบ้าง
เจ้าใหญ่เจ้ารองหันมองเขา “เจ้าไม่เจ็บเสียหน่อยจะร้องไปไย!”
เฉียวเวยยิ้มเรียบๆ “ร้องไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่างไรก็ต้องฆ่า”
เจ้ารองพูดเสียงดังขึ้นว่า “พี่ใหญ่เป็นคนยิงธนู ไม่ใช่พวกเราเสียหน่อย! เหตุใดพวกเจ้าต้องฆ่าพวกเราด้วย”
เจ้าสามพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่แล้วๆ! ถ้าเจ้าอยากแก้แค้น เจ้าฆ่าเขาก็แล้วกัน!”
เจ้าใหญ่ถลึงตาโตหนักกว่าเดิม “ไอพวกดีแต่แก่ ข้ายิงธนูเพราะใครกัน ถ้าจะฆ่าก็ต้องฆ่าพวกไม่รู้จักบุญคุณอย่างพวกเจ้ามากกว่า!”
“ฆ่าเจ้าก่อน!”
“ฆ่าพวกเจ้าก่อน!”
“ฆ่าเจ้าก่อน!”
“ฆ่าพวกเจ้าก่อน!”
ระหว่างที่พวกเขากำลังโต้เถียงกันอยู่นั้น เงาดำเงาหนึ่งก็ลอยเข้ามา เงื้อมือขึ้นจะสับที่หัวไหล่ของเฉียวเวย สือชีพลันขยับตัว วาดกระบี่ไปปัดการโจมตีของเงาดำผู้นั้น
ผีร้ายสามตนพลันยินดี “อาต๋าเอ่อร์!”
อาต๋าเอ่อร์เริ่มประมือกับสือชี ทั้งสองสู้กันในโพรงจนออกไปนอกโพรง อาต๋าเอ่อร์ควักมีดสั้นออกมาจากเอว ประกายดาบเงากระบี่แผ่ไอสังหารไปท่ามกลางม่านหมอกยามราตรี
อาต๋าเอ่อร์ฝีมือเป็นรองไซน่าอิง แต่กระนั้นหนึ่งเดือนที่ไม่ได้พบกัน วรยุทธ์ของสือชีดูจะก้าวหน้าไปมากอย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นไม่เป็นรองอาต๋าเอ่อร์สักนิด
ทั้งสองสู้กันดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ แยกไม่ออกว่าใครแพ้ใครชนะ
แล้วจู่ๆ เงาสีน้ำตาลเงาหนึ่งก็พุ่งออกมาจากความมืด เจ้าของร่างนั้นควักขลุ่ยยาวลำหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วเอาขึ้นจรดริมฝีปาก “อาต๋าเอ่อร์ ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว!”
อาต๋าเอ่อร์พลันซวนเซ “อย่าได้—”
คำอื่นยังไม่ทันออกจากปาก ใต้เท้าเจ้าสำนักก็เป่าขลุ่ยทองคำขึ้นเสียแล้ว
มีดของอาต๋าเอ่อร์เกือบจะเสียบเข้าหน้าอกของสือชีอยู่แล้ว เห็นอยู่ว่าใกล้จะแทงถูกเต็มที แต่จู่ๆ ตัวเขากลับแข็งค้าง ตาเหลือก น้ำลายฟูมปาก ล้มลงกับพื้นทันที!
สือชี “…”
เฉียวเวย “…”
ผีร้ายสามตน “…”
คนที่จะแกล้งพวกเดียวกันได้เช่นนี้ไม่มีใครอีกแล้ว
เฉียวเวยจำใต้เท้าเจ้าสำนักได้ ครั้งก่อนที่ถามเขาว่าเขาเป็นอะไรกับตาแก่สามคนนี้ เขายังทำปากแข็ง หึ เวลานี้จับได้คาหนังคาเขาแล้วกระมัง
เฉียวเวยรีบเดินเข้าไปจะคว้าตัวใต้เท้าเจ้าสำนักเอาไว้
ใต้เท้าเจ้าสำนักเร้นกายหนีอย่างว่องไว หลบหลีกการจู่โจมของเฉียวเวยไปได้
สือชีกระโดดก้าวเดียวไปถึงตรงหน้าเขา ก่อนจะซัดฝ่ามือออกไปอย่างไร้ความเกรงใจ
กำลังภายในของสือชีกล้าแกร่ง หากโดนฝ่ามือนี้เข้าไปน่ากลัวว่าคงเอาชีวิตไม่รอด แต่กระนั้นที่ทำให้เฉียวเวยแปลกใจก็คือ สือชีถึงกับถูกกระแทกกระเด็นกลับมา ตัวเขากระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ด้านหลังจนใบไม้ร่วงกราว
ใต้เท้าเจ้าสำนักมีของเหลวคาวหวานกระอักขึ้นมาที่ลำคอ เขาเอามือจับหน้าอกแล้วกล้ำกลืนของเหลวนั้นลงไป
เฉียวเวยงุนงงอย่างหนัก ตนเคยประมือกับเขาสองครั้ง มั่นใจเป็นที่ยิ่งว่าเขาไม่มีวรยุทธ์ แต่เมื่อครู่เขากลับกระแทกสือชีจนกระเด็นออกมา
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
หรือว่า…เขาเป็นเช่นเดียวกับหมิงซิว มีกำลังภายในแต่ไม่อาจใช้การได้
สือชีตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย ตรงมุมปากมีหยาดเลือดไหลออกมา โชคดีที่อาต๋าเอ่อร์ล้มลงไปแล้ว ไม่อย่างนั้นครั้งนี้คงไม่แน่ว่าเฉียวเวยจะชนะ
สายตาของเฉียวเวยกวาดมองใต้เท้าเจ้าสำนัก คนผู้นี้อันตรายเกินไป ตนไม่จับเขาก็แล้วกัน จับตาแก่พวกนี้ไปแทน!
พอคิดได้เช่นนี้เฉียวเวยก็เดินกลับเข้าไปในโพรงต้นไม้ คว้าแขนตาแก่สองคนขึ้นมา ครั้งนี้ไม่ใช่เจ้าใหญ่ แต่เป็นเจ้ารองกับเจ้าสามแทน
พี่ใหญ่วิ่งเข้าไปหลบหลังใต้เท้าเจ้าสำนัก
เจ้าสองคนจะให้ข้าตาย เวลานี้ถูกจับบางแล้วสิ สมน้ำหน้า!
ในใจเจ้ารองแทบแตกสลาย เหตุใดต้องเป็นข้าทั้งสองครั้ง…
ใต้เท้าเจ้าสำนักเช็ดหยาดเลือดตรงมุมปากโดยไม่ทันให้ใครเห็น สายตาเจ้าเล่ห์เป็นประกายเย็นวาบ “เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่”
เฉียวเวยกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้ากับตาแก่สามคนนี้มีประเด็นส่วนตัวกันเล็กน้อย เดิมทีข้าอยากฆ่าพวกเขาอยู่แล้ว แต่เวลานี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าอยากเข้าป่าไปตามหาใครคนหนึ่ง คนที่ข้ากำลังตามหาน่าจะอยู่ไม่ไกลจากนี้ ในเมื่อพวกเจ้าพักอาศัยกันที่นี่ เชื่อว่าคงคุ้นเคยกับพื้นที่แห่งนี้เป็นอย่างดี ขอเพียงภายในหนึ่งชั่วยามพวกเจ้าตามหาคนที่ข้าต้องการตัวพบ ข้าก็จะปล่อยพวกเขาไป!”
“เจ้ากำลังขู่ข้า”
“เจ้าจะกล่าวเช่นนั้นก็ได้”
“หากข้าไม่ช่วยหาเล่า”
“เช่นนั้นข้าก็จะฆ่าพวกเขาเสีย!”
“เจ้าฆ่าเลย”
“ได้” เฉียวเวยคว้าขาผีร้ายตนหนึ่งขึ้นมา ผีร้ายตนนี้ก็คือเจ้าสาม เจ้าสามตกใจจนร้องให้จ้า “อี้อี้น้อยช่วยด้วย—”
จะแสดงก็ต้องแสดงให้สมจริง เฉียวเวยเป็นหมอ รู้ว่าทำอย่างไรถึงทำให้ดูเหมือนทรมานแทบขาดใจตาย ฝีไม้ลายมือของเฉียวเวยอยู่ในสายตาของใต้เท้าเจ้าสำนัก หน้าของเจ้าสามสีแดงคล้ำราวกับเลือดหมู ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นสีม่วง ลูกตาโปดปูน เนื้อตัวสั่นเทิ้ม แทบจะพร้อมขาดอากาศหายใจตายได้ทุกเมื่อ
มุมปากใต้เท้าเจ้าสำนักพลันกระตุก “เจ้าจะหาใคร!”
เฉียวเวยยกมุมปาก คลายมือออกแล้วหยิบภาพเหมือนภาพหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “ผู้สืบทอดตระกูลไซน่า ไซน่าอิง”
…
เฉียวเวยนั่งอยู่ในโพรงต้นไม้ ตรงหน้านางคือผีร้ายที่กำลังจ้องมาที่นางอย่างดุดัน แต่ผีร้ายทั้งหลายถูกจับมัดเอามือไพล่หลังไว้ นอกจากสายตาที่ถลึงมองเฉียวเวยแล้วก็ทำอย่างอื่นไม่ได้อีก
สือชีนั่งเดินกำลังภายในรักษาบาดแผลอยู่ ส่วนอาต๋าเอ่อร์นอนสลบอยู่ด้านข้าง
เฉียวเวยรออยู่เงียบๆ
พระจันทร์ลอยขึ้นเหนือศีรษะ
ใต้เท้าเจ้าสำนักนำพี่น้องกลุ่มหนึ่งเข้าไปในป่าลึก พวกเขาตามหาไปตลอดทางจนมาถึงแม่น้ำสายเล็กที่คดเคี้ยวสายหนึ่ง
ตัวแม่น้ำไม่ได้กว้างมากและไม่ลึกมากเช่นกัน
ฝีเท้าใต้เท้าเจ้าสำนักชะงักเล็กน้อยก่อนจะเดินลงน้ำไป
ลูกน้องคนหนึ่งขวางเขาไว้ “เจ้าสำนัก ท่านจะข้ามแม่น้ำหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่พูดอะไร แค่เพียงก้าวต่อลงไปในน้ำ
ลูกน้องรีบบอกว่า “ใต้เท้าเจ้าสำนัก ผู้คุ้มครองบอกว่า พวกเขาจะข้ามแดนไปไม่ได้!”
ถูกต้อง แม่น้ำเล็กๆ ที่ดูไม่มีอะไรพิเศษนี้ก็คือ “เขตแดนระหว่างสองฝ่าย” ฟากนี้ของแม่น้ำมี “ผีร้าย” อย่างพวกเขาพักอาศัยอยู่ ส่วนอีกฟากของแม่น้ำ… อีกฟากของแม่น้ำมีใครอยู่อันที่จริงพวกเขาไม่รู้ แต่สรุปก็คือการทำให้อีกฝ่ายโกรธย่อมไม่ใช่เรื่องดี
ในตอนนี้ เจ้าสำนักที่ดีควรบอกกับลูกน้องอย่างไร้ความเห็นแก่ตัวว่า – พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะข้ามไปเอง
ใต้เท้าเจ้าสำนัก: “พวกเจ้าล่วงหน้าไปเปิดทางให้ก่อน มีอันตรายอะไรก็บอกข้าด้วย”
ลูกน้อง ก. “…”
ลูกน้อง ข. “…”
ลูกน้อง ค. ง. และคนอื่นๆ “…”