ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 35 ค่ำคืนแห่งหิมะบนเรือโหลวฉวน (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

แน่นอนว่าเวลานี้ลู่ช่านยังมิได้รับข่าวจากกองทัพไหวซี เขาย่อมมิทราบว่าแผนการของตนเองสำเร็จแล้ว แต่เขาตัดสินใจมานานแล้ว มิว่าศึกทางฝั่งไหวซีจะเป็นเช่นไร วันนี้เขาก็จะเปิดศึกตัดสิน หากไหวซีชนะ ย่อมดีที่สุด หากไหวซีพ่ายแพ้ ถ้าเช่นนั้นตนเองก็สมควรเอาชัยชนะจากทางฝั่งไหวตงมาให้ได้เร็วที่สุด ยึดหยางโจวกลับมา ใช้มันปิดกั้นจิงโข่วกับเจี้ยนเย่ ส่วนจะรับมือกับศึกไหวซี ไหวตงอย่างไร เขาฝากฝังหยางซิ่วเอาไว้แล้ว หนนี้หยางซิ่วคอยคุมสถานการณ์ภาพรวมอยู่ในค่ายใหญ่เจียงเซี่ยตลอด

หมอกหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ จนยื่นมือออกมามองแทบมิเห็นนิ้วทั้งห้า ลู่ช่านถอนหายใจแผ่วเบา แล้วสั่งว่า “โจมตี”

พร้อมกับคำสั่งของลู่ช่าน กองเรือของหนานฉู่ก็จู่โจมฝั่งตรงข้าม ศึกสุดท้ายที่จะตัดสินแพ้ชนะการบุกลงใต้ของต้ายงในปีรัชศกหลงเซิ่งที่เจ็ดเปิดม่านขึ้นแล้ว

กวาโจว ภายในค่ายบนฝั่งของกองทัพต้ายง เผยอวิ๋นเข้านอนแล้ว แม้ค่ำคืนนี้หมอกหนาจะปกคลุมสายน้ำหนาว แต่กองทัพหนานฉู่ที่เอาแต่ป้องกันอยู่ฝั่งตรงข้ามตลอดหลายวันที่ผ่านมาทำให้เขาหย่อนยานลงเล็กน้อยอย่างช่วยมิได้ แม้จะให้พลทหารลาดตระเวนกลางคืนของกองทัพต้ายงใส่ใจความเคลื่อนไหวบนแม่น้ำอย่างละเอียดแล้ว แต่เผยอวิ๋นก็มิคิดว่าวันนี้กองทัพหนานฉู่จะยกพลใหญ่บุกโจมตี

ดังนั้นจนกระทั่งกองเรือหนานฉู่เข้ามาประชิดกองเรือของทัพต้ายงแล้ว เวรยามของกองทัพต้ายงถึงเพิ่งรู้สึกตัว ชั่วเวลาพริบตาเดียว เสียงกลองของกองเรือกับค่ายบนฝั่งก็ดังขึ้นพร้อมกัน กองทัพต้ายงฝึกฝนมาอย่างเป็นระเบียบ ทหารทั้งหลายต่างพากันออกจากระโจมมารับมือศัตรู หมอกหนาเข้าปกคลุม บนชายฝั่งเป็นสีขาวโพลนไปหมด ได้ยินเพียงเสียงตะโกนว่าฆ่าของกองทัพหนานฉู่ รวมถึงแสงเปลวเพลงลุกโชติช่วงจากการที่กองทัพหนานฉู่ใช้ธนูไฟยิงเข้ามาจุดไฟเผาตัวค่าย

เปลวเพลิงขับไล่ไอหมอกไปบางส่วน เวลานี้เผยอวิ๋นที่สวมชุดเกราะพร้อมรบออกคำสั่งให้กองทัพต้ายงทั้งหมดจุดคบเพลิง แม้แสงสว่างจากคบเพลิงจะกลายเป็นเป้าธนูที่ดีที่สุดให้แก่กองทัพหนานฉู่ แต่ด้วยมาตรการป้องกันของกองทัพต้ายงก็ยังทำให้กองทัพตั้งหลักได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก

ทั่วทั้งกวาโจวมีแสงไฟส่องสว่าง หมอกหนาบนชายฝั่งแม่น้ำถูกขับไล่ออกไปหกถึงเจ็ดส่วน แต่กลางแม่น้ำยังคงมีหมอกพร่ามัวปกคลุมดังเดิม กองทัพต้ายงกล่าวได้ว่าตกอยู่ในสภาพถูกไล่ต้อนโจมตี เผยอวิ๋นทำได้เพียงออกคำสั่งให้ป้องกันค่ายบนฝั่งและค่ายกองเรืออย่างแน่นหนา เขาออกคำสั่งให้พลทหารทั้งหมดใช้ธนูยิงสวนกลับไป ต่อสู้อย่างยากลำบากตั้งแต่เที่ยงคืนจวบจนฟ้าสาง กองทัพต้ายงจึงโจมตีกองทัพหนานฉู่ที่พยายามบุกยึดริมฝั่งหลายครั้งหลายหนให้ล่าถอยไปได้ ทว่ากองเรือเละเทะไปหมด เพลิงโทสะในใจเผยอวิ๋นลุกโชน

หลังจากฟ้าสาง หมอกหนาก็ค่อยๆ สลายหายไปจนมองเห็นเรือรบของกองทัพหนานฉู่ชัดเจน การมองเห็นหนนี้ยิ่งทำให้ในใจของเผยอวิ๋นตกตะลึง เขาเห็นเรือผอมเพรียวสองพันกว่าลำตั้งกระบวนทัพอยู่บนสายน้ำ พวกมันเคลื่อนไปมากลางแม่น้ำราวกับโบยบิน คล้ายกับว่าหมอกสลัวมิอาจขัดขวางการเคลื่อนไหวของพวกเขาได้แม้แต่นิด

เผยอวิ๋นตั้งสติ หายากที่กองทัพหนานฉู่จะยอมออกมารบ เผยอวิ๋นออกคำสั่งให้กองเรือต้ายงออกจากค่ายมารับมือศัตรู แน่นอนว่าเพราะกองเรือของต้ายงมีเพียงพันกว่าลำกับกำลังพลสองหมื่นคน ดังนั้นเผยอวิ๋นจึงออกคำสั่งให้ฝั่งของตนเองห้ามข้ามไปยังกลางแม่น้ำ ดีที่สุดให้ล่อกองเรือของหนานฉู่มายังริมฝั่งแม่น้ำ แล้วให้กองทหารต้ายงบนชายฝั่งใช้ธนูช่วยเหลือ

ชั่วขณะนั้น หมู่นาวาแล่นตัดฉวัดเฉวียน บ้างก็พุ่งชนกันกลางสายน้ำ กองทัพทั้งสองเปิดศึกกลางธาราอย่างดุเดือด หลายปีที่ผ่านมากองเรือของทัพต้ายงก็เคยทำศึกอันดุเดือดในแถบเจียงไหวอยู่บ้าง ฝีมือของพวกเขายอดเยี่ยมมิด้อยกว่ากองเรือหนานฉู่ แต่อย่างไรเสียกองเรือของหนานฉู่ก็แข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาคุ้นเคยกับการอยู่บนสายน้ำ สถานการณ์ของสงครามจึงเอนเอียงเข้าหาฝั่งหนานฉู่อย่างรวดเร็ว เผยอวิ๋นเห็นสถานการณ์จึงออกคำสั่งให้กองเรือฝั่งตนถอยกลับมายังตัวค่ายในแม่น้ำก่อนชั่วคราว เป็นดังคาด เมื่อมีกองทัพต้ายงบนฝั่งคอยคุกคามอยู่ กองเรือของหนานฉู่ก็มิบุกโจมตีต่อ แต่ถอยกลับไปฝั่งทิศใต้

หลังจากผ่านยามอู่ กองเรือหนานฉู่ที่กินอิ่มท้อง พักผ่อนฟื้นกำลังแล้วก็โจมตีอีกหน สงครามยืดเยื้อ กองเรือของหนานฉู่บุกตีกวาโจวมิแตก ฝ่ายกองเรือต้ายงก็มิอาจข้ามกลางแม่น้ำไปได้ เผยอวิ๋นยืนอยู่ริมน้ำ มองธงผืนใหญ่ของลู่ช่านที่โบกสะบัดกลางสายลมอยู่ตรงใจกลางแม่น้ำ ในใจพลันรู้สึกไม่สงบ

ถึงยามเว่ย สงครามบนผืนน้ำยิ่งโหดเหี้ยม กองเรือหนานฉู่ปล่อยเรือรบขนาดเล็กจำนวนมากลงมา เรือรบเหล่านั้นหัวเรือติดเหล็กกล้าเอาไว้ เมื่อชนเข้าหนหนึ่งก็ทำให้เรือรบของกองทัพต้ายงเสียหายอย่างหนัก เรือรบเล็กเหล่านี้ราวกับฝูงหมาป่าเข้าฉีกขย้ำเรือรบของกองทัพต้ายงภายใต้การคุ้มกันของเรือเหมิงชงกับเรือโต้วเจี้ยน ไม่นานก็มองเห็นเรือรบของทั้งสองกองทัพจมอยู่กลางแม่น้ำ พลทหารที่ตกน้ำแทบจะมิมีโอกาสได้รับความช่วยเหลือ เพราะลูกศรของกองทัพศัตรูพุ่งทะลุร่างกายพวกเขาอย่างไร้เมตตา น้ำในแม่น้ำอาบย้อมด้วยโลหิต เศษซากเรือรบไหลตามกระแสน้ำไปทางทิศตะวันออก

กองเรือต้ายงล้มเลิมความคิดที่จะรบชนะแล้ว พวกเขาเพียงป้องกันค่ายบนแม่น้ำอย่างแน่นหนา มิให้กองทัพหนานฉู่ทำลายค่ายเข้ามาได้ กองทัพหนานฉู่ที่อยู่หน้าค่ายบนแม่น้ำเองก็ทำอะไรมิค่อยได้ เพราะถึงแม้พลเดินเท้ากับทหารม้าของกองทัพต้ายงจะมิอาจสู้บนแม่น้ำ แต่การยิงธนูออกมาจากค่ายบนฝั่งยังทำได้อยู่ ตอนนี้การสู้รบคงได้แต่ยื้อกันไปมาเช่นนี้

เผยอวิ๋นถอนหายใจ แต่เดิมเขาก็มิคิดจะเอาชนะกองเรือของหนานฉู่ ผลลัพธ์เป็นเช่นนี้ก็มิเหนือไปจากความคาดคิดของเขา ขอเพียงกองเรือหนานฉู่มิอาจขึ้นฝั่งกวาโจวได้ ถ้าเช่นนั้นสถานการณ์ก็คงมิเปลี่ยนไปอย่างใด

ถึงปลายยามเซิน ดวงอาทิตย์อัสดงคล้ายโลหิต เมฆสีแดงก่ำแผ่ทั่วฟ้า สายลมหนาวเริ่มเย็นยะเยือกขึ้นกว่าก่อน กองทัพหนานฉู่กลับยิ่งสู้ยิ่งกล้าหาญ มิมีความคิดจะถอนทัพแม้แต่น้อย ใจเผยอวิ๋นวิตกกังวล ในตอนนี้เอง ลู่ช่านผู้อยู่บนเรือโหลวฉวนกลางแม่น้ำก็ได้รับสารส่งข่าวการศึกฉบับหนึ่ง ลู่ช่านปิดจดหมายลง ดวงตาทอประกายเจิดจ้า กล่าวเสียงดัง “ท่านทั้งหลาย ไหวซีได้ชัยชนะครั้งใหญ่ กองทัพเราทำลายกองทัพต้ายง สังหารไพร่พลไปเกือบสามหมื่น จับทหารต้ายงเป็นเชลยได้สี่พันคน สังหารต่งซานแม่ทัพของศัตรูต่อหน้ากองทัพ”

เหล่าทหารบนเรือโหลวฉวนฟังจบต่างก็โห่ร้องเสียงดังด้วยความยินดี เสียงก้องกังวานขึ้นเรื่อยๆ ข่าวนี้กระจายไปทั่วกองเรือของหนานฉู่ราวกับติดปีกบิน ทหารแทบทุกนายโห่ร้องด้วยความยินดีพร้อมพุ่งเข้าใส่ค่ายกองทัพเรือของทัพต้ายงอย่างมิขาดสาย ชัยชนะของฝั่งไหวซีปลุกกำลังใจให้พวกเขามิสนความเป็นความตาย

เสียงโห่ร้องดีอกดีใจของพวกเขาทำให้ทหารทัพต้ายงฉงนสนเท่ห์ในใจ แต่ก็ทำได้เพียงยืนหยัดต้านการโจมตีของกองทัพหนานฉู่เท่านั้น ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม เมฆสีแดงก่ำหนาทึบกว่าเดิมจนยากจะเห็นดวงอาทิตย์อัสดง โลกสลัวและอ้างว้าง กองทัพหนานฉู่ต่อสู้อย่างเหน็ดเหนื่อยมาหนึ่งวันแล้ว การบุกโจมตีจึงค่อยๆ อ่อนกำลังลง กองทัพต้ายงจิตใจฮึกเหิมขึ้นมา พวกเขาทราบว่าขอเพียงโต้กลับการบุกหนนี้ให้ถอยกลับไปได้ ศึกในวันนี้ก็น่าจะสิ้นสุดลงแล้ว

ไฉนเลยจะคาดคิดว่าเวลานี้เองในกองทัพหนานฉู่ก็มีเสียงโห่ร้องอย่างยินดีปรีดาดังขึ้นอีกหน ทหารต้ายงงุนงงยิ่งนัก พวกเขาชะเง้อมองรอบด้าน และแล้วก็พลทหารต้ายงคนหนึ่งก็ชี้ทางทิศตะวันตกแล้วตะโกนว่า “ศัตรูมีกองหนุน” ผู้ที่ได้ยินคำนี้ทุกคนต่างมองไปทางทิศตะวันตก จากนั้นจึงเห็นจุดที่ธาราและนภาบรรจบ มีเรือโหลวฉวนกับเรือเหมิงชงมากมายจนบดบังผืนน้ำกำลังมุ่งหน้ามาทางกวาโจว

ข่าวกองหนุนหนานฉู่มาถึงแพร่สะพัดไปรวดเร็วดุจสายลมหนาว แม่ทัพของกองทัพต้ายงมองไปจนสุดสายตา ยิ่งเรือเหล่านั้นเข้าใกล้ ก็ยิ่งมองเห็นใบหน้าของทหารหนานฉู่ที่ยืนอยู่บนนั้นชัดเจน เพียงแต่ผืนธงบนเรือถูกสายลมแรงพัดสะบัดพรึ่บพรั่บจนมองตัวอักษรด้านบนมิชัด ทว่าในใจเผยอวิ๋นรู้แล้ว นอกจากค่ายใหญ่เจียงเซี่ย หนานฉู่ไหนเลยจะมีกองเรือยิ่งใหญ่เช่นนี้อีก สู้หรือว่ามิสู้ ดวงตาของเผยอวิ๋นปรากฏแววตาเด็ดเดี่ยว เอ่ยเสียงดัง “เตรียมตัวรับศึก!”

ในตอนที่ม่านรัตติกาลใกล้จะทอดตัวลงมา ค่ายใหญ่เจียงเซี่ยก็เดินทางมาถึงกวาโจว เริ่มโหมโจมตีค่ายใหญ่ในแม่น้ำและบนบกของกองทัพต้ายง กองทัพใหม่ที่มาเข้าร่วมศึกทำให้โชคชะตาของกองทัพต้ายงจมดิ่งสู่ความมืดมิดของความไม่รู้ เวลานี้หิมะที่สั่งสมกำลังมาหนึ่งวัน ในที่สุดก็โปรยปรายลงมายังแม่น้ำกว้าง ค่ำคืนแห่งหิมะกับลำน้ำเหน็บหนาว เรือโหลวฉวนกับเรือเหมิงชง เพลิงสงครามและโลหิตสรรสร้างภาพวาดอันตระการตา

เมื่อลู่ช่านผู้ยืนอยู่บนเรือโหลวฉวนเห็นกองทัพต้ายงถอยร่นไปทีละน้อย ในที่สุดก็เผยรอยยิ้มปีติยินดี อดใจมิไหวมองสารแจ้งข่าวการศึกจากไหวซีในมือ ด้านหลังสารแจ้ง มีจดหมายส่วนตัวจากสือกวนหนึ่งฉบับ ด้านบนเขียนข้อความเอาไว้เช่นนี้

‘แม่ทัพน้อยนำพลทหารต่อสู้ในสนามรบอย่างกล้าหาญ ครองใจทหารและประชาชนไหวซี ร่วมมือกับซิ่วเอ๋อร์สังหารต่งซาน แม้จะอายุน้อยฮึกเหิมเกินไปจนเกือบพบเรื่องมิคาดฝัน ทว่าแม่ทัพใหญ่มีบุตรชายดุจมังกรดั่งพยัคฆ์ เป็นโชคดีของหนานฉู่ โชคดีของตระกูลลู่’

เดือนสิบเอ็ด วันที่ยี่สิบสอง ยามเช้าตรู่ ในที่สุดกองทัพต้ายงฝั่งไหวตงก็พ่ายแพ้ยับเยิน เผยอวิ๋นนำกำลังพลค่ายไป๋อีคอยสกัดท้ายทัพด้วยตนเอง กองทัพหนานฉู่ยึดหยางโจวกลับมาได้ ทว่าสถานการณ์ทางฝั่งไหวตงยังคงมิเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ความโหดร้ายทารุณของลั่วโหลวเจินในเขตไหวตงทำให้ประชาชนของไหวตงมิเชื่อถือหนานฉู่ ดังนั้นเผยอวิ๋นจึงถอยกลับมารักษาฉู่โจวและซื่อโจว

แม้เมืองอื่นจะถูกกองทัพหนานฉู่ยึดกลับไป แต่กองทัพต้ายงก็ยังคงยึดครองเมืองสำคัญอันเป็นด่านหน้าในการรุกคืบเข้าไหวตงเอาไว้อยู่ ส่วนหนานฉู่แม้ได้ชัยชนะครั้งใหญ่ถึงสองหน แต่กำลังทหารก็เสียหายไปมาก ดังนั้นลู่ช่านจึงได้แต่ทิ้งยอดแม่ทัพไว้พิทักษ์หยางโจวและดูแลก่วงหลิง เกิดเป็นสถานการณ์ที่สองกองทัพประจันหน้ากันอยู่ในไหวตง ส่วนฝั่งไหวซี แม้กองทัพหนานฉู่จะอาศัยโอกาสยึดจงหลีกลับมาได้ ทว่าชุยเจวี๋ยถอยกลับไปรักษาซู่โจว กองทัพไหวซีมีกำลังพลมิพอจึงมิอาจรุกคืบอีกก้าวเพื่อคุกคามสวีโจวได้

การบุกลงใต้ของต้ายงในรัชศกหลงเซิ่งปีที่เจ็ด สองฝ่ายต่างเสียไพร่พลมากกว่าหนึ่งแสนนาย พอฝืนกล่าวได้ว่าผลออกมาเสมอกัน หนานฉู่ชนะอย่างยับเยิน ต้ายงพ่ายแพ้อย่างยับเยิน เมืองสำคัญทางฝั่งไหวตงได้แก่ฉู่โจวกับซื่อโจวถูกยึดครอง เป็นข้อได้เปรียบของกองทัพต้ายง แต่เผยอวิ๋นถูกรั้งไว้กับศึกทางฝั่งไหวตง ฝ่ายกองทัพไหวซีของหนานฉู่พร้อมบุกซู่โจวกับสวีโจวที่ต้ายงควบคุมอยู่ได้ตลอดเวลา จุดนี้หนานฉู่เป็นฝ่ายได้เปรียบ

ศึกนี้ผู้ที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดก็คือลู่ช่านแม่ทัพใหญ่แห่งหนานฉู่ เขาแย่งอำนาจทหารทางฝั่งไหวตงกลับมาได้ ชัยชนะครั้งใหญ่ที่ไหวซีกับท่าเรือกวาโจวทำให้ชื่อเสียงของลู่ช่านเป็นดั่งดวงตะวันกลางฟากฟ้า นับจากนี้เป็นต้นไปกองทัพหนานฉู่จะเป็นหนึ่งเดียว เมื่อเวลาผ่านไปย่อมทำให้แถบเจียงไหวมั่นคงได้มิยาก ถึงยามนั้นต้ายงย่อมมิมีหวังจะบุกลงใต้อีกต่อไป ใต้หล้ากำลังจะชะงักอยู่ในสภาพแบ่งการปกครองเหนือใต้