บทที่ 1020 ความเย่อหยิ่งของผู้ถือกำเนิดมาเพื่อเป็นจักรพรรดิ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 1020 ความเย่อหยิ่งของผู้ถือกำเนิดมาเพื่อเป็นจักรพรรดิ

[หานเหยาเชื้อสายของท่านได้รับการชี้แนะจากจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่าน ทำความเข้าใจพลังวิเศษ]

[หานฮวงบุตรชายของท่านเข้าสู่โลกมหามรรคพ้นนิวรณ์]

[เทพมหาทัณฑ์สหายของท่านเข้าสู่โลกมหามรรคพ้นนิวรณ์]

[ชิงเทียนเสวียนจีสหายของท่านตระหนักรู้พลังวิเศษมหามรรค ดวงชะตาเพิ่มพูน]

[หานทั่วบุตรชายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]

[เจียงเจวี๋ยซื่อศิษย์ของท่านสรรค์สร้างพลังวิเศษ ร่างแยกนับพันล้านอวตารสู่สังสารวัฏ]

[ผานกู่สหายของท่านเข้าสู่โลกมหามรรคพ้นนิวรณ์]

….

โลกมหามรรคพ้นนิวรณ์หรือ

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว มหาเทวาพ้นนิวรณ์ถูกสะกดไว้แล้วมิใช่หรือ เหตุใดโลกมหามรรคยังปรากฏขึ้นอีกเล่า

ต้องมีแผนอยู่แน่นอน!

หลังจากสิ้นสุดงานชุมนุมฟ้าบุพกาล เทวาที่หนึ่งถูกเหล่าดวงจิตมหามรรคสะกดไว้ ส่วนโลกมหามรรคอวิชชาก็ถูกกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในฟ้าบุพกาลเข้ารุกราน ด้วยการพัฒนาบุกเบิกตลอดระยะเวลายี่สิบล้านปีที่ผ่านมา โลกมหามรรคอวิชชาถูกดวงชะตาฟ้าบุพกาลเข้าครอบงำแล้ว มีแนวโน้มสูงที่จะหลอมรวมเข้าด้วยกัน

หรือเจ้านวฟ้าบุพาลคิดจะฉวยโอกาสตอนที่ผู้สร้างมรรคาทั้งสองถูกสะกดไว้ผนวกรวมโลกมหามรรคของพวกเขาเข้ามา

เฮือก!

หากเป็นอย่างที่เขาคาดเดาจริงๆ เช่นนั้นเจ้านวฟ้าบุพกาลก็ร้ายกาจเกินไปแล้ว กลยุทธ์ถอนฟืนใต้เตาเช่นนี้อาจจะทำให้ตบะของผู้สร้างมรรคาทั้งสองลดฮวบตกระดับไป!

หานเจวี๋ยยิ่งไม่กล้าเปิดเผยโลกปฐมยุคออกมา เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกเจ้านวฟ้าบุพกาลหมายหัว

หานเจวี๋ยเองก็นึกสนใจในโลกมหามรรคพ้นนิวรณ์ยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้หานเจวี๋ยจึงสร้างร่างแยกขึ้นมาร่างหนึ่ง มุ่งหน้าไปสำรวจโลกมหามรรคพ้นนิวรณ์

ส่วนร่างจริงยังคงอยู่ภายในอาณาเขตเต๋าอย่างเหนียวแน่น

“ท่านพ่อ ท่านคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”

เสียงของหานหลิงแว่วขึ้นมา น้ำเสียงแฝงความตื่นเต้นเล็กน้อย

หานเจวี๋ยเหลือบมองนางแวบเดียวก็ทราบเจตนาของนางแล้ว เขาเอ่ยว่า “มาเถอะ”

สองพ่อลูกเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบ วินาทีต่อมาก็ลืมตาขึ้นแล้ว

หานหลิงถอนหายใจ

ยังคงไม่สำเร็จอยู่ดี

นางเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เอ่ยว่า “ท่านพ่อ ท่านยืนนิ่งๆ ให้ข้าโจมตีทดสอบพลังวิเศษของข้าหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”

หานเจวี๋ยจนใจนัก ทำได้เพียงยอมตกลง

ครึ่งชั่วยามต่อมา

การใช้งานแบบจำลองการทดสอบสิ้นสุดลง

หานหลิงกล่าวอย่างสะท้อนใจ “ท่านพ่อ ท่านเก่งกาจจริงๆ เจ้าค่ะ แม้กองทหารจักรพรรดินับหมื่นล้านของข้าจะตั้งค่ายกลแล้ว แค่ก็ยังไม่สามารถทำลายขีดจำกัดของอาภรณ์บนร่างท่านได้เลย”

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เหลวไหล พ่อเป็นบิดาของเจ้านะ”

หานหลิงเบะปาก เอ่ยไปว่า “ท่านพ่อ ท่านว่าหากข้าเข้าร่วมงานชุมนุมฟ้าบุพกาลด้วย จะได้ครองตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุคหรือไม่เจ้าคะ”

“โอ้ เจ้าอยากลองหรือ”

“ข้าทำนายพบว่าหานเย่และหานเหยาก็มุ่งมั่นจะเข้าร่วมเช่นกัน ดังนั้นจึงลังเลว่าจะลงสนามกับพวกเขาด้วยหรือไม่”

หานเจวี๋ยอดกลอกตาไม่ได้ นี่สินะสตรี

ก่อนหน้านี้เขาสังเกตเห็นว่าหานหลิงไม่ชอบใจหานเย่และหานเหยา แต่ไม่คิดเลยว่าสาวน้อยคนนี้จะไปสกัดดาวรุ่งในงานชุมนุมฟ้าบุพกาล

หานหลิงป้องปากยิ้ม เอ่ยไปว่า “ท่านพ่อ เย้าท่านเล่นหรอกเจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าท่านถนอมเด็กสองคนนี้ยิ่ง จะไปข่มพวกเขาได้อย่างไร”

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าก็นับว่าเป็นบรรพชนของพวกเขาเช่นกัน อย่าได้มองเป็นคนรุ่นเดียวกันเลย หากพวกเขาเติบใหญ่ก้าวหน้า อนาคตหากเจ้ามีปณิธานอันยิ่งใหญ่ พวกเขาก็สามารถเป็นกำลังเสริมให้เจ้าได้”

ดาวจักรพรรดิอนธการ ถือกำเนิดมาเพื่อเป็นจักรพรรดิ!

หานเจวี๋ยไม่มีทางถูกภาพลักษณ์ของหานหลิงหลอกเอาได้ สาวน้อยคนนี้ดูเหมือนจะเรียบร้อยว่าง่าย แต่ในใจยังคงแฝงเร้นความหยิ่งทะนงไว้เสมอมา

อันที่จริงความคิดของหานหลิงก็เดาได้ง่ายยิ่ง เพราะเหตุใดถึงเอาแต่ท้าหานเจวี๋ยสู้อยู่ตลอดน่ะหรือ ก็เพราะยึดหานเจวี๋ยเป็นบรรทัดฐาน ขอเพียงเอาชนะหานเจวี๋ยได้ นางก็ครองฟ้าบุพกาลได้

หานหลิงได้ฟังคำพูดหานเจวี๋ยก็อดเก็บมาคิดไม่ได้

หานเจวี๋ยเลื่อนจดหมายต่อไป จดหมายที่สะสมทับถมกันมาห้าล้านปีจะมีปริมาณมหาศาลปานใดเล่า ทุกฉบับล้วนบอกเล่าสถานการณ์ชีวิตคน บ้างก็ประสบโอกาสวาสนาบ้างก็เผชิญเคราะห์ร้าย

รอจนหานเจวี๋ยอ่านจดหมายเสร็จ หานหลิงก็ยังคงอยู่ในห้วงความคิด เขาจึงลุกขึ้นแล้วออกไปเยี่ยมบรรดาคู่บำเพ็ญของตน

หลายสิบปีต่อมา

ภายในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง เหล่าเทพมารฟ้าบุพกาลหลายสิบตนนั่งอยู่ตรงข้ามกับหานเจวี๋ย กำลังสนทนาธรรมอยู่

ผ่านมาเนิ่นนานปานนี้ เทพมารฟ้าบุพกาลทั้งหมดล้วนพิสูจน์มหามรรคกันแล้ว มีครึ่งหนึ่งที่บรรลุถึงยอดมหามรรคแล้ว ด้วยคุณสมบัติของเทพมารฟ้าบุพกาลประกอบกับพลังวิญญาณภายในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองจึงได้ผลลัพธ์ที่น่ากลัวเช่นนี้

มู่หรงฉี่เอ่ยขึ้นมา “อาจารย์ปู่ขอรับ ไม่นานมานี้ข้าบุกเบิกโลกขึ้นในส่วนลึกของวิญญาณ โลกใบนี้เชื่อมโยงกับตบะของข้า นี่เป็นเพราะเหตุใดหรือขอรับ”

ในงานชุมนุมฟ้าบุพกาลก่อนหน้านี้ เขาก็ได้พบเห็นพลังจากโลกมหามรรคแล้ว แข็งแกร่งมากจริงๆ แต่ตอนนั้นเขานึกว่าเป็นพลังวิเศษ จนกระทั่งฝึกบำเพ็ญจนบุกเบิกโลกของตนขึ้น ถึงได้เข้าใจว่านี่ก็คือระดับขั้นอย่างหนึ่ง

หานเจวี๋ยตอบว่า “หากคิดจะมุ่งหน้าสู่ระดับที่เหนือจากยอดมหามรรคขึ้นไป จำเป็นต้องบุกเบิกสร้างโลก พื้นที่ที่ใช้ต่อสู้ตัดสินของสิบยอดฟ้าบุพกาลก่อนหน้านี้ก็คือโลกมหามรรคอวิชชา เป็นโลกของตัวตนเหนือชั้นรายหนึ่ง”

ต้าซั่นเทียนหน้าเปลี่ยนสี ถามออกไป “กล่าวเช่นนี้ หรือว่าฟ้าบุพกาลก็คือ…”

หานเจวี๋ยพยักหน้ารับ

อยู่ภายในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองเขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกสอดส่อง

หานเจวี๋ยก็วางแผนจะใช้โอกาสนี้บอกเล่าถึงความมหัศจรรย์ของโลกมหามรรคต่อเหล่าศิษย์สืบทอดที่อยู่เบื้องหน้า ทุกคนที่นี่ล้วนเชื่อใจได้ ต่อให้คุณสมบัติเทพมารฟ้าบุพกาลจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่หากไร้ซึ่งเขาคอยชี้ทาง ถึงปิดด่านไปตลอดก็ไม่มีทางมาถึงจุดนี้

หานเจวี๋ยบอกเล่าถึงความเข้าใจที่ตนมีต่อโลกมหามรรคออกมา ทำให้เทพมารฟ้าบุพกาลหลายสิบตนตกอยู่ในความเงียบ

ผ่านไปนานพักใหญ่

อู้เต้าเจี้ยนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “นายท่าน เช่นนั้นโลกมหามรรคของท่านล่ะเจ้าคะ”

หานเจวี๋ยเพียงส่งยิ้มให้แต่ไม่ตอบ

ไก่คุกรัตติกาลแหวขึ้นมา “อย่าถามส่งเดช จะถามออกมาไม่ได้ คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน โลกมหามรรคอวิชชาแห่งนั้นกว้างใหญ่ไพศาลปานนั้นก็ยังถูกสะกดไว้ใต้ฟ้าบุพกาล แปลว่าผู้ครองฟ้าบุพกาลเป็นพวกใจแคบ หากถูกเขาจับได้ล่ะก็…”

เหล่าเทพมารหน้าถอดสี สีหน้าอู้เต้าเจี้ยนก็ซีดเผือดลงเช่นกัน

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “วันหน้าหากพวกเจ้าออกท่องฟ้าบุพกาลจะต้องระวังให้มาก ด้วยตบะระดับพวกเจ้าดูเหมือนจะอยู่เหนือสรรพสิ่งแล้ว แต่พวกเจ้าก็น่าจะสัมผัสได้ว่าฟ้าบุพกาลแห่งนี้แปลกแยกห่างเหินนัก ยิ่งยืนอยู่สูงเท่าไรก็ยิ่งมองเห็นได้กระจ่างมากเท่านั้น มีกฎเกณฑ์และการคงอยู่มากมายที่ไม่อาจจินตนาการถึงได้และเบื้องหลังของสิ่งที่ไม่อาจจินตนาการได้เหล่านี้ก็คือตัวตนเหนือชั้นที่อยู่ห่างชั้นจากพวกเราไปไกลยิ่ง”

เหล่าเทพมารพยักหน้ารับ

เทพมารขุนพลสวรรค์เอ่ยว่า “พวกเราจะไม่ออกไปขอรับ วันหน้าหากเบื่อหน่ายก็จะไปท่องโลกมหามรรคของกันและกันแทน ไม่มีทางนำความเดือดร้อนมาให้นายท่าน”

เทพมารตนอื่นๆ ก็เห็นด้วย ทำให้หานเจวี๋ยพอใจอย่างยิ่ง

หากต้องการฝึกบำเพ็ญสรรค์สร้างโลกมหามรรคขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องใช้เวลายาวนานอย่างยิ่ง

หลายปีต่อมา หานเจวี๋ยถึงได้กลับมายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม เตรียมฝึกบำเพ็ญต่อ

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงหงจวินที่อยู่ในจักรวาลโลกดาราขึ้นมา

เขาเพ่งสายตามองออกไป ภายในจักรวาลโลกดาราปราศจากเงาร่างของหงจวินแล้ว เหลืออยู่เพียงหลิวเป้ย

เขาเริ่มทำนายถึงหงจวิน พบว่าหลังจากหงจวินพิสูจน์เสรีสำเร็จก็จากไป ยามนี้กำลังเผยแพร่มรรคอยู่ในมุมหนึ่งของฟ้าบุพกาล เผยแพร่คติเต๋า

ดูเหมือนจะเตรียมการไว้สำหรับการกลับมาของบรรรพชนเต๋า

หานเจวี๋ยร้องจุ๊ๆ ออกมา บรรพชนเต๋าคิดจะทำอะไรกันแน่

ปัจจุบันนี้มรรคาสวรรค์สงบสุข ฟ้าบุพกาลร่มเย็น เหตุใดเขายังไม่ปรากฏตัวขึ้นมาอีก

ดูเหมือนบรรพชนก็บุกเบิกโลกมหามรรคของตนขึ้นแล้ว ซ้ำยังมีรากฐานแข็งแกร่งยิ่งจึงกลัวว่าเจ้านวฟ้าบุพกาลจะจับได้กระมัง

[ดวงจิตนพชาติต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]

แจ้งเตือนนี้พลันเด้งขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ย ทำให้หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

ดวงจิตนพชาติถูกเจ้านวฟ้าบุพกาลลงโทษให้ไปจุติในโลกมนุษย์สามัญมิใช่หรือ

เหตุใดถึงมาเข้าฝันได้

หรือว่าในช่วงยี่สิบล้านปีที่ผ่านมา คนผู้นี้จะไต่เต้ากลับมาได้แล้ว

หานเจวี๋ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เลือกยอมรับคำขอเข้าฝัน

แดนความฝันคือดินแดนเวิ้งว้าง หานเจวี๋ยมองเห็นดวงจิตนพชาติ มีแสงศักดิ์สิทธิ์ของกฎเกณฑ์สูงสุดปกคลุมทั่วร่าง

ศัตรูเก่าโคจรมาพบกัน ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในความเงียบงัน

ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงจิตนพชาติเอ่ยขึ้นว่า “เทพมารอนธการสมควรปรากฏตัวขึ้นได้แล้ว!”