บทที่ 1021 มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 1021 มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญ

“เทพมารอนธการหรือ อยู่ที่ใดเล่า”

หานเจวี๋ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาเริ่มใคร่ครวญแล้วว่าดวงจิตนพชาติจะมีแผนการใด

ดวงจิตนพชาติตอบว่า “ข้าก็ไม่ทราบ แต่เจ้าสามารถสร้างขึ้นมาสักคนได้ ผลักดันให้เกิดมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อให้ยุคสมัยอันไร้สิ้นสุดมาถึงในเร็ววัน”

หานเจวี๋ยขมวดคิ้วก่อนถาม “ยุคสมัยไร้สิ้นสุดคือสิ่งใด”

ดวงจิตนพชาติตอบว่า “เป็นยุคสมัยที่สามารถรองรับโลกมหามรรคต่างๆ ได้ ทำให้ฟ้าบุพกาลยกระดับกลายเป็นกว้างใหญ่ไร้สิ้นสุดอย่างแท้จริง เมื่อยุคสมัยนั้นมาถึง เจ้าก็สามารถยกระดับสู่ขั้นต่อไปได้ คิดว่าท่านพ่อก็คงเคยบอกเจ้าไปแล้ว ข้ามาหาเจ้าครั้งนี้ก็เพราะท่านพ่อเข้าสู่สภาวะปิดด่านไปแล้ว ข้าทำได้เพียงมาหาเจ้าแทน

“อดีตระหว่างเจ้าและข้าขอให้ลบเลือนไปเสียเถิด ข้าหวังเพียงว่ายุคสมัยไร้สิ้นสุดจะมาถึงในเร็ววัน เพื่อให้หลุดพ้นจากฐานะสิ่งมีชีวิตสามัญ”

หานเจวี๋ยหรี่ตาพลางเอ่ยถาม “เหตุใดถึงรีบร้อนขนาดนี้ นับตามอายุที่เจ้าคงอยู่มาก็ไม่น่าถึงขั้นนี้กระมัง”

ดวงจิตนพชาติกล่าวว่า “ข้าขอกล่าวตามตรง ถึงแม้ท่านพ่อจะสะกดตัวตนเหนือชั้นทั้งสองไว้ แต่นอกจากพวกเขาแล้วก็ยังมีอีกสองตัวตน หนึ่งในนั้นผู้โหดเหี้ยมกระหายเลือดใกล้จะฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว ทันทีที่ตื่นขึ้นมาเขาจะกวาดล้างสรรพสิ่งฟ้าบุพกาล ช่วยท่านพ่อควบคุมพัฒนาการของสรรพสิ่งฟ้าบุพกาล

“ถึงแม้ข้าจะเคยมีข้อพิพาทกับเจ้า แต่ดีร้ายอย่างไรข้าก็เฝ้ามองฟ้าบุพกาลวิวัฒนาการขึ้นมา ย่อมไม่อยากเห็นสรรพสิ่งฟ้าบุพกาลถูกล้างสังหาร หากเป็นในอดีตข้าคงอับจนหนทางจะทำสิ่งใดได้ แต่การปรากฏตัวของเจ้าทำให้ข้ามีความหวัง ท่านพ่อไว้หน้าเจ้าเป็นพิเศษ น่าจะวางใจให้เจ้ารับหน้าที่บุกเบิกยุคสมัยไร้สิ้นสุดได้ ขอเพียงยุคสมัยไร้สิ้นสุดมาถึง สรรพสิ่งฟ้าบุพกาลจะไม่ถูกกักขังไว้ในฟ้าบุพกาลอีกต่อไป ตัวตนเหนือชั้นกระหายการฆ่าฟันผู้นั้นก็ไม่มีทางดำเนินการกวาดล้างได้อีก”

หานเจวี๋ยถามด้วยความแปลกใจ “เหตุใดถึงไม่อาจกวาดล้างได้อีก”

ดวงจิตนพชาติเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อยุคสมัยไร้สิ้นสุดมาถึง โลกมหามรรคจะหลุดพ้น เขาก็ต้องยุ่งกับการดูแลโลกมหามรรคของตน ไหนเลยจะว่างมาใส่ใจฟ้าบุพกาลอีก”

“เช่นนั้นเหตุใดบิดาเจ้าถึงไม่สั่งห้ามเขากวาดล้างสรรพสิ่งฟ้าบุพกาลตรงๆ เล่า”

“เพราะเขากระทำการอย่างรู้หลักและไม่ล้ำเส้น สังหารเพียงตัวตนในระดับอริยะเท่านั้น ท่านพ่อไม่มีเวลามาสนใจเรื่องสะกดข่มผู้ทรงพลังฟ้าบุพกาล จึงยืมมือเขาได้พอดี”

วาจาของดวงจิตนพชาติเจือความเศร้าหมองไว้เล็กน้อย

หานเจวี๋ยขมวดคิ้วอีกครั้ง

หลังจากเจรจากับเจ้านวฟ้าบุพกาลไป เขาคิดว่าจะสามารถนั่งเป็นผู้ชมมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ได้ นั่งรอยุคสมัยไร้สิ้นสุดได้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีผู้สร้างมรรคาอีกรายปรากฏตัวขึ้นมา

ดวงจิตนพชาติเอ่ยว่า “ส่วนเรื่องราวเกี่ยวกับตัวตนนั้น ข้าพูดมากไม่ได้ มิเช่นนั้นจะถูกจับได้ เจ้าสามารถคัดเลือกสร้างเทพมารอนธการสักตนขึ้นมาโดยเร็ว ไม่จำเป็นต้องเป็นเทพมารอนธการตัวจริงก็ได้ ถึงอย่างไรเดิมทีเทพมารอนธการก็เป็นเพียงตำนานอยู่แล้ว ขอเพียงเจ้าขนานนามให้เขาเป็นเทพมารอนธการก็ใช้ได้แล้ว อีกอย่าง เด็กคนนี้จะต้องมีคุณสมบัติแข็งแกร่งถึงจะสามารถแบกรับดวงชะตาแห่งมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ได้

“ยุคสมัยไร้สิ้นสุด จำเป็นต้องมีเทพมารอนธการมารับช่วงสานต่อมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ ทำลายดินแดนเวิ้งว้าง เพราะความจริงแล้วดินแดนเวิ้งว้างก็คือกฎเกณฑ์ดั้งเดิมที่ผูกมัดฟ้าบุพกาลไว้”

พอเอ่ยจบดวงจิตนพชาติก็รีบสลายแดนความฝันลง

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ถามในใจ ‘เรื่องที่ดวงจิตนพชาติมาเข้าฝันบอกก่อนหน้านี้เป็นความจริงหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยห้าหมื่นล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[เป็นความจริง]

‘ผู้สร้างมรรคาที่ดวงจิตนพชาติกล่าวถึงคือผู้ใด’

[ตรวจสอบไม่พบบ่วงกรรมนี้ ไม่สามารถวิวัฒนาการได้]

‘ผู้สร้างมรรคาคนใดที่กระหายการฆ่าฟันและมักจะกวาดล้างสังหารตัวตนในระดับอริยะขึ้นไป’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองแสนล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

จุ๊ๆ!

แข็งแกร่งกว่ามหาเทวาพ้นนิวรณ์และเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลเสียอีก!

หานเจวี๋ยเลือกดำเนินการต่อ

ข้อความแถวหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

[มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญ: ผู้สร้างมรรคาระยะต้น ทวยเทพฟ้าบุพกาล ผู้สืบทอดฟ้าบุพกาลลำดับที่หนึ่ง ศิษย์สายตรงของเจ้านวฟ้าบุพกาล]

ยังคงเป็นผู้สร้างมรรคาระยะต้น ดูเหมือนเจ้านวฟ้าบุพกาลจะมีพลังสะกดข่มแรงกล้ายิ่ง ทำให้ผู้สร้างมรรคาทั้งสามไม่สามารถทะลวงขั้นต่อได้

คนผู้นี้เป็นศิษย์สายตรงของเจ้านวฟ้าบุพกาล ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดฟ้าบุพกาลลำดับที่หนึ่งด้วย มิน่าเล่าถึงมีอำนาจในการกวาดล้างฟ้าบุพกาล เมื่อเทียบกับดวงจิตนพชาติแล้ว ดูเหมือนเจ้านวฟ้าบุพกาลจะใกล้ชิดกับมหาเทวาผลาญเทวาไร้สิ้นสูญมากกว่า

หานเจวี๋ยเริ่มคิดเรื่องเทพมารอนธการ

หานฮวงคือเทพมารอนธการ จนใจที่มีผู้แข็งแกร่งเลิศล้ำปรากฏตัวขึ้นในยุคเดียวกันมากเกินไป ยกตัวอย่างเช่นเต้าจื้อจุน เจียงจวี๋ยซื่อที่ในอนาคตล้วนสำเร็จเป็นผู้สร้างมรรคาทั้งสิ้น ต้องทราบก่อนว่าเทพมารอนธการรุ่นก่อนไม่เคยบรรลุถึงระดับเทพผู้สร้างเลย ดังนั้นการที่เทพมารอนธการรุ่นเยาว์จะถูกบุตรแห่งสวรรค์ที่เลิศล้ำดั่งปีศาจเหล่านี้ไล่ตามทันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากจะเข้าใจได้

อันที่จริงหากว่ากันในแง่คุณสมบัติ หานฮวงเลิศล้ำเป็นหนึ่งแน่นอน แต่บุตรแห่งสวรรค์สิบยอดฟ้าบุพกาลที่เหลือก็ล้วนมีดวงชะตายิ่งใหญ่ทั้งสิ้น

หานเจวี๋ยนึกถึงเต้าจื้อจุนขึ้นมา เจ้าศักดามหามรรคในอนาคตมีคุณความดีจากการช่วยบุกเบิกยุคสมัยไร้สิ้นสุดถึงได้ถูกแต่งตั้งขนานนามเป็นเจ้าศักดามหามรรค

หรือจะให้เต้าจื้อจุนมาเป็น ‘เทพมารอนธการ’ ในครั้งนี้ดี

หานเจวี๋ยคิดว่าใช้ได้เลย เช่นนี้ก็สามารถปกป้องหานฮวงไว้ได้แล้ว

หานฮวงเถรตรงเกินไป มีประสบการณ์ไม่โชกโชนเท่าเต้าจื้อจุน หากว่าหานฮวงเป็นผู้กระตุ้นมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ เกรงว่าจะถูกคนหลอกใช้เอาได้

ช่างเถอะ ตอนนี้ยังไม่รีบ

‘ข้าอยากรู้ว่าเหลือเวลาอีกเพียงใดกว่ามหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญจะหวนคืนฟ้าบุพกาล’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองแสนล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[เหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งพันเก้าร้อยล้านปี]

นานขนาดนี้เชียว!

เช่นนั้นจะรีบร้อนไปไยเล่า!

หานเจวี๋ยกลอกตา โยนเรื่องนี้ออกจากหัวไป

ไม่นานนักเขาก็เข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญ

….

ท้องนภาสีชาด ท้องสมุทรกว้างใหญ่มีระลอกคลื่นซัดสาด โครงกระดูกใหญ่มหึมาสารพัดลอยผลุบๆ โผล่ๆ อยู่บนผิวสมุทร

เจดีย์โบราณใหญ่มโหฬารองค์หนึ่งพลันลอยดิ่งลงมา เต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวน เจียงอี้ เหล่าตานและหานเย่ยืนอยู่บนเจดีย์

หานเย่สะพายธนูปฐมเทพทลายโลกาไว้บนหลัง กวาดตามองไปทั่วฟ้าดิน

เขาถามด้วยความสงสัย “ที่นี่คือที่ใด”

จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ที่นี่คือโลกมหามรรคพ้นนิวรณ์ที่ช่วงนี้กำลังมีชื่อเสียงเลื่องลือในฟ้าบุพกาล กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตเช่นเดียวกับฟ้าบุพกาล เพียงแต่ถูกฟ้าบุพกาลสะกดไว้ ทำให้ที่นี่เปลี่ยวร้างอย่างยิ่ง”

หานเย่ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นมา “ในเมื่อเปลี่ยวร้างแล้วมาที่นี่ทำไม”

เจียงอี้เอ่ยด้วยความหงุดหงิด “เพียงขาดสิ่งมีชีวิตจึงเปลี่ยวร้าง แต่ในเมื่อเทียบได้กับฟ้าบุพกาล อีกทั้งมีมหามรรคสามพันวิถีรวมถึงกฎเกณฑ์สูงสุดเหมือนกัน พวกเราย่อมมาเพื่อช่วงชิงกฎเกณฑ์อย่างไรเล่า”

เหล่าตานลูบเคราพูด “ถูกต้อง ในอดีตฟ้าบุพกาลมีเพียงมหามรรคสามพันวิถีและเจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุด ก่อนที่อริยะสวรรค์เกรียงไกรจะผงาดขึ้นมา อริยะมหามรรคมีเพียงร้อยกว่าคนก็นับว่ามากพอดูแล้ว แต่เมื่อผ่านยุคสมัยของบุตรแห่งสวรรค์ไปหลายครั้งเข้า อริยะมหามรรคก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มหามรรคในฟ้าบุพกาลเริ่มไม่พอใช้แล้ว เทพมหาทัณฑ์ไม่อนุญาตให้ครอบครองมหามรรคทั้งหมดไว้เป็นการส่วนตัว ด้วยเหตุนี้เหล่าผู้ทรงพลังจึงหมายตาไปยังโลกมหามรรคอีกสองแห่งแทน”

หลังจากหานเย่ได้ฟังก็แค่นเสียงเอ่ยว่า “พลังของตัวเองต่างหากถึงจะเป็นของจริง อาศัยหยิบยืมพลังจากมหามรรคจะไขว้เขวพลาดท่าเอาได้ง่ายๆ”

เหล่าตานมองเขาพลางเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าช่างมีวิสัยทัศน์ยาวไกลโดยแท้ ในอดีตเจ้าชะตาหวงจุนเทียนก็เคยพลาดท่าเพราะเหตุนี้ จึงพลาดตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุคไป”

สีหน้าเต้าจื้อจุนไม่น่ามองขึ้นมาแล้ว

จ้าวเซวียนหยวนมองทะลุจิตใจเขา จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสีย “รีบลงมือเถอะ ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ราชันฟ้าบุพกาลอุดรทิศมาถึงก่อนแล้ว โจมตีผู้ทรงพลังมากมายจนล่าถอยไป คาดว่าคนผู้นี้คงไม่ได้หมายปองมหามรรค แต่ต้องการอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค!”

เจียงอี้พยักหน้ารับ ควบคุมเจดีย์โบราณให้ลอยมุ่งหน้าไป

จู่ๆ ธนูปฐมเทพทลายโลกาที่อยู่บนหลังของหานเย่ก็สั่นขึ้นมา ทำให้เขาขมวดคิ้ว

เหล่าตานมองธนูปฐมเทพทลายโลกา เอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนสมบัติวิเศษชิ้นนี้จะมีญาณหยั่งรู้ได้เช่นกัน ด้านหน้ามีศึกใหญ่อยู่”

เต้าจื้อจุนลุกขึ้นมา เสื้อคลุมไหวสะบัด เอ่ยด้วยท่าทางหยิ่งทะนง “ข้าไม่ได้เผชิญหน้ากับศัตรูมานานมากแล้ว”