บทที่ 1022 อำนาจแห่งดาวจักรพรรดิ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 1022 อำนาจแห่งดาวจักรพรรดิ

กาลเวลาผันผ่านไป

ผ่านมากว่าสองล้านปีแล้ว

[ตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุครบสี่สิบล้านปีบริบูรณ์แล้ว ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง ออกจากปิดด่านทันที บุกเบิกโลกปฐมยุคขึ้นในฟ้าบุพกาล จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน]

[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ หลีกห่างข้อพิพาท จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน]

[ท่านได้รับโอกาสใช้งานสวรรค์ประทานโชคหนึ่งครั้ง]

หานเจวี๋ยเลือกตัวเลือกที่สอง

หนนี้ระบบกลับมาเท่าเทียมยิ่ง ของรางวัลสองทางเลือกเหมือนกันทุกอย่าง

ตอนนี้เขามีชิ้นส่วนมหามรรครวมทั้งหมดแปดชิ้น ชิ้นส่วนอนธการมีหกชิ้น ศิลาก่อวิญญาณอีกห้าก้อน

ในอดีตที่ผ่านมาศิลาก่อวิญญาณล้วนถูกนำมาใช้ก่อกำเนิดเทพมารฟ้าบุพกาล ยามนี้เทพมารฟ้าบุพกาลก่อกำเนิดขึ้นตามธรรมชาติได้แล้ว เขาจึงเก็บศิลาเอาไว้

ศิลาก่อวิญญาณสามารถเปลี่ยนตัวตนต่างๆ ให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตได้ หานเจวี๋ยคิดว่าอาจจะมีประโยชน์ในภายภาคหน้า

ส่วนสวรรค์ประทานโชค เขาไม่ได้นำมาใช้ในทันที

ไม่จำเป็นต้องรีบใช้ตอนนี้

เขาเริ่มสอดส่องฟ้าบุพกาล ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ หานเย่และหานเหยาต่างเติบใหญ่ผงาดขึ้นมาแล้ว โดยเฉพาะหานเหยา กลายเป็นแม่ทัพเสาหลักคนใหม่ของวังสวรรค์ไปแล้ว ชื่อเสียงเลิศล้ำยิ่ง ถึงขั้นมีเสียงร่ำลือว่าเขายอดเยี่ยมกว่าแม่ทัพเทพหานฮวงในกาลก่อนด้วยซ้ำ!

ดาวพิชิตสวรรค์ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งแข็งแกร่ง หากมองกันในแง่ของการรบทัพจับศึก หานเหยาเก่งกาจกว่าหานฮวงในกาลก่อนจริงๆ ประเด็นคือหานฮวงในยามนั้นไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับสงครามรูปแบบใดก็ล้วนบุกตะลุยกวาดล้างไปทั้งสิ้น ต่างไปจากหานเหยาที่มีเพลี่ยงพล้ำบ้างประปราย แต่ก็อาศัยพลังของตนพลิกกลับมาเอาชนะได้ ดังนั้นชื่อเสียงด้านความกล้าหาญจึงกระฉ่อนยิ่งกว่า

หานเจวี๋ยพอใจกับผลงานของหานเหยามาก เด็กคนนี้สมกับที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากตนมานับหมื่นปี พัฒนาคุณสมบัติพิเศษของดาวพิชิตสวรรค์จนปรากฏออกมาเต็มที่

หานเย่เองก็เช่นกัน ติดสอยห้อยตามพวกเต้าจื้อจุนทั้งสี่ ตะลุยกวาดล้างสิ่งมีชีวิตเปี่ยมแรงกรรมไปทั่วสารทิศ ตบะของเขาไม่ด้อยไปกว่าหานเหยาเลย ถึงขั้นแกร่งกว่าเล็กน้อยด้วย

ต้องกล่าวเลยว่า พวกเต้าจื้อจุนทั้งสี่มีดวงชะตาหายนะอยู่นิดหน่อยจริงๆ ไปที่ไหนก็มีเรื่องที่นั่น ตอนนี้กลุ่มสร้างเรื่องสี่คนกลายเป็นกลุ่มสร้างเรื่องห้าคนแล้ว แต่เรื่องที่ต่างไปจากในอดีตคือพวกเขาแทบไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกเลย ดูเหมือนจะเปลี่ยนสถานะไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

หานเจวี๋ยมองหานหลิงที่อยู่ด้านข้าง ตบะมีความก้าวหน้าอยู่ตลอด จู่ๆ เขาก็เกิดความคาดหวังตั้งตารอที่หานหลิงผงาดสู่โลกาขึ้นมา

เพียงแต่หากหานหลิงต้องเผยตัวสู่โลกหล้า หานเจวี๋ยก็จะทำให้ยุคสมัยไร้สิ้นสุดมาถึงเสียก่อน มิเช่นนั้นสาวน้อยคนนี้จะถูกสะกดเอาได้ง่ายๆ

เพียงแต่ยุคสมัยไร้สิ้นสุดจำเป็นต้องพึ่งพาการพิสูจน์เทพผู้สร้างของเจ้านวฟ้าบุพกาล ทั้งยังต้องพึ่งพาเทพมารอนธการให้ทำลายล้างดินแดนเวิ้งว้างด้วย แต่ตอนนี้ยังไม่อาจทราบได้

หานหลิงรับรู้ได้ถึงสายตาของหานเจวี๋ย อดลืมตาขึ้นมาถามไม่ได้ “ท่านพ่อ มีอะไรหรือเจ้าคะ”

หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “พ่อกำลังคิดว่ายามเจ้าเผยตัวสู่โลกาจะสร้างความสั่นสะเทือนเช่นไรขึ้น”

หานหลิงยิ้มเล็กน้อย “ท่านพ่อพูดอะไรกันเจ้าคะ ต่อให้ข้าออกไปก็ไม่มีทางสร้างความสั่นสะเทือนอันใด ข้ามิใช่คนประเภทนั้น”

หานเจวี๋ยเพียงยิ้มให้ไม่ได้เอ่ยเปิดโปง

สองพ่อลูกคุยกันอยู่พักหนึ่งก็ต่างคนต่างฝึกบำเพ็ญต่อไป

หานเจวี๋ยฉุกคิดขึ้นมาได้ เอ่ยถามในใจว่า ‘ข้าอยากรู้ว่าสถานการณ์ในช่วงที่หานหลิงบุตรสาวของข้ารุ่งโรจน์ที่สุดเป็นอย่างไร’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยพันล้านล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

หวา…

ค่าตัวเท่าเจ้านวฟ้าบุพกาล!

เลิศล้ำถึงเพียงนี้เชียว!

ดำเนินการต่อ ดำเนินการต่อ!

หานเจวี๋ยข่มความตื่นเต้นไว้ จิตรับรู้เข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขามาโผล่ในดินแดนเวิ้งว้าง สิ่งที่ต่างไปจากโลกความจริงคือดินแดนเวิ้งว้างในอนาคตมีจักรวาลนับไม่ถ้วนล่องลอยอยู่ ภายในห้วงอวกาศมืดมิดทุกแห่งหนมีดวงดาวนับไม่ถ้วนหรือไม่ก็โลกมหามรรคกว้างใหญ่ไพศาลเรียงซ้อนกระจุกรวมกันอยู่

หานเจวี๋ยทอดสายตามองออกไป อารมณ์เบิกบานขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว!

ยุคสมัยไร้สิ้นสุด!

บรรยากาศทรงพลังกว่าฟ้าบุพกาลและกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่า!

หลังจากพิสูจน์ยอดหามรรคสำเร็จ ฟ้าบุพกาลในมุมมองของหานเจวี๋ยก็เสมือนกรงขัง

ไม่นานนัก เงาร่างใหญ่มโหฬารที่ยิ่งใหญ่ทรงอำนาจร่างหนึ่งร่อนลงมา รอบกายนางแผ่แสงเจิดจ้าบาดตา มีโลกมหามรรคเจ็ดใบตั้งอยู่บนเท้าตามร่างกายรวมไปถึงยอดศีรษะ แม้แต่หานเจวี๋ยก็ยังต้องแหงนคอมองนางเช่นกัน

หานหลิงหรือ

หานเจวี๋ยนึกถึงเทวีตราวินัยขึ้นมาอย่างน่าประหลาด นี่เสมือนเทวีตราวินัยฉบับปรับปรุงสมบูรณ์แบบ

หานหลิงดูเหมือนจะลอยอยู่ในห้วงอวกาศ สองมือประสานอยู่ตรงหน้าท้อง สวมชุดเกราะเทพสีเงินไว้ ชายกระโปรงท่อนล่างคล้ายสายรุ้งกระเพื่อมไหว เรือนผมยาวสยายยาวลงมาจากกวานครอบผม แผ่พลิ้วเหมือนธารน้ำตก โลกมหามรรคเจ็ดใบที่อยู่รอบกายขับเน้นให้นางดูสูงส่งเลิศล้ำ เป็นหนึ่งไร้เทียมทาน

อริยะศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิด ทรงอำนาจอย่างยิ่ง!

ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ได้ยลบารมีของดาวจักรพรรดิอนธการแล้ว

ทันใดนั้นเขาสังเกตเห็นว่ามีเงาร่างสองร่างอยู่ด้านหน้าของหานหลิง สูงใหญ่หลายร้อยล้านจั้ง ทรงอำนาจเช่นกัน แต่พออยู่ต่อหน้าหานหลิงแล้วดูราวกับหินกรวดที่ตีนเขา เล็กกระจ้อยร่อยยิ่ง

หานเย่ หานเหยา!

หานเย่สวมเกราะสีดำ หานเหยาสวมเกราะสีเงิน หนึ่งขาวหนึ่งดำ ดูราวกับหยินหยางสองขั้ว

‘จุ๊ๆ สาวน้อยคนนี้เชื่อฟังข้านัก รับตัวเด็กสองคนนี้ไว้จริงๆ’

หานเจวี๋ยหัวเราะอยู่ในใจ พอใจในทัศนคติของหานหลิงยิ่ง อย่างน้อยลูกสาวคนนี้ก็เชื่อฟังว่าง่าย

เขาค่อนข้างกังวลจริงๆ ว่าหานหลิงจะริษยาพวกหานเย่หานเหยา ไม่ยอมรับพวกเขา ถึงขั้นอาจกลายเป็นน้ำกับไฟไม่อาจเข้ากันได้

ยิ่งหานเจวี๋ยมองเด็กทั้งสามก็ยิ่งรู้สึกเพลินตา

ดาวจักรพรรดิ ดาวสังหาร ดาวพิชิต!

การจัดสรรจากสวรรค์!

ไม่ทราบเช่นกันว่าทั้งสามกำลังมุ่งหน้าไปที่ใด

จู่ๆ หานหลิงก็หยุดนิ่ง ยกมือขวาขึ้นมา ค่อยๆ กำเข้าหากัน วินาทีนั้นพื้นที่ของดินแดนเวิ้งว้างเหนือยอดศีรษะของหานเจวี๋ยพลันปริแยก

หานเจวี๋ยเงยหน้ามองขึ้นไป ในรอยแยกมิตินั้นคือโลกมหามรรคแห่งหนึ่ง มีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนเฝ้าอยู่ตามตะเข็บรอยแยก พร้อมบุกออกมาตลอดเวลา

“อำนาจของเผ่ามารหมดสิ้นลงแล้ว ทว่าพวกเจ้ากลับคิดจะก่อความวุ่นวายไม่รู้จบ วันนี้พวกเจ้าจะต้องสูญเสียแม้แต่สถานที่กบดานแห่งสุดท้ายไป

“ดาวพิชิตสวรรค์ สุดยอดดาวสังหาร อยู่ที่ใด”

น้ำเสียงหานหลิงเฉยชาทว่าทรงอำนาจ

“อยู่ขอรับ!”

หานเย่และหานเหยาระเบิดเสียงขานรับพร้อมกัน ทำให้รอยแยกมิติที่อยู่เหนือยอดศีรษะของหานเจวี๋ยขยับไหวรุนแรง ปริอ้ากว้างยิ่งขึ้น

ภาพลวงตาวิวัฒนาการสิ้นสุดลงตรงนี้

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น รู้สึกยังไม่ค่อยหนำใจพอ

อายุขัยพันล้านล้านล้านปีไม่ค่อยคุ้มราคาเลย

เขายังอยากเห็นว่าฉากต่อไปจะเป็นเช่นไร

แต่ถึงแม้ภาพลวงตาวิวัฒนาการครั้งนี้จะสั้น แต่กลับเผยข้อมูลออกมามากมาย

ดูเหมือนหานหลิงจะกุมอำนาจปราบปรามในยุคสมัยไร้สิ้นสุดไว้ คาดว่าหากต้องการกวาดล้างโลกมหามรรคก็คงทำได้กระมัง

จุ๊ๆ ไม่รู้เลยว่านั่นคือช่วงเวลาในอีกกี่ยุคสมัยนับจากนี้ถึงได้มีโลกมหามรรคมากมายปานนั้น

หานเจวี๋ยรู้สึกร้อนรนใจขึ้นมา

เขากำลังพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น คนอื่นก็พัฒนาความแข็งแกร่งอยู่เช่นกัน

ยามนี้มีผู้สร้างมรรคาเพียงห้าคน แต่ในอนาคตกลับไม่แน่นอนแล้ว

คงมิใช่ว่าเจ้านวฟ้าบุพกาลผู้นั้นพิสูจน์เทพผู้สร้างสำเร็จจริงๆ กระมัง

หานเจวี๋ยใจเต้นแรงขึ้นมา

ไม่ได้การแล้ว!

ต้องรีบเร่งบำเพ็ญแข่งกับเวลา หากจะให้ตบะของเขาไล่ตามเจ้านวฟ้าบุพกาลได้ทันก็ต้องใช้เวลานานมากเช่นกัน

หานเจวี๋ยหลับตาลง เริ่มฝึกบำเพ็ญ

….

มรรคาสวรรค์ ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม วังอริยะหาน

หานชิงเอ๋อร์เอ่ยยิ้มๆ “น้องห้า ผ่านมานานขนาดนี้แล้วเจ้ายังพิสูจน์มหามรรคไม่ได้อีก ค่อนข้างทำให้ตระกูลหานเราขายหน้าเสียแล้ว”

ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานก็คือหานอวิ๋นจิ่นบุตรชายของลี่เหยา

เมื่อเผชิญหน้ากับคำเหน็บแนมของพี่สาว หานอวิ๋นจิ่นได้แต่กล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ข้าไม่มีพรสวรรค์เช่นพวกพี่ๆ ย่อมไม่อาจพิสูจน์มหามรรคได้ แต่หานเหยาทายาทรุ่นหลังของข้ากลับไม่ได้ทำให้ตระกูลหานต้องเสียหน้าเลย”

เจียงเจวี๋ยซื่อที่นั่งตรงข้ามกับหานชิงเอ๋อร์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หานเหยายอดเยี่ยมจริงๆ มีพรสวรรค์เหมือนศิษย์น้องฮวง ฝ่าบาทจักรพรรดิสวรรค์ชมชอบเขายิ่ง”

หานชิงเอ๋อร์ถลึงตาใส่เจียงเจวี๋ยซื่อแวบหนึ่ง เจียงเจวี๋ยซื่อหัวเราะออกมาอย่างจนใจ ไม่ได้พูดอะไรมากอีก

หานอวิ๋นจิ่นถามด้วยความสงสัย “ว่าแต่พี่หญิงสามกับศิษย์พี่เจียงมาด้วยเรื่องใดหรือ”