ตอนที่ 251-2 ท่านแม่เฉียวมาแล้ว

เสียงทะเลาะบนแท่นบวงสรวงยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากประมุขตระกูลปี้หลัวกัดฟันเอาแต่พูดว่ามีคนล่วงเกินองค์เทพ ประมุขตระกูลไซน่าก็เปิดปากบ้าง “ประมุขตระกูลปี้หลัว เจ้าหมายความว่าอย่างไร อยู่ดีๆ จะมีผู้ใดล่วงเกินองค์เทพ เจ้าไม่สู้พูดออกมาให้ชัดเจน เจ้าสงสัยผู้ใดกันแน่ อย่าบอกเชียวว่าเจ้ากำลังสงสัยเหอจั๋ว คุณงามความดีของเหอจั๋วทุกคนต่างประจักษ์อยู่กับตา เขาเป็นเหอจั๋วผู้ได้รับความรักจากผู้คนบนเกาะนิรนามมากที่สุด ชั่วชีวิตนี้ของเขาไม่เคยทำผิดประการใดทั้งสิ้น องค์เทพจะลงโทษเขาได้อย่างไร”

ประมุขตระกูลปี้หลัวตะเบ็งเสียงดังขึ้นอีก “เขาไม่เคยทำความผิดจริงหรือ เจ้าไม่ลองคิดดูหน่อยว่าพักนี้เหอจั๋วทำอะไรลงไป”

เรื่องใหญ่ที่เหอจั๋วทำในช่วงนี้ ไม่มีสิ่งใดนอกจากการรับจั๋วหม่าน้อยกลับมายังเผ่า ตระกูลเฮ่อหลันมีผู้สืบทอดต่อแล้ว นี่เป็นเรื่องน่ายินดีที่ชาวเผ่าทั่วเกาะร่วมเฉลิมฉลอง จะทำให้องค์เทพลงโทษได้อย่างไรเล่า

เฉียวเวยหัวเราะหยัน “ประมุขตระกูลปี้หลัวคนนี้ยังไม่ตัดใจอีก อุตส่าห์พิสูจน์ไปแล้วว่าคนที่เขาพากลับมาเป็นจั๋วหม่าน้อยตัวปลอมก็ยังโง่เขลาไม่เลิก เขากล้ำกลืนโทสะไม่ลงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”

“จั๋วหม่าน้อย ท่านพูดอะไร” นางกำนัลชิงเหยียนฟังไม่ชัด

เฉียวเวยตอบเรียบๆ “ไม่มีอะไร มีคนทนเห็นข้าอยู่ดีไม่ได้จึงหาสารพัดวิธีมาขัดขวางข้า ประมุขตระกูลปี้หลัวกลายเป็นหอกให้ผู้อื่นใช้ แต่ดันคิดไปเองว่าองค์เทพกำลังช่วยระบายโทสะแทนเขา”

นางกำนัลชิงเหยียนอึ้งเล็กน้อย จั๋วหม่าน้อยหมายความว่าอุบัติเหตุในวันนี้เป็นสิ่งที่คนสร้างขึ้นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร ผู้ใดจะเล่นตุกติกใต้หนังตาของผู้อาวุโสทั้งหลายได้

เฉียวเวยเปรยขึ้นมาเท่านี้ก็หยุดแล้วไม่พูดสิ่งใดเพิ่มอีก

บนแท่นบวงสรวง ประมุขตระกูลไซน่าตวาดเกรี้ยวกราด “เจ้าจะบอกว่าจั๋วหม่าน้อยล่วงเกินองค์เทพหรือ จั๋วหม่าน้อยเพิ่งกลับมานานเท่าใด นางไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น จะจุดโทสะให้องค์เทพได้อย่างไร แล้วเจ้าอย่าได้ลืม จั๋วหม่าน้อยเป็นผู้ที่หามรดกของโหราจารย์กลับมาได้ เรื่องนี้ตัวมันเองย่อมหมายถึงการปกปักษ์คุ้มครองจากองค์เทพ องค์เทพเพิ่งจะคุ้มครองคนผู้หนึ่ง อยู่ดีๆ จะเปลี่ยนมาลงโทษคนผู้นั้นได้อย่างไร”

ประมุขตระกูลปี้หลัวไม่ถูกเขาจูงจมูกแม้แต่น้อย เถียงกลับมาว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะอธิบายเรื่องในวันนี้ว่าอย่างไร ธิดาเทพสนับสนุนตระกูลเฮ่อหลันมาตลอด มีแต่คนตระกูลเฮ่อหลันทำผิดคุณธรรมเท่านั้น นางจึงจะถูกลงโทษ!”

ประมุขตระกูลไซน่าโกรธจัดทันที “จั๋วหม่าน้อยไม่เคยทำเรื่องผิดคุณธรรม!”

ตระกูลไซน่าเป็นผู้ตามหาจั๋วหม่าน้อยกลับมา หากนางมีเรื่องผิดคุณธรรม ตระกูลไซน่าที่ตามตัวผู้ที่เคยกระทำผิดคุณธรรมผู้นี้กลับมาจะกลายเป็นอะไรเล่า

ประมุขตระกูลปี้หลัวแค่นเสียงหยัน มองไปทางสาวกรอบแท่นบวงสรวงแล้วเอ่ยขึ้นว่า “สตรีนางนั้นแต่เดิมก็ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของคนเผ่าถ่าน่า บิดาของนางเป็นคนต่างเผ่า ในตัวนางมีเลือดคนต่างเผ่าอยู่ครึ่งหนึ่ง ยามนี้นางมีสามีคนหนึ่งก็เป็นคนนอกเผ่าเหมือนกัน! ลูกที่นางให้กำเนิดมีสายเลือดเผ่าถ่าน่าเพียงหนึ่งในสี่! พวกเราจะฝากเผ่าถ่าน่าไว้ในมือของคนนอกโขยงหนึ่งหรือ องค์เทพส่งสัญญาณบอกพวกเราแล้ว หากพวกเราไม่จัดการทันท่วงที สิ่งที่รอคอยพวกเราอยู่ก็คือหายนะของคนทั้งเผ่า!”

“หายนะของคนทั้งเผ่าหรือ” รอบแท่นบวงสรวงมีคนหวาดกลัวแล้ว

“ไม่เอาจั๋วหม่าน้อย!”

“ไม่เอาคนนอกเผ่า!”

“ไล่จั๋วหม่าน้อยออกไป!”

“ใช่! ไล่ออกไป!”

“ไล่ออกไป!”

“ไล่ออกไป! ไล่ออกไป! ไล่ออกไป! ไล่ออกไป!”

เหอจั๋วโกรธจนใบหน้ากลายเป็นสีม่วง ความโมโหจุกอกจนหายใจไม่ทัน เขาไอแรงเหมือนปอดจะหลุดออกมาจากคอ

ผู้อาวุโสใหญ่สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “เหอจั๋ว! ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

ผู้อาวุโสห้าตะโกน “โธ่! พวกเจ้าเลิกโวยวายได้แล้ว! เรื่องนี้เหอจั๋วย่อมตัดสินใจเอง!”

แต่น่าเสียดาย นี่ไม่ใช่การทะเลาะกันระหว่างประมุขตระกูลไซน่ากับประมุขตระกูลปี้หลัวแล้ว สาวกทั้งหลายถูกความหวาดหวั่นอันรุนแรงผลักดันให้สูญเสียสติปัญญา พวกเขาพุ่งเข้าไปในห้องโถงที่เฉียวเวยอยู่อย่างบ้าคลั่ง

“พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้! กลับมาให้หมด!” ผู้อาวุโสห้าตะโกนเสียงดัง ทว่าเสียงของเขาถูกคำว่า “ไล่ออกไป” ที่ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่ากลบจนไม่ได้ยิน

สาวกทั้งหลายถลาเข้ามาหน้าห้องโถง

นางกำนัลชิงเหยียนเห็นท่าไม่ดีก็โถมมากอดเฉียวเวยไว้ ไข่เน่าฟองหนึ่งกระทบบนศีรษะของนางกำนัลชิงเหยียน

เฉียวเวยโมโหแล้ว นางดึงนางกำนัลชิงเหยียนหลบแล้วพุ่งออกไปคว้าเจ้าคนที่ปาไขเน่าคนนั้นเหวี่ยงลงพื้นอย่างแรง!

“จั๋วหม่าน้อยทำร้ายคน!”

มีคนตะโกนเสียงดัง

“ไล่ออกไป!”

“ไล่ออกไป!”

“ไล่ออกไป!”

เฉียวเวยตกเป็นเป้าของทุกคน

บนหอสูงทางฝั่งตะวันออก พวกจีหมิงซิวสังเกตเห็นความผิดปกติที่แท่นบวงสรวงแล้ว แต่เดิมพวกเขาเลือกจุดที่มองเห็นได้กว้าง เพราะต้องการจะดูขั้นตอนของพิธีบวงสรวงทั้งหมด ได้เห็นเฉียวเวยเข้าพิธีรับขวัญจากธิดาเทพกลายเป็นจั๋วหม่าน้อยแห่งเผ่าถ่าน่าด้วยตาตนเอง ไหนเลยจะคิดว่า…กลับมาเห็นภาพที่น่าปวดใจเช่นนี้

ใบหน้าน้อยอันหล่อเหลาของจิ่งอวิ๋นยับย่นกลายเป็นก้อน เขาทั้งปวดใจทั้งโกรธแค้นยามมองดูกลุ่มคนที่ก่อจลาจลเหล่านั้น กำปั้นน้อยค่อยๆ กำเข้าหากันจนแน่น ความทรงจำอันไม่น่าจดจำเหล่านั้นในอดีตทะลักเข้ามาในสมอง ท่านแม่ถูกคนทั้งหมู่บ้านปล่อยให้เดียวดาย ถูกทุกคนข่มเหงรังแก…เดิมทีคิดว่าคงจะไม่มีวันเป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว แต่เหตุใด…เหตุใดยังมีคนมากมายถึงขนาดนี้รังแกท่านแม่อีก

วั่งซูไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เห็นคนมากมายปานนั้นล้อมเข้ามาหาท่านแม่ นางก็รู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก “ท่านพ่อ พวกเขากำลังจะทำอะไร เหตุใดต้องทะเลาะกับท่านแม่ด้วย”

จีหมิงซิวลูบศีรษะลูกๆ แล้วให้เฉียวเจิงพาลูกๆ เข้าไปในห้องด้านข้าง

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตาโตอ้าปากค้างมองบรรดาสาวกที่อยู่ด้านล่าง “นี่มันอะไรกัน”

อี้เชียนอินโพล่งขึ้นมาอย่างขัดใจ “คนกลุ่มนี้บ้าไปแล้วใช่หรือไม่ เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคก็ถูกยุจนกลายเป็นเช่นนี้! คนที่เลือกจั๋วหม่าน้อยก็คือพวกเขา ตอนนี้คนที่ขับไล่จั๋วหม่าน้อยก็เป็นพวกเขาอีก!”

ไข่เน่าอีกฟองหนึ่งปาเข้าใส่เฉียวเวย อี้เชียนอินซัดฝ่ามือออกไปจนไข่ไก่แหลกละเอียด

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ชักอาวุธลับออกมาโจมตีไข่ไก่แต่ละฟองจนแหลกกระจุยบ้าง

แต่ไข่ไก่มากเกินไปแล้วจริงๆ ทั้งใบผัก ก้อนหิน รองเท้า ทุกสิ่งพุ่งเข้ามาทักทายเฉียวเวยอย่างไม่คิดชีวิต

จีหมิงซิวแววตาเย็นยะเยือกก้าวลงมาจากหอ!

เฉียวเวยถูกคนล้อมโจมตี ก้อนหินและไข่ไก่นับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาใส่ นางปัดร่วงไปหนึ่งก็ยังมีมาอีกหนึ่ง จีหมิงซิวเบียดเข้าไปในฝูงชนที่โกรธเกรี้ยว เขาผลักคนขวางอยู่ด้านหน้า มือก็ขยับแย่งก้อนหินจากมือของอีกฝ่าย เพียงชั่วครู่ที่คนเหล่านั้นตกตะลึง จีหมิงซิวก็เบียดจนมาถึงด้านหลังของเฉียวเวยได้สำเร็จ เขาใช้ผ้าคลุมห่อทั้งร่างของเฉียวเวยเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ไข่เน่าฟองหนึ่งกระแทกบนใบหน้าของเขาแตกดัง โพล๊ะ!

แววตาของเฉียวเวยวูบไหว “หมิงซิว!”

ในตอนที่สาวกทั้งหลายเกือบจะรื้อห้องโถงทั้งห้องออกมาแล้วนั่นเอง จู่ๆ เสียงที่ดังพร้อมกันเป็นระเบียบก็ดังมาจากไม่ไกล

ตึง!

ตึง!

ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!…

เสียงคล้ายโลหะหนักอึ้งกระแทกลงบนพื้นหินเขียวอันเย็นเฉียบ เสียงที่ดังขึ้นแต่ละหนกระแทกหัวใจของคนทั้งหลายให้อ่อนยวบ ทุกคนสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนใต้ฝ่าเท้า พอก้มหน้าลงมองก็เห็นก้อนกรวดกระเด้งลอยขึ้นมา

เสียงฝีเท้าเคลื่อนเข้ามาใกล้ ไอสังหารเย็นยะเยือกแผ่มาในอากาศอย่างน่าประหลาด

ดวงตะวันคล้ายถูกไอสังหารนี้ข่มจนเสียขวัญ หลบเร้นไปซ่อนกายหลังหมู่เมฆด้วยความขลาดกลัว

ท้องฟ้าฉับพลันมืดสลัว สายลมแรงหอบฝุ่นทรายปลิวฟุ้ง ก้อนหินกระเด็นกระดอน ทุกคนใช้แขนกันใบหน้าไว้ไม่ให้ฝุ่นทรายปลิวเข้าดวงตา ทว่าพวกเขาก็ยังหันไปมองที่มาของเสียงอย่างบังคับตัวเองไม่ได้ แล้วพวกเขาก็เห็นกลุ่มองครักษ์ดำทะมึนกลุ่มหนึ่ง สวมชุดเกราะสีดำสนิท มือถือคันธนูเล่มใหญ่สีดำดูราวกับอสูร พวกเขาเดินขบวนเข้ามาหาแท่นบวงสรวง จากนั้นก็ล้อมแท่นบวงสรวงเอาไว้ คนทั้งหมดถูกล้อมไว้ด้านใน องครักษ์นับร้อยง้างคันธนูอันเย็นยะเยือก เล็งไปยังกลุ่มคนที่โหวกเหวกโวยวายอยู่

ไอสังหารเข้มข้นห้อมล้อมแท่นบวงสรวงเอาไว้อย่างสมบูรณ์ แท่นบวงสรวงเงียบกริบในบัดดล

ทหารม้าเหล็กที่สวมเกราะสีดำแบบเดียวกันสองแถวควบอาชาเข้ามาท่าทางดุร้าย อาชาร่างกำยำสวมเกราะสีดำและสวมหมวกเกราะสีดำเช่นกัน ดูน่าเกรงขามจนเหลือจะกล่าว

ทหารม้าเหล็กแถวหนึ่งแปรขบวนออกเป็นแถวหน้ากระดานหน้าโถงตำหนักที่เฉียวเวยอยู่ หอกยาวในมือเล็งไปยังสาวกที่ก่อความวุ่นวาย สาวกกลุ่มนั้นที่ตั้งใจจะปาไข่ใส่เฉียวเวยกลัวจนแข้งขาอ่อนในพริบตา

ทหารม้าเหล็กอีกแถวหนึ่งตั้งกระบวนทัพหน้าแท่นบวงสรวง จากนั้นทุกคนก็หันมาทางด้านนี้

กุบกับ กุบกับ กุบกับ….

เสียงกีบเท้าม้าอันสง่างามและหยิ่งทะนงดังลอยมา ทหารม้าเหล็กเบื้องหน้าแท่นบวงสรวงแหวกออกสองฝั่ง เปิดทางเส้นหนึ่ง

อาชาร่างกำยำเยาะย่างมาเบื้องหน้าผู้คนอย่างเชื่องช้า มันเชิดหัวอันเย่อหยิ่งมองผู้คนที่แท่นบวงสรวงอย่างหยิ่งยโสประหนึ่งจักรพรรดิผู้เย็นชา

คนที่อยู่บนหลังม้าสวมเสื้อคลุมที่เนื้อผ้าด้านนอกสีดำ ด้านในสีแดง หมวกของเสื้อคลุมบดบังใบหน้ากว่าครึ่งของนางไว้ เผยออกมาเพียงริมฝีปากแดงอันงดงามไร้ที่ติชวนให้คนตะลึง ริมฝีปากแดงนั่นยกโค้งขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าการกระทำที่ดูเหมือนไม่ใส่ใจนี้กลับทำให้ลมหายใจของคนทั้งหมดหยุดชะงัก

นางยกมือที่มีนิ้วมือเรียวยาวดุจลำต้นของต้นหอมขึ้นมา เป่าลมหายใจใส่เล็บที่เพิ่งทาสีเสร็จเบาๆ แล้วพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ได้ยินว่า มีคนจะขับไล่ลูกสาวของข้าหรือ”