ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 45 เงาเลือนรางของคนในอดีต (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ชายหนุ่มผู้นี้อายุราวยี่สิบแปดถึงยี่สิบเก้าปี เขาเป็นบัณฑิตหนุ่มผู้สวมอาภรณ์สีเขียวที่ถูกซักจนซีดขาว ตรงเอวห้อยขลุ่ยไม้ไผ่เลาหนึ่ง สภาพดูค่อนข้างยากจนขัดสน แต่หน้าตาของเขากลับหล่อเหลาสง่างาม ท่าทางสูงส่ง คล้ายกับว่ามิสนใจชีวิตอันยากแค้นสักนิด

ในมือชายหนุ่มผู้นี้กำลังเล่นพัดเล่มหนึ่งอยู่ตลอด พัดหมุนไปมา เดี๋ยวกางเดี๋ยวหุบ เผยภาพหญิงงามบนตัวพัดออกมาวับๆ แวมๆ พัดเล่มนี้งดงามล้ำค่า ขัดกับภาพลักษณ์ยากจนของเขาอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น ภาพหญิงงามเย้ายวนกับสีหน้าเยือกเย็นของเขาก็มิเข้ากันอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่ประหลาดก็คือความมิเข้ากันต่างๆ นานาเหล่านี้กลับแลดูเข้ากันอย่างน่าประหลาด ทำให้ชายหนุ่มผู้นี้ยิ่งแลดูโดดเด่นมิเหมือนผู้ใด

ชายหนุ่มผู้นั้นดื่มสุราอีกหลายจอกแล้วครวญเพลงเสียงเบา “สุบินเศร้าศศิธรเยื้องยอดเขา แสงโคมเหงาส่องผนังม่านบัญชร เรือนใหญ่หอน้อยเคยถิ่นสายสมร ครุ่นคิดสิ่งใดอาจเทียบโฉมบังอร หนึ่งกิ่งเหมยกลางหิมะวสันต์ เรือนกายหอมปานหมอกอรุณ[1]”

เสียงของเขาแหบต่ำ ทว่ากลับขับขานบทเพลงนี้ออกมาได้เป็นท่วงทำนองไพเราะ เปี่ยมอารมณ์ ภายในเหลาสุราแห่งนี้แต่เดิมก็มีแขกเหรื่ออยู่เต็มร้าน เมื่อเสียงเพลงของเขาดังขึ้น ลูกค้าทั้งหมดก็เงียบ เสียงของเขามิดังมาก แต่ทุกคนล้วนได้ยินกระจ่างชัด พวกเขาต่างเงี่ยหูฟัง มีบางคนปรบมือเบาๆ ตามทำนองเพลง เพิ่งร้องถึงวรรคที่สอง เสียงขลุ่ยใสเพราะพริ้งชวนให้อารมณ์หวั่นไหวก็ดังขึ้นในเหลาสุรา เสียงขลุ่ยคลอเสียงขับขานยิ่งทำให้ผู้คนลุ่มหลงเมามาย

เพลงร้องจบแล้ว ทว่าเสียงขลุ่ยกลับยังมิหยุด ในเหลาสุราพลันมีเสียงใสกระจ่างของสตรีนางหนึ่งขับร้องบทเพลงขึ้นมา สตรีนางนั้นขับขานบทเพลงที่ชายหนุ่มร้องอีกหนึ่งรอบ แม้ใช้ท่วงทำนองและถ้อยคำเดียวกัน แต่รายละเอียดกลับเปลี่ยนแปลงไปมาก อีกทั้งเสียงเพลงของสตรีนางนั้นโศกซึ้งตราตรึง ถ่ายทอดความนัยของถ้อยคำเหล่านั้นออกมาได้อย่างถึงแก่น ทำให้ผู้คนในเหลาสุราตกอยู่ในภวังค์ลืมสิ้นวันนี้คือวันใด

ชายหนุ่มผู้นั้นปรือตาลงเบาๆ ดื่มด่ำกับเสียงเพลงอันงดงาม ผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงเพลงจางหาย เสียงฝีเท้าแผ่วเบาหยุดอยู่หน้าประตูห้อง เขาลืมตาทั้งสองข้างแล้วถอนหายใจ “จะต้องเป็นแม่นางหรูเมิ่งมาเยือนด้วยตนเองเป็นแน่ เฮ้อ เสียงเพลงกับการร่ายรำของแม่นางต่อให้มีพันตำลึงทองก็ยากจะซื้อ วันนี้กลับมาแสดงบทเพลงในเหลาสุราเล็กๆ แห่งนี้ หากคุณชายเสเพลในเจี้ยนเย่รู้เข้าจักต้องตีอกชกหัว ถอนหายใจมิเลิกแน่นอน”

ม่านไม้ไผ่เลิกเปิด หญิงสาวผู้สวมผ้าคลุมสีแดงบุขนเพียงพอนนางหนึ่งเดินชดช้อยเข้ามา ด้านหลังนางคือหญิงรับใช้อาภรณ์เขียวนางหนึ่งกับบุรุษฉกรรจ์ท่าทางดุดันห้าวหาญอีกหนึ่งคน หลังจากสตรีนางนี้ก้าวเข้ามาในห้องส่วนตัวแล้ว หญิงรับใช้อาภรณ์เขียวนางนั้นก็ช่วยนางถอดผ้าคลุมขนเพียงพอนออก

เรือนร่างนางเพรียวระหง กระโปรงยาวสีขาวพิสุทธิ์ไร้ลวดลายยาวจดพื้นคล้ายดอกบัวขาวแย้มกลีบอย่างเงียบงัน สตรีนางนี้อายุราวยี่สิบต้นๆ รูปโฉมงดงามเกลี้ยงเกลา ยังมิต้องพูดถึงผิวขาวผุดผ่องเป็นยองใย คิ้วเรียวโก่งดุจกิ่งหลิว เพียงดวงตาใสกระจ่างสุกสกาวคู่นั้นขยับไปมาก็งดงามตราตรึง นางก้าวเข้ามาคำนับอย่างชดช้อย “ผู้น้อยหลิ่วหรูเมิ่ง คารวะซ่งอวี๋บัณฑิตซ่ง”

ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มละไม ลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “แม่นางหลิ่วแห่งเรือหรูเมิ่ง ความสามารถในการขับร้องระบำและความเที่ยงธรรมเลื่องลือทั่วเจียงหนาน ผู้แซ่ซ่งเป็นเพียงคนพเนจรตกยากคนหนึ่ง จะรับการคารวะจากแม่นางได้เช่นไร” แต่ความหยิ่งทะนงบนใบหน้าของเขากลับมิลดทอน มิมีความรู้สึกด้อยค่าตนเองแม้แต่นิด

สตรีนางนั้นถอนหายใจแผ่วเบา ใบหน้าเผยสีหน้ากลัดกลุ้มจางๆ ดวงตาสุกใสทอดสายตาหนหนึ่งยิ่งทำให้รู้สึกทุกข์ระทมหม่นไหม้ นางตอบเสียงเบา “ผู้น้อยใช้เสียงและเรือนร่างสร้างความบันเทิงแก่ผู้คนบนแม่น้ำฉินไหว แต่ถูกคนกีดกันข่มเหงอยู่เสมอ หนนี้กองทัพใหญ่ของหนานฉู่ขับไล่กองทัพต้ายงให้ล่าถอยสำเร็จ หอคณิกาและเรือเริงรมย์ทั้งหมดบนแม่น้ำฉินไหวจึงประชุมกันว่าวันหยวนเซียวจะจัดงานประชันยอดบุปผาบนทะเลสาบเสวียนอู่ คัดเลือกสามอันดับเป็นที่หนึ่ง ที่สองและที่สาม

นับจากวันนี้เป็นต้นไป มีเพียงสามคนนี้เท่านั้นที่เรียกขานว่ายอดบุปผาได้ ก่อนหน้านี้ทุกคนเพียงสรรหาพรรคพวกของตนเองมา มีคนเชิดชูมากเข้าก็ถูกสหายร่วมอาชีพยกย่องเป็นยอดบุปผาได้แล้ว แต่หนนี้กลับมิเหมือนก่อนหน้า พี่น้องทุกคนล้วนต้องแสดงฝีมือต่อหน้าธารกำนัล ให้แขกผู้ทรงเกียรติทั้งทะเลสาบประเมิน ผู้ชนะจะลือนามทั่วเจียงหนาน ฝ่ายผู้พ่ายแพ้นับจากนี้มิมีหน้าพบผู้คน”

ชายหนุ่มผู้นั้นเอ่ยขึ้นเรียบๆ “แม่นางหรูเมิ่งเพียบพร้อมรูปโฉมและฝีมือ บนแม่น้ำฉินไหวมีผู้ใดมิรู้บ้าง ไยต้องกังวลเรื่องนี้”

ดวงตาของหลิ่วหรูเมิ่งคล้ายมีวาวน้ำตา เล่าว่า “ผู้น้อยไปมาลำพัง มิเคยยอมถูกผูกมัด หอคณิกาบนแม่น้ำฉินไหวยามนี้มีผู้มีอิทธิพลสองพวกประจันหน้ากันอยู่อย่างลับๆ หอหมื่นบุปผากับเรือนเงาจันทร์ต่างมิยอมแพ้ให้แก่กัน หนนี้เพื่อชิงฉายายอดบุปผา ทั้งสองฝั่งต่างเค้นสิ้นความคิด หอหมื่นบุปผายังมิเท่าไร พวกเขาส่งแม่นางชิวเยี่ยนผู้เป็นอันดับหนึ่งออกมา รูปโฉมและฝีมือของนางมิเป็นรองข้า

แต่เซียวเอ้อร์เหนียงแห่งเรือนเงาจันทร์กลับใช้สารพัดวิธีบีบบังคับข้าให้เป็นพวก ข้ามิยินยอม พวกเขาก็ใช้กลอุบายขโมยบทกวีใหม่ที่ข้าไหว้วานคนเขียนเพื่องานหนนี้ไป หากข้าร้องเพลงเก่าที่มีมานมนานในงานชุมนุมทะเลสาบเสวียนอู่ มิต้องพูดถึงการได้ครองตำแหน่งยอดบุปผา เกรงว่าคงถูกคนหัวเราะเยาะหยันเป็นแน่ ข้าคิดมาคิดไป มีแต่บัณฑิตซ่งที่ช่วยข้าได้ ขอท่านบัณฑิตโปรดเห็นใจ”

ชายหนุ่มผู้นั้นฟังจบก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เจ้าน่าจะทราบว่าแม้ข้ามักจะเขียนบทกวีแทนผู้อื่นอยู่บ้าง แต่ผลงานมากกว่าครึ่งก็เป็นการทำงานให้แม่นางในสังกัดของหอหมื่นบุปผา ข้ากับเจ้าหอว่านนับว่ามีมิตรไมตรีให้กันมิน้อย งานหนนี้สำคัญยิ่งนัก หากข้าช่วยเจ้า ไฉนมิเป็นการล่วงเกินเจ้าหอว่าน ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใดบนแม่น้ำฉินไหวมิทราบว่าฉินเอ้อร์เหนียงแห่งเรือนเงาจันทร์เป็นคนลงมืออำมหิต หากข้าทำลายการใหญ่ของนาง เกรงว่าข้าคงมิอาจอยู่อย่างสงบสุขบนแม่น้ำฉินไหวได้อีกแล้ว แม่นางหรูเมิ่ง เจ้าควรจะทราบความลำบากของผู้แซ่ซ่ง”

หลิ่วหรูเมิ่งซบหน้าบนฝ่ามือ “หากมิมีบทกวีใหม่สักสี่ห้าบท เกรงว่าคงยากจะสู้ไหว เวลาฉุกละหุก ข้าจะไปเอาบทกวีงดงามมากมายเช่นนั้นมาจากที่ใด เฮ้อ หรือว่าหนนี้ข้าจะต้องพ่ายแพ้ย่อยยับจริงๆ เอาเถิด สุดท้ายข้าหลิ่วหรูเมิ่งก็มิอาจสู้หลิ่วเพียวเซียง สมัยนั้นแม่นางเพียวเซียงระบำงามล่มเมือง บนลำน้ำฉินไหวมิมีผู้ใดเสมอเหมือน นึกถึงยามนางยิ้มทะนงต่อหน้าเหล่าผู้สูงศักดิ์ เรื่องเล่ายามนางต่อว่าหานอ๋อง หรูเมิ่งฟังแล้วรู้สึกตราตรึงใจเสียทุกครั้ง คิดเสมอว่าอยากเลียนแบบความองอาจของพี่สาวเพียวเซียง ยามนี้ดูท่าคงเป็นเพียงคนบ้าเพ้อฝัน”

ชายหนุ่มผู้นั้นฟังจบ ดวงตาก็ฉายประกายเศร้าโศกลึกล้ำ ทว่าเพียงพริบตาก็หายไป จากนั้นจึงถอนหายใจเอ่ยว่า “แม่นางหรูเมิ่งมีความมุ่งมั่นเช่นนี้ ผู้แซ่ซ่งนับถือ หากแม่นางมิรังเกียจ ผู้แซ่ซ่งยินดียืนข้างโต๊ะประทินโฉม ประพันธ์บทเพลงให้แม่นาง มิทราบว่าแม่นางขาดผู้ดีดพิณหรือไม่ ฝีมือพิณของผู้แซ่ซ่งก็นับว่าพอไปวัดไปวาได้อยู่บ้าง”

ตอนแรกหลิ่วหรูเมิ่งเห็นความหวังสุดท้ายดับสลายลงแล้ว จึงเผยความในใจออกมาอย่างหักห้ามใจมิได้ คิดมิถึงว่าซ่งอวี๋จู่ๆ กลับรับปากจะเขียนบทกวีให้นาง แล้วยิ่งกว่านั้นยังยินดียอมเป็นผู้ช่วยใต้ชายกระโปรงของนางอีก นางยินดีปรีดากับเรื่องเหนือคาด ชายแขนเสื้อยกลง เผยดวงหน้างามหมดจดที่มีหยดน้ำตาไหลริน รอยยิ้มยามน้ำตาร่วงพรูกลับยิ่งทำให้นางงดงามจนมิมีสิ่งใดเทียบได้ นางก้าวเข้ามาจับแขนเสื้อของซ่งอวี๋ “โธ่ หากบัณฑิตซ่งยอมลดตัวลงมาช่วย หรูเมิ่งยินยอมพร้อมใจกราบท่านบัณฑิตเป็นอาจารย์ น้อมรับคำสั่งสอน”

ซ่งอวี๋เห็นสีหน้าตกตะลึงปนยินดีของนางจิตใจพลันสั่นไหววูบหนึ่งจนมิอาจสำรวมตนเอง เขามาแฝงตัวอยู่ในย่านเริงรมย์ก็เพื่อมอมเมาตนเองให้ด้านชา การไปยุ่งเกี่ยวกับนวลนางเหล่านั้นเป็นเพียงการเล่นละครตามสถานการณ์ ยามระเริงถึงที่สุดก็แตะต้องเพียงตาและมือ แม้ตัวอยู่ท่ามกลางมวลบุปผา ทว่าหัวใจกลับนิ่งสงบดั่งบ่อน้ำเก่า

แม้หลิ่วหรูเมิ่งจะมีชื่อเสียงโด่งดังมาตลอด แต่ในใจเขามีปมอยู่ พอได้ยินว่าสตรีนางนี้แซ่หลิ่วก็จงใจหลีกห่าง จวบจนวันนี้จึงยังมิเคยพบหน้า ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดมิถึงว่าวันนี้ได้พานพบ กลับค้นพบว่าหลิ่วหรูเมิ่งผู้นี้มิว่ารูปโฉมหรือความสามารถล้วนคล้ายกับคนงามที่เขาชื่นชมในใจมาเนิ่นนาน เช่นนี้แล้วจะมิให้หัวใจเขาเคลิบเคลิ้มได้เช่นไร

ซ่งอวี๋ แต่เดิมเป็นบุตรของครอบครัวยากจนในหนานฉู่ นามเดิมว่าซ่งหมิ่น อายุสิบสองสอบได้เป็นซิ่วไฉ ได้รับการยกย่องในบ้านเกิดว่าเป็นยอดอัจฉริยะ ทว่าคิดมิถึงครอบครัวกลับพบหายนะ จำต้องระเหเร่ร่อนมายังเจี้ยนเย่ ระหว่างที่ยากจนล้มป่วยจนเกือบตายก็ได้หลิ่วเพียวเซียวนางคณิกาชื่อดังผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วเจียงหนานช่วยเอาไว้ นางรับเขามาเป็นเด็กรับใช้บนเรือเพียวเซียง

ยามนั้นแม้เขายังอายุน้อย แต่ก็ตกหลุมรักหลิ่วเพียวเซียงแล้ว เพื่อความรัก เขายินยอมพร้อมใจทำงานเยี่ยงบ่าวไพร่ชั้นต่ำอยู่บนเรือ แม้มิมีโอกาสเข้าใกล้คนงามแม้แต่น้อย แต่เพียงหนึ่งปรายตา หนึ่งรอยยิ้มของหลิ่วเพียวเซียงก็เป็นความทรงจำอันล้ำค่าที่สุดในหัวใจของเขาแล้ว

เพราะเขาสังเกตอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ความรักระหว่างหลิ่วเพียวเซียงกับเจียงเจ๋อ เขาก็ทราบอยู่บ้าง แม้ยินดีที่หลิ่วเพียวเซียงได้คู่ครองที่ดี แต่ความเจ็บปวดในหัวใจก็มิอาจลดทอนแม้แต่น้อย หลังจากหลิ่วเพียวเซียงออกจากเรือ เขาจึงจากไปด้วยความเสียใจ ด้วยเหตุนี้เขาจึงหนีพ้นการฆ่าปิดปากหลังจากนั้นมาได้

ต่อมาเขามีวาสนาได้เข้าร่วมค่ายลับ แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อทราบว่าหลิ่วเพียวเซียวลาจากโลกไปแล้ว เพื่อแก้แค้นให้คนในดวงใจ เขาตั้งใจตรากตรำฝึกฝน แม้พรสวรรค์ด้านวรยุทธ์จะอยู่เพียงระดับกลางค่อนบน แต่เขาพากเพียรมิเกียจคร้าน จนในที่สุดก็เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นแปดหัวหน้าแห่งค่ายลับ ได้รับนามจากเจียงเจ๋อว่าอวี๋หลุน

ในหมู่แปดหัวหน้าแห่งค่ายลับ กลุ่มมังกร ชื่อจี้มีพรสวรรค์ของการเป็นแม่ทัพ ซื่อสัตย์ภักดี ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากเจียงเจ๋อมากที่สุด เต้าหลีเป็นคนแน่วแน่เด็ดเดี่ยว จัดการงานอย่างเยือกเย็นแต่เป็นคนเย็นชา

กลุ่มพยัคฆ์ ไป๋อี้หน้าตาซื่อแต่มีความสามารถในการเป็นผู้นำ คอยนำกำลังรบหลักของค่ายลับ กลุ่มลับ ซานจื่อเชี่ยวชาญกลไกและอาวุธลับจนถึงขนาดที่ต่อมาเขายอมทิ้งวรยุทธ์เพื่อพวกมัน ถึงกระนั้นแผนการลอบสังหารของกลุ่มลับในค่ายลับก็มักต้องพึ่งการสนับสนุนของเขาอยู่เสมอ ฉวีหวงรูปโฉมธรรมดาสามัญ ทำให้คนที่เห็นผ่านตาลืมเลือนได้ทันที บ่อยครั้งก่อนศัตรูสิ้นใจถึงเพิ่งสังเกตการมีตัวตนของเขา

กลุ่มแฝง หัวหลิวมีรูปลักษณ์ภายนอกอ่อนโยนน่าใกล้ชิด แต่ความคิดละเอียดถี่ถ้วน แม้มักจะใจอ่อนเพราะความรู้สึกอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อถึงยามจำเป็นจริงๆ เขาก็โหดเหี้ยมไร้หัวใจได้ถึงที่สุด ลี่ว์เอ่อร์ภายนอกเปิดเผยเป็นกันเอง แต่ความจริงเฉลียวฉลาดเก่งกาจและเชี่ยวชาญการจัดการ

[1] จากบทกวี “ลำธารสรงอาภรณ์ (浣溪沙)” ของ เหวยจวง (韦庄)