ส่วนอวี๋หลุนเป็นคนที่พิเศษที่สุดในหมู่แปดหัวหน้าแห่งค่ายลับ แต่เดิมเขาเป็นหัวหน้าของกลุ่มพยัคฆ์ ตำแหน่งเป็นรองไป๋อี้ กล่าวได้ว่าวรยุทธ์ของเขาโดดเด่นเหนือผู้ใดในค่ายลับ แต่เดิมสมควรได้ทำงานสังหารคนอย่างเปิดเผยเช่นเดียวกับฮั่วอี้ แต่เขากลับชอบเป็นมือสังหารมากกว่า
ตอนแรกเจียงเจ๋อคิดว่าหน้าตาและกิริยาท่าทางของเขาโดดเด่นกว่าคนธรรมดาจึงคิดว่าเขาไม่เหมาะจะเข้ากลุ่มลับ ทว่าต่อมาทุกคนล้วนมิอาจมิยอมรับว่าเขาเป็นมือสังหารที่โดดเด่นที่สุด
พัดในมือก็คืออาวุธของเขา แกนพัดทำมาจากเหล็กกล้า ภายในซ่อนอาวุธลับเข็มเหล็กเอาไว้ทำร้ายจุดสำคัญของศัตรูระหว่างต่อสู้กัน ยอดฝีมือที่ตายใต้พัดเล่มนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน แต่มากกว่าครึ่งอวี๋หลุนมักจะใช้แผนการลอบจู่โจมกำจัดศัตรูมากกว่า เขามักจะวางแผนรอบคอบและดำเนินตามแผนการอย่างถี่ถ้วน ยามลงมือมิมีพลาด ทั้งยังชำนาญการใช้กลอุบาย เข้าใจจิตใจคน บางครั้งก็ราวกับมีเทพบันดาล ทำให้เขาเอาชีวิตศัตรูสำเร็จในสถานการณ์ที่เป็นไปมิได้ ทั้งยังมิมีผู้ใดทราบว่าเขาเป็นผู้ลงมืออยู่บ่อยครั้ง
ตั้งแต่เขาเริ่มเข้าวงการก็ใช้การกระทำเสเพลปกปิดโฉมหน้าที่แท้จริงของตนเอง เขามีพรสวรรค์โดดเด่น ตวัดพู่กันวูบเดียวก็เขียนบทกวีกาพย์กลอนสำเร็จ มีเวลาว่างเมื่อใดล้วนเตร็ดเตร่อยู่ในย่านเริงรมย์ พฤติกรรมสำมะเลเทเมาทั้งหลายกลายเป็นเครื่องปกปิดที่ดีที่สุดของเขา ฉากหน้าเขาคือบัณฑิตผู้มีท่าทางสูงส่ง แต่พฤติกรรมเป็นบุรุษเสเพล ทว่ากลับมิมีผู้ใดคิดว่าเขาคือมือสังหารผู้ใจแข็งดุจหินผา
ศิษย์ในค่ายลับร่ำเรียนวิชาอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนหนึ่ง รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่ยี่สิบสองของหนานฉู่ พอถึงเดือนหนึ่ง รัชศกหลงเซิ่งปีที่หกของต้ายง หรือก็คือเมื่อสองปีก่อน ศิษย์ในค่ายลับก็ล้วนได้รับอิสระ จากไปใช้ชีวิตตามที่ตนเองปรารถนาตามสัญญาสิบปีที่ตกลงกันในตอนแรก
อันที่จริงตั้งแต่ก่อนหน้านั้น ชื่อจี้กับหัวหลิวก็ได้ออกจากค่ายลับอย่างเป็นทางการแล้ว ส่วนเต้าหลีเองก็ไปลงแรงกับกิจการเดินเรือตระกูลไห่มากกว่า
แม้ได้รับอิสระแล้ว แต่คนในค่ายลับแทบทั้งหมดก็เลือกจะภักดีกับเจียงเจ๋อต่อ อย่างไรเสียมิว่าจะต้องการลาภยศหรือความมั่งคั่ง ติดตามเจียงเจ๋อย่อมได้มามิยาก ยิ่งไปกว่านั้น ความภักดีที่พวกเขามีต่อเจียงเจ๋อก็ฝังรากลึกนัก อวี๋หลุนแทบจะเป็นคนเดียวที่เป็นข้อยกเว้น ในฐานะหนึ่งในแปดหัวหน้าแห่งค่ายลับ เขาเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ผู้ที่เจียงเจ๋อจดจำชื่อได้ ทว่าในยามที่แคว้นต้ายงกำลังรุ่งเรือง เจียงเจ๋อเป็นเสมือนดวงตะวันกลางฟ้า ตัวเขาที่ครอบครองฐานะนี้แทบจะครอบครองทุกสิ่งที่เฝ้าฝันได้ แต่เขากลับเลือกออกจากค่ายลับ กลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่เจี้ยนเย่ นครหลวงแห่งหนานฉู่
อวี๋หลุนมิทราบว่าเจียงเจ๋อเคยคิดสังหารเขาปิดปากบ้างหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็กลับมาถึงเจี้ยนเย่อย่างปลอดภัย อีกทั้งยังได้ใช้ชีวิตดังเช่นที่ต้องการ เมื่อเทียบกันแล้ว ในหมู่แปดหัวหน้าแห่งค่ายลับ เขาเป็นคนที่มีใจภักดีต่อเจียงเจ๋อเบาบางที่สุด การไปจากค่ายลับและเจียงเจ๋อ มิใช่เพื่อหนานฉู่หรือเหตุผลอื่นใด ความจริงแล้วหากเจียงเจ๋อบีบบังคับให้เขาอยู่ต่อ เขาก็มิต่อต้าน เขาเพียงต้องการกลับมายังจุดเริ่มต้นแรกสุดก็เท่านั้น
หลังออกจากค่ายลับ ชีวิตของอวี๋หลุนก็ตกอยู่ในความยากลำบากอย่างรวดเร็ว ยามอยู่ในค่ายลับสิ่งที่เขาร่ำเรียนล้วนมีแต่การฆ่าฟันและการใช้เล่ห์เหลี่ยมกลอุบาย มิเคยร่ำเรียนวิชาทำมาหากิน เขามิใช่คนของกลุ่มลับหรือกลุ่มแฝง เขาใช้ชีวิตสูงส่งมาหลายปีจนมิคุ้นชินกับการทำตัวต่ำต้อยอีกต่อไป จึงมิต้องพูดถึงการใช้แรงงานหาเลี้ยงตน
ความสามารถเพียงอย่างเดียวของเขาก็คือการสังหารคน แต่เขามิทราบแม้กระทั่งว่าจะติดต่อรับงานลอบสังหารเพื่อเลี้ยงชีพได้เช่นไร นอกจากการลอบสังหาร สิ่งที่เขาทำเป็นอีกก็มีแต่เขียนบทกวีแต่งกาพย์กลอนเท่านั้น แต่เขาดูแคลนการแต่งบทกวีแลกเงินทอง มิหนำซ้ำยามอยู่ในค่ายลับเขามิเคยให้ความสำคัญกับทรัพย์สินเงินทอง มีเงินก็มักจะโปรยหมดจนเกลี้ยงอย่างรวดเร็วอยู่บ่อยๆ หากมิใช่ว่าก่อนเดินทางจากมาได้รับเงินค่าเดินทางมาก้อนหนึ่ง เกรงว่าเขาคงได้แต่จากมาสองมือเปล่า
หลังจากหลุดพ้นจากบ่วงผูกรั้ง อวี๋หลุนแทบจะตรงดิ่งมายังแม่น้ำฉินไหว เขาท่าทางมิธรรมดา รูปโฉมหล่อเหลา เมื่อผนวกกับความสามารถทางกวีอันเลอเลิศกับทองมากมายในกระเป๋า มินานเขาก็กลายเป็นลูกค้าชั้นดีบนแม่น้ำฉินไหว ทุกวันเที่ยวเตร่ใต้แสงจันทร์ อิงแอบแนบชิดนงคราญ เมามายอยู่ในบทเพลงระบำรำฟ้อน ว่างเว้นเมื่อใดก็ขับขานบทกวีแต่งคำโคลง
บทกวีของเขางดงามสะเทือนอารมรณ์ มีอารมณ์เศร้าสร้อยอ้อยอิ่ง นางขับร้องธรรมดาๆ ขับขานได้ชำนาญสักบทก็เป็นที่นิยมนับครึ่งเดือน ต่อมาเขาก็ใช้เงินทองในกระเป๋าจนหมดเกลี้ยง หากมิใช่ว่ามักจะมีนางคณิกาคนดังในหอคณิกามาขอให้เขาแต่งบทกวีแลกเงินทอง เกรงว่าเขาคงกระเป๋าโล่งราวกับเพิ่งซักแล้ว
แม้เป็นเช่นนี้ ผ่านไปมินานเขาก็ยังสิ้นเนื้อประดาตัวอยู่ดี จากอาภรณ์ผ้าไหมอาหารรสโอชา เรียกคำหนึ่งมีแต่ผู้คนขานรับกลับตกต่ำมาอยู่ในสภาพยากจนขัดสน หากเป็นคนปกติคงกลัดกลุ้มเสียใจยิ่งนัก แต่อวี๋หลุนกลับยอมรับความลำบากด้วยความยินดี เขาใช้ชีวิตยากแค้นเช่นนี้มาอีกหนึ่งปีครึ่งเต็มๆ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ฉวีหวงเดินทางมาทำธุระที่เจี้ยนเย่ พอทราบว่าเขาหลบเร้นกายอยู่ที่นี่จึงตั้งใจมาเยี่ยมเขา พอเห็นเขายากจนข้นแค้นปานนั้น ฉวีหวงก็ตกตะลึงจนนิ่งอึ้ง สุดท้ายฉวีหวงผู้เงียบขรึมพูดน้อยมาเสมอก็ลากเขาไปร่ำสุราด้วยกันทั้งคืนที่เหลาสุราแห่งหนึ่งโดยมิยอมให้เขาปฏิเสธ แล้วทิ้งเงินทองแทบทั้งหมดบนตัวเอาไว้ให้ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย หนึ่งเดือนหลังจากนั้นฉวีหวงก็ปรากฏตัวขึ้นอีกหน แต่เขานำภารกิจลอบสังหารงานหนึ่งมาด้วย
นับจากนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของอวี๋หลุนก็เปลี่ยนไป ทุกช่วงเวลาหนึ่งเขาจะได้รับภารกิจสารพัดจากหอกลไกสวรรค์หรือไม่ก็ค่ายลับ ภารกิจเหล่านี้ล้วนกระจุกอยู่ในเจี้ยนเย่หรือบริเวณใกล้เคียง ยิ่งไปกว่านั้น ภารกิจมากกว่าครึ่งล้วนค่อนข้างยากลำบาก ความจริงหอกลไกสวรรค์มีกิจการบางส่วนอยู่ในเจี้ยนเย่ อีกทั้งค่ายลับก็เคลื่อนไหวในเจี้ยนเย่อยู่บ่อยครั้ง เพียงแต่หลังอวี๋หลุนออกจากค่ายลับ เขาก็มิรู้รายละเอียดข้างในชัดเจนนัก ทุกครั้งที่ทำภารกิจเสร็จ เงินค่าตอบแทนที่ได้รับเพียงพอให้เขาใช้ชีวิตหรูหราได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง นี่จึงทำให้เขาไม่ถึงกับยากแค้นจนไร้ที่ซุกหัวนอน
อวี๋หลุนยอมรับความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้อย่างมิลังเล แม้จากหัวหน้าค่ายลับในวันวานกลายมาเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้ในวันนี้ เขาก็มิโอดครวญสักนิด แล้วก็มิเสียใจสักเสี้ยวเดียว เปลวเพลิงแห่งชีวิตของเขาคล้ายกับว่าเผาไหม้หมดสิ้นไปแล้วตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน มีเพียงการอยู่ใต้แสงจันทร์บนแม่น้ำฉินไหวเท่านั้นที่ทำให้อวี๋หลุนรู้สึกสงบและมีความสุข ความจริงบางครั้งอวี๋หลุนก็มิเข้าใจ เหตุใดเขาจึงเป็นเหมือนแมงเม่าที่โผบินเข้ากองไฟอย่างไร้ความเคืองแค้นและไร้ความเสียใจ ทุกครั้งที่เขาอยากขบคิดให้กระจ่าง ตรงหน้าก็มักจะปรากฏใบหน้าโฉมสะคราญที่มิอาจลืมเลือนชั่วนิรันดร์ดวงนั้น
จวบจนวันนี้ บนเหลาสุราธรรมดาๆ แห่งนี้ เขาได้พานพบหลิ่วหรูเมิ่ง เขาจึงเพิ่งรู้สึกว่าชีวิตเหมือนจะมีระลอกคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นอีกหน สตรีนางนี้รูปโฉมมิมีส่วนใดละม้ายหลิ่วเพียวเซียงสักนิด แต่หลังจากนางบอกกล่าวความในใจ อวี๋หลุนกลับค้นพบว่านิสัยและการแสดงออกของสตรีนางนี้คล้ายคนที่เขาหวนคะนึงแม้อยู่ในห้วงฝันยิ่งนัก เพียงเพราะเหตุผลประการนี้ เขาจึงรับปากอยู่ข้างกายนาง ลืมเลือนจนสิ้นว่าภารกิจที่รับมาเมื่อสามเดือนก่อนอันตรายและยากคาดเดาปานใด เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สายตาที่เขามองไปยังหลิ่วหรูเมิ่งก็ยิ่งเศร้าสร้อยโศกสลด
หลิ่วหรูเมิ่งมีจิตใจละเอียดลออดุจเส้นผม นางย่อมจับสังเกตอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเขาได้ นางได้ยินชื่อเสียงของชายหนุ่มนามซ่งอวี๋ผู้นี้มานานแล้ว บนแม่น้ำฉินไหว พี่สาวน้องสาวมากมายเคยเอ่ยถึงคนผู้นี้ให้นางฟัง เพียงแต่มิทราบเพราะเหตุใดทั้งสองคนจึงมิเคยพบหน้ากัน นางเคยคิดว่าซ่งอวี๋จงใจหลบเลี่ยงนางหรือไม่ แต่ก็รู้สึกว่ามิมีทางเป็นไปได้
พี่สาวน้องสาวทั้งหลายล้วนพูดว่าซ่งอวี๋เป็นคนประหลาด แม้ทุกวันเขามิครวญเพลงร่ำไห้ก็ซื้อสุราเมามายอยู่บนแม่น้ำฉินไหว กอดหญิงงามซ้ายคนขวาคนในย่านเริงรมย์ โปรยเงินราวก้อนดิน ทำตามอำเภอใจมิยึดติดกฏเกณฑ์ ดูแคลนขุนนางชั้นสูงและเหล่าบัณฑิต แต่เขากลับมิหยิ่งยโสกับสตรีผู้ขายรอยยิ้มเลี้ยงชีพอย่างพวกตนสักนิด ตรงกันข้าม เขากลับปฏิบัติด้วยเฉกเช่นสหาย มิเหมือนบุรุษผู้มาหาความสำราญบนแม่น้ำฉินไหวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มทว่าในใจเหยียดหยามเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง
พี่น้องผู้มีจิตใจละเอียดอ่อนคนหนึ่งเคยกล่าวว่าแม้บัณฑิตซ่งผู้นี้จะอยู่ท่ามกลางมวลบุปผา แต่กลับมิเคยเบิกบานจากใจจริง แป้งชาดหอมชวนวิงเวียนมิอาจปิดบังความสง่างามอันเปล่าเปลี่ยวของเขา เสียงหัวเราะครื้นเครงมิอาจกลบความเจ็บปวดในดวงตาเขา
หลิ่วหรูเมิ่งแต่เดิมเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง วันนี้ได้พบหน้าจึงทราบว่าเป็นเช่นนั้นจริง เพียงแต่มิทราบว่าเขายังมิทันอายุพ้นสามสิบ เหตุใดจึงเศร้าเสียใจจนดวงตาหมองมัวเช่นนี้
แต่ความลับบนตัวซ่งอวี๋ย่อมค่อยๆ ขุดคุ้ยได้ หลิ่วหรูเมิ่งคำนับแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อท่านบัณฑิตรับปากหรูเมิ่งแล้ว มิสู้ตอนนี้ก็กลับไปกับหรูเมิ่งเถิด เฮ้อ คนของเรือนเงาจันทร์นิสัยอันธพาลไร้เหตุผล หากพวกเขาทราบว่าท่านบัณฑิตช่วยเหลือข้า อาจเกิดเรื่องที่มิกล้ากล่าวถึงก็เป็นได้”
อวี๋หลุนรั้งสายตากลับไปแล้วตอบอย่างมิแยแส “ข้ามิสนใจคนของเรือนเงาจันทร์ แม่นางเชิญกลับไปก่อนเถิด พรุ่งนี้ข้าจะไปพบที่เรือด้วยตนเอง”
หลิ่วหรูเมิ่งอยากเกลี้ยกล่อมต่อ แต่เมื่อมองสีหน้าเย็นชาของซ่งอวี๋ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่าเกรงขามมิอาจขัดขืน ในใจคิดร้อยพันตลบแล้วจึงคำนับอย่างชดช้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะรอคอยท่านบัณฑิตบนลำเรือ”
อวี๋หลุนหันหลังให้ ยกจอกเชื้อเชิญดวงจันทร์ หัวใจปวดร้าว อดพึมพำออกมาแผ่วเบามิได้ “คุณชายผู้รักลึกซึ้งในวันวาน ยามนี้ในดวงตาคงมีแต่คนใหม่ผู้งามประหนึ่งหยก ไหนเลยจะยังจดจำสุสานเก่าอ้างว้างในนครเจี้ยนเย่ได้ แม่นางหลิ่ว แต่เดิมข้าคิดว่าบนโลกนี้นอกจากข้าคงมิมีผู้ใดจดจำท่านได้แล้ว คิดมิถึงวันนี้ในโลกอันวุ่นวายแห่งนี้ ท่านกลับยังมีคนรู้ใจอยู่อีกคน”
ระหว่างที่อวี๋หลุนเจ็บปวดรวดร้าวใจอยู่ ก็มีคนหัวเราะเสียงดังเปิดม่านเดินเข้ามา “สหายซ่ง หนนี้พี่ชายได้หน้าแล้ว ต้องขอบคุณความคิดของเจ้า เหตุไฉนวันดีเช่นนี้เจ้ากลับอดสูอยู่ในที่เล็กๆ แห่งนี้เล่า เอาเช่นนี้ปะไร ไปร่ำสุราให้สาแก่ใจกับข้าที่เรือนเงาจันทร์ดีหรือไม่”
ดวงตาของอวี๋หลุนทอประกายเย็นชาวูบหนึ่ง แต่แล้วก็หัวเราะตอบว่า “พี่ซั่งกล่าวหนักไปแล้ว ข้าก็เพียงพูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น เรื่องใหญ่ของแว่นแคว้นแหล่านั้นย่อมมีคนกังวลใจอยู่แล้ว ไยต้องให้ชาวบ้านตัวเล็กๆ อย่างพวกเราเหล่านี้เข้าไปยุ่งด้วยเล่า ร่ำสุราได้ แต่พี่ซั่งอย่าพูดถึงเรื่องที่ชวนให้หมดอารมณ์พวกนั้นอีกก็พอ”
คนผู้นั้นก็คือซั่งเฉิงเยี่ย แม้เขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของซั่งเหวยจวิน ฐานะสูงศักดิ์ ทว่าไร้ความสามารถและหัวช้า คนที่พบพานในแต่ละวันมิใช่พวกประจบประแจงก็เป็นพวกต่อหน้าทำตัวเคารพ ความจริงในใจดูแคลน แม้ซั่งเฉิงเยี่ยจะโง่เขลา แต่นานวันเข้าก็ทราบว่าคนข้างตัวส่วนมากมีแต่พวกมิจริงใจ มีเพียงสหายรักที่ผูกมิตรในย่านเริงรมย์ผู้นี้ ถึงแม้ปกติวาจาเย็นชา แต่มองเขาเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ยามอยู่ด้วยกันเขาทำตัวตามสบายได้ดั่งใจปรารถนา
ดังนั้นหลังจากได้ยินคำตอบ เขาจึงมิเพียงมิโกรธเคือง ตรงกันข้ามกลับยิ้มแย้มก้าวเข้าไปดึงอวี๋หลุนเดินออกไปด้านนอก เดินไปพลางก็เอ่ยไปพลาง “เรื่องนี้เหตุใดจะมิได้เล่า เรื่องใหญ่ของกองทัพกับแว่นแค้วนย่อมมีพวกบิดาของข้าคอยจัดการ รีบไปกันเถิด หนนี้มิเมามิเลิกรา”
อวี๋หลุนยิ้มน้อยๆ ปล่อยให้เขาจูงเดินออกไปด้านนอก