เมื่อลู่อวิ๋นมายืนอยู่ข้างกายสือซิ่ว สายตาของผู้คนที่รายล้อมอยู่ก็เป็นประกายขึ้นมาทันควัน แม้ลู่อวิ๋นจะหล่อเหลารูปงามสู้สือซิ่วมิได้ แต่ชาติกำเนิดและประสบการณ์รวมถึงการกล่อมเกลาของบิดาก็ทำให้เขามีบุคลิกอันโดดเด่น อาภรณ์สีขาวแบบเดียวกันบนร่างยิ่งขับเน้นให้เขาองอาจเหนือผู้คน ยามลู่อวิ๋นกับสือซิ่วสองคนยืนอยู่ด้วยกันยิ่งส่งเสริมกันและกัน ทำให้ทั้งสองคนแลดูมิธรรมดามากกว่าเก่า
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นยิ้มกระอักกระอ่วน สั่งให้คนในบ้านไปหยิบโคมแก้วมา ขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไปสนทนา ม่านก็ถูกเลิกเปิด เด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกปีผู้สวมเสื้อผ้างดงามนางหนึ่งก้าวออกมา นางสวมเสื้อคลุมขนสัตว์กับรองเท้าหุ้มข้อปักลายงดงาม อาภรณ์หรูหรา ดวงหน้างามสะคราญดั่งบุปผายามใบไม้ผลิ สายตายามทอดมองแลดูหยาดเยิ้มดุจระลอกคลื่นในฤดูวสันต์ คนทั้งหลายสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งถ้วนหน้า
นางก้าวเข้าไปยอบกายคำนับลู่อวิ๋นกับสือซิ่วเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ผู้น้อยจี้หลิงเซียงคารวะคุณชายทั้งสอง มิทราบว่าทั้งสองท่านเรียนขานว่าอันใด แม้โคมแก้วดวงนี้ของข้าต้องมอบให้ แต่คงต้องมอบให้ผู้มีประวัติขาวสะอาด หากตกไปอยู่ในมือคนชั่วช้า ไยมิเท่ากับยกแก้วให้ลิง”
นางกล่าวคำพูดนี้ออกมารัวเร็ว ทว่าแต่ละคำชัดถ้อยชัดคำ ทำให้คนฟังรู้สึกราวกับเป็นเสียงไข่มุกร่วงลงบนถาดหยก แม้แต่สือซิ่วที่เป็นสตรีได้ยินแล้วหัวใจยังหวั่นไหววูบหนึ่ง แม้รู้สึกว่านางอ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ ก็มิต้องการจะโต้เถียงกับนาง
ลู่อวิ๋นกลับโต้ตอบด้วยสีหน้าปกติ “ตอนคุณหนูแขวนโคม มิเห็นบอกว่าต้องถามความเป็นมาด้วย ในเมื่อพวกเรายิงเหรียญทองลงมาได้แล้ว โคมดวงนี้ย่อมสมควรเป็นของพวกเรา หากคุณหนูคิดจะผิดสัญญา เกรงว่าชาวบ้านทั้งหลายคงมิยินยอม”
พอคำพูดนี้เอ่ยออกมา คนที่ล้อมมุงดูอยู่เหล่านั้นแม้ลุ่มหลงรูปโฉมงดงามของดรุณีสาว แต่ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ มีคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดูแคลน “คุณหนูท่านนี้จะพูดแล้วกลับคำมิได้สิ ท่านเที่ยวถามตัวตนของผู้อื่น คงมิใช่ว่าถูกตาต้องใจคุณชายน้อยคนนี้แล้วกระมัง”
เด็กสาวอาภรณ์งดงามสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด นางมีรูปโฉมงดงาม ทั้งยังมีเบื้องหลังที่ค่อนข้างร่ำรวยและมีอำนาจ ดังนั้นที่ผ่านมาจึงเรียกลมได้ลม เรียกฝนได้ฝนเสมอ มิมีผู้ใดเคยไร้มารยาทกับนาง ยามนี้ลู่อวิ๋นต่อว่านางจนทำให้อันธพาลคนหนึ่งมาเย้ยหยัน ในใจจึงโมโหยิ่งนัก ดวงตาทอประกายเย็นยะเยือกฉายจิตสังหารออกมาวูบหนึ่ง
ความจริงแล้วลู่อวิ๋นอายุน้อย ทั้งยังอยู่ในวัยเลือดลมพลุ่งพล่าน ไฉนจะไร้ความรู้สึกกับคนงาม ทว่าเขาเคยรู้จักกับดรุณีเช่นท่านหญิงเจาหวาเจียงโหรวหลันกับสือซิ่วมาแล้ว ดังนั้นจี้หลิงเซียงจึงมิอาจทำให้หัวใจเขาหวั่นไหวได้แม้แต่น้อย
หากกล่าวถึงรูปโฉม เจียงโหรวหลันกับจี้หลิงเซียงอาจสูสีคู่คี่ แต่หากพูดถึงบุคลิกกลับต่างกันราวฟ้ากับดิน บนร่างของโหรวหลันมีทั้งความอ่อนโยนดีงามโดยนิสัยและมีความหยิ่งทะนงเหยียดมองใต้หล้าดังเช่นคนในราชวงศ์ ความหยิ่งทะนงเช่นนั้นมิใช่การแสดงออกเพียงภายนอก แต่เป็นความมั่นใจและศักดิ์ศรีที่ฝังลึกอยู่ในกระดูก แม้นอ่อนหวานดุจสายธาร แต่ใต้ผืนน้ำซ่อนเกลียวคลื่นที่ซัดถาโถมเอาไว้ นั่นก็คือเจียงโหรวหลัน
แม้ลู่อวิ๋นยังมิเข้าใจโหรวหลันอย่างถ่องแท้ แต่การพบหน้ากันเพียงไม่กี่หนก็ทำให้ในใจเขาประทับภาพอันงดงามของโหรวหลันเอาไว้แล้ว ต่อให้นางเป็นเสมือนดวงจันทร์สว่างที่มิอาจเอื้อมคว้า แต่ก็ยากจะหักห้ามความชื่นชมรักใคร่ในหัวใจ
แม้สือซิ่วรูปโฉมสู้จี้หลิงเซียงมิได้ แต่ความองอาจห้าวหาญ ไร้ท่าทางอ่อนแอดื้อดึงเช่นสตรีของนาง กลับให้ความรู้สึกหยิ่งทะนงอีกแบบหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาระยะหนึ่ง ทั้งสองคนก็เกิดความผูกพันราวกับมีสายเลือดเดียวกันอย่างมิรู้เนื้อรู้ตัวมานานแล้ว
เมื่อเทียบกันแล้ว ต่อให้จี้หลิงเซียงงามวิไลแต่ก็มีความหยิ่งยโสเอาแต่ใจอยู่บ้าง บุคลิกมิสู้โหรวหลัน ความผูกพันมิสู้สือซิ่ว หากเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาอาจหลงใหลเคลิบเคลิ้มกับความงามของนาง แต่ในสายตาของลู่อวิ๋น นางเป็นดั่งหุ่นดินปั้นตุ๊กตาไม้ ไร้ประกายแห่งชีวิตให้เอ่ยถึง
เวลานี้เอง หัวหน้าองครักษ์คนนั้นก็ถือโคมแก้วเข้ามา โคมแก้วดวงนั้นงามวิจิตรอย่างยิ่ง หลังจากดึงเทียนข้างในออกก็พับได้อย่างง่ายดาย หัวหน้าองครักษ์ผู้นั้นใช้กล่องผ้าไหมสีแดงบรรจุจากนั้นส่งให้สือซิ่วด้วยสองมือ สือซิ่วรับมาแล้วก็เดินออกไปด้านนอกด้วยจิตใจเบิกบาน ลู่อวิ๋นที่ตามอยู่ด้านหลังนางก็ยิ้มแย้มเต็มแก้ม ทั้งสองคนมิชายตามองดรุณีสาวอาภรณ์งดงามคนนั้นเพิ่มสักหน เอาแต่สนทนากันพลางเดินตรงดิ่งออกไปด้านนอก
ผู้คนที่ล้อมมุงอยู่เห็นโคมแก้วถูกคนชิงไปได้แล้วก็แยกย้าย เหลือแต่เด็กสาวอาภรณ์งดงามผู้นั้นที่ยังคงขบฟันขาวผ่องยืนอยู่หน้าซุ้มสีสดใส สีหน้านางเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว การประลองยิงธนูหนนี้ แต่เดิมจัดขึ้นเพื่อล่อลู่อวิ๋น นี่เป็นแผนการที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว เริ่มต้นตั้งแต่วินาทีนั้นที่ลู่อวิ๋นก้าวออกมาจากจวน พวกเขาตั้งใจให้คนใช้คำพูดล่อลู่อวิ่นกับสืออวี้จิ่นมา
แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าแม้พวกเขามาเยือนแล้ว แต่คนที่ชิงโคมได้กลับเป็นสืออวี้จิ่น ดรุณีสาวอาภรณ์งดงามผู้นี้มิทราบว่าสือซิ่วเป็นสตรี ทราบเพียงว่านางคือสืออวี้จิ่นผู้มีชื่อเสียงเคียงคู่กับลู่อวิ๋น
ความจริงในสายตานาง สืออวี้จิ่นผู้สง่างามถูกใจนางมากกว่า แต่คำสั่งของอาจารย์คือให้ตนอาศัยการประลองยิงธนูชิงโคมเข้าใกล้ลู่อวิ๋น โชคดีที่ลู่อวิ๋นรูปโฉมมินับว่าย่ำแย่ แต่สิ่งที่ทำให้นางคิดมิถึงอย่างสิ้นเชิงก็คือ ลู่อวิ๋นกลับทำเหมือนมองไม่เห็นนาง ความอัปยศเช่นนี้ทำให้นางเกลียดชังลู่อวิ๋นเข้ากระดูกดำ ทั้งยังลอบกังวลว่าอาจารย์จะตำหนิตนเอง
เห็นนางสีหน้าหม่นหมอง หัวหน้าองครักษ์เกาผู้นั้นก็ปลอบเสียงเบา “คุณหนูสามมิต้องกังวล แม้งานนี้ทำมิสำเร็จ แต่เจ้าตำหนักย่อมมิตำหนิท่าน”
จี้หลิงเซียงถอนหายใจแผ่วเบา “หากฝั่งศิษย์พี่ใหญ่ราบรื่น ช่วงชิงตำแหน่งยอดบุปผาอันดับหนึ่งมาได้ อาจารย์ก็อาจเบิกบานใจมิตำหนิข้า แต่ยามนี้ท่านอาจารย์กำลังขุ่นเคืองยิ่งนัก เกรงว่าหนนี้คงมิผ่านไปด้วยดี”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นเอ่ยเสียงเบา “คุณหนูสามโปรดวางใจ เจ้าตำหนักออกคำสั่งให้กำจัดคนผู้นั้นที่ทำลายการใหญ่ของพวกเราแล้ว หลิ่วหรูเมิ่งเป็นเพียงสตรีบอบบางไร้ที่พึ่ง ช้าเร็วย่อมตกอยู่ในกำมือของพวกเรา”
จี้หลิงเซียงมิตอบ แม้นางอายุน้อยแต่มิได้ไร้เดียงสา แล้วก็มิคิดว่าเรื่องนี้จะจัดการได้ง่ายดายปานนั้น ยิ่งไปกว่านั้น มิว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรก็มิเกี่ยวข้องอันใดกับนาง นางเพียงกังวลว่าตนเองจะผ่านพ้นด่านตรงหน้าได้เช่นไรเท่านั้น
“ธรรมจักรหมุนบนฟ้า เสียงมนตราจากสวรรค์ โคมพฤกษาพันดวงแสง ดอกไม้ไฟแย้มเจ็ดกลีบ เงาจันทร์ทับระลอกคลื่น ลมวสันต์หอมเหมยราตรี ประทีปส่องแผ่นดินทอง ระฆังก้องบนหอแก้ว”
จันทราสว่างลอยเหนือหอสูง แสงโคมเรืองรอง เบื้องล่างคือถนนที่มีรถม้าแล่นต่อกันดุจสายธาร ภายในบานหน้าต่างที่แง้มไว้มีเสียงเพลงชวนให้คนสะเทือนใจดังออกมา แม้อยู่ท่ามกลางค่ำคืนอันอึกทึกเช่นนี้ เสียงเพลงนั่นก็ยังได้ยินชัดเจนกระจ่าง
ภายในห้องหรูหราบนหอสูง ดรุณีสาวงามแฉล้มเกล้าเรือนผมสูงดั่งก้อนเมฆ ห่มกายด้วยแพรพรรณบางเบา กำลังไล้สายพิณขับขานบทเพลงผะแผ่ว เสียงเพลงดั่งอยู่ในห้วงฝันห้วงมายา มุมหนึ่งของห้อง มีบุรุษสองคนยิ้มน้อยๆ ฟังบทเพลงอยู่ ข้างกายพวกเขาต่างมีหญิงสาวงดงามสองนางเคียงข้าง
เมื่อจบเพลง บุรุษวัยกลางคนก็ปรบมือชมว่า “เพลงดี บทกวีดี สหายซ่งชั้นเชิงกวียอดเยี่ยมนัก มิแปลกที่ช่วยแม่นางหลิ่วชิงตำแหน่งยอดบุปผามาได้ แต่เกรงว่าคงจะล่วงเกินผู้อื่นแล้ว”
ชายหนุ่มสีหน้าเยือกเย็นอีกคนหนึ่งตอบพร้อมกับดวงตาเมามายพร่ามัว “พี่ซั่งกังวลเกินไปแล้ว หากมีคนถือโทษโกรธข้าเพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านี้จริง อย่างมากที่สุดข้าก็หลบหน้าไปสักระยะ พอเรื่องผ่านพ้นไป ก็น่าจะมิมีคนสักเท่าใดจดจำเรื่องนี้ได้แล้ว พี่ซั่งต่างหาก วันนี้เหมือนจะอารมณ์ดียิ่งนัก หรือว่าตั้งใจจะมาดูข้าขายหน้ากัน”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นหัวเราะฮ่าๆ แล้วผลักหญิงงามในอ้อมแขนออก เอ่ยกับชายหนุ่มผู้นั้นว่า “สหายซ่ง ต้องขอบคุณแผนการของเจ้า ระยะนี้ตอนบิดาข้าเรียกที่ปรึกษามาประชุมหารือจึงมักจะเอ่ยชมข้าอยู่บ่อยครั้ง เจ้ามีความดีความชอบเช่นนี้ แม้สิ่งอื่นข้ามิกล้าพูดถึง แต่เรือนเงาจันทร์ฝั่งนั้น เจ้าโปรดวางใจ ข้าจะเกลี้ยกล่อมพวกนางมิให้สร้างความลำบากให้เจ้าอย่างแน่นอน”