อวี๋หลุนได้ยินก็ยิ้มละไม ตอบว่า “ความจริงบิดาท่านก็เพียงหวังให้บุตรชายเป็นมังกร ดังนั้นในอดีตจึงกดดันพี่ซั่งมาก พี่ซั่งมีคุณสมบัติจะเป็นเสนาบดีกุมอำนาจราชสำนัก ผู้เป็นเสนาบดีหากเลือกใช้วาจาเก่ง ตัดสินใจตามสถานการณ์ได้ฉับไวย่อมเป็นเสนาบดีที่ดี บิดาของพี่ซั่งคงเห็นว่าท่านยอมรับความคิดเห็นโง่เขลาของน้อง ทั้งยังนำไปใช้ได้ถูกสถานการณ์ ดังนั้นจึงชมเชยพี่ซั่งมากขึ้นกระมัง
ยิ่งไปกว่านั้นแม่ทัพใหญ่ลู่ถึงอย่างไรก็เป็นเสาหลักค้ำจุนแผ่นดินหนานฉู่ บิดาท่านเพียงต้องการจะควบคุมเขาเพิ่มขึ้นสักหน่อย มิให้เขาเดินไปผิดทางก็เท่านั้น ความคิดเห็นตื้นเขินนั่นของข้าคงมิเคยอยู่ในสายตาของอัครมหาเสนาบดีซั่งหรอก”
ซั่งเฉิงเยี่ยสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจ เอ่ยอย่างลำพอง “นั่นย่อมแน่นอน ท่านพ่อมิมีทางเห็นเจ้าเด็กตระกูลลู่นั่นอยู่ในสายตาหรอก แล้วคนผู้นี้ยังคบหากับเจียงเจ๋อขุนนางสำคัญของต้ายง ขุนนางทรยศแห่งหนานฉู่ของพวกเรามานานปีอีก หากมิใช่เห็นแก่ที่คนผู้นี้ครองใจทหาร ท่านพ่อคงสำเร็จโทษเขาไปนานแล้ว”
อวี๋หลุนฉุกใจคิดบางสิ่ง จึงจงใจแสร้งเอ่ยว่า “โอ๊ะ พี่ซั่งพูดถึงฉู่โหวที่ตบแต่งองค์หญิงของต้ายงเป็นภรรยาคนนั้นหรือ แม้ผู้แซ่ซ่งก็รู้สึกว่าคนผู้นี้มิรักษาขนบธรรมเนียมยิ่งนัก แต่เขามีความสำเร็จเช่นวันนี้ได้ก็คงมิใช่คนธรรมดา ได้ยินว่าคนผู้นี้เคยช่วยจักรพรรดิต้ายงชิงบัลลังก์ แล้วยังช่วยฉีอ๋องปราบเป่ยฮั่น ความสามารถเช่นนี้ใต้หล้ายากจะหาพบ
แม่ทัพใหญ่ลู่ใช้กำลังของตนเพียงคนเดียวขับไล่กองทัพใหญ่สามทางของต้ายงให้ถอยกลับไปได้ ความสามารถเช่นนี้ก็มิธรรมดาอย่างยิ่งเช่นกัน ไม่แปลกที่ทุกคนล้วนกล่าวกันว่าพวกเขาสองคนเคยมีไมตรีระหว่างศิษย์อาจารย์ต่อกัน แต่แม่ทัพใหญ่ลู่ในฐานะที่เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งหนานฉู่ ก็สมควรเห็นแก่คุณธรรมตัดขาดญาติมิตรจึงจะถูก”
ซั่งเฉิงเยี่ยปรบมือเอ่ยว่า “นั่นน่ะสิ เจียงเจ๋อผู้นั้นทรยศบุญคุณเจ้าแผ่นดิน ทรยศแว่นแคว้นเพื่อลาภยศและความมั่งคั่ง เป็นขุนนางแต่กลับแต่งเจ้านายเป็นภรรยา ช่างผิดขนบธรรมเนียมไร้คุณธรรมอย่างแท้จริง แม้ลู่ช่านจะได้รับการสั่งสอนวิชาจากเขา แต่ตระกูลลู่ก็เป็นตระกูลขุนนางของหนานฉู่ สมควรเห็นแก่คุณธรรมตัดขาดญาติมิตรจึงจะถูก
แต่ลู่ช่านมิเพียงปกป้องเจียงเจ๋อในหลายๆ ด้าน ยังให้บุตรชายของตนเดินทางไปฉางอันอีก น่าสงสัยยิ่งนักว่าอาจจะลอบติดต่อศัตรู หากมิติดที่ความดีความชอบหนนี้ของเขา บิดาข้าไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปเด็ดขาด แล้วยังมีตระกูลจิงที่จยาซิงก็เป็นครอบครัวฝั่งมารดาของเจียงเจ๋อ ท่านพ่อตั้งใจจะกำจัดตระกูลจิง ลู่ช่านก็มาขัด มีอย่างที่ไหนจริงๆ”
อวี๋หลุนหัวเราะ “เรื่องนี้คงเป็นเพราะท่านอัครมหาเสนาบดีใจร้อนเกินไป แม่ทัพลู่ปกติเลื่องชื่อว่าแบ่งแยกรางวัลและบทลงโทษชัดเจน การกำจัดคนทั้งตระกูลอย่างไร้สาเหตุ เขาย่อมมิมีทางเห็นด้วย แต่พี่ซั่ง แม้ตระกูลจิงกับเจียงเจ๋อจะตัดขาดการติดต่อกันแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นตระกูลฝั่งมารดาของเจียงโหว ท่านอัครมหาเสนาบดีมิกลัวล่วงเกินคนผู้นี้หรือ”
ซั่งเฉิงเยี่ยตอบอย่างดูแคลน “หากมิใช่เห็นแก่หน้าแม่ทัพใหญ่ลู่ ท่านพ่อก็คงลงมือกับตระกูลจิงไปนานแล้ว แม้เจียงเจ๋อผู้นั้นชื่อเสียงดังกระฉ่อน แต่มากกว่าครึ่งก็เป็นเรื่องคุยโวเพื่อหน้าตาขององค์หญิงฉางเล่อผู้เป็นราชวงศ์ของต้ายงเท่านั้น ในอดีตท่านพ่อก็เคยพบคนผู้นี้มาก่อน หากมีความสามารถจริงๆ เหตุไฉนจะดูมิออก
คนผู้นี้บางทีอาจมีเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายอยู่บ้าง เรื่องแย่งชิงราชบัลลังก์ในตอนนั้นก็ลงแรงไปมิน้อยจริงๆ แต่หากบอกว่าเขาช่วยหลี่เสี่ยนกำราบเป่ยฮั่น ข้ากลับมิเชื่อ เขาบัณฑิตที่มิมีแรงจับไก่คนหนึ่งจะทำสิ่งใดได้เล่า เกรงว่าคงเพียงจับตามองฉีอ๋องหลี่เสี่ยนแทนจักรพรรดิต้ายงเท่านั้นกระมัง”
ฟังถึงตรงนี้ อวี๋หลุนก็ทราบแล้วว่าเบื้องบนของหนานฉู่ดูแคลนเจียงเจ๋ออย่างยิ่งจริงๆ เขาก็พอเดาได้อยู่เหมือนกัน เรื่องนี้บางทีอาจเป็นเพราะพวกซั่งเหวยจวินต้องการลดค่าของศัตรูเพื่อรักษาขวัญกำลังใจของผู้คน แต่เมื่อดูจากที่แม้แต่ซั่งเฉิงเยี่ยยังมิค่อยล่วงรู้ความสามารถของเจียงเจ๋อนัก ก็ทราบแล้วว่าพวกซั่งเหวยจวินอาจจะไม่เห็นคุณค่าของเจียงเจ๋อมากมายนักเช่นกัน
ในอดีตเขาเคยร่ำเรียนกับเจียงเจ๋อ จึงทราบว่าความคิดดูแคลนศัตรูเช่นนี้เป็นสิ่งอันตราย แต่เขาไม่คิดจะเปลี่ยนความเชื่อของซั่งเฉิงเยี่ย เพียงแย้มยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากท่านอัครมหาเสนาบดีให้คนทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป คิดว่าต้องทำสำเร็จเป็นแน่ ตระกูลจิงเองก็เป็นตระกุลขุนนาง ย่อมต้องมีลูกหลานไม่ดีอยู่สักคน หากพบคนที่มีความผิดคนหนึ่งก็จัดการคนหนึ่ง ต่อให้แม่ทัพใหญ่ลู่ต้องการปกป้อง เขายังจะสร้างความลำบากให้อัครมหาเสนาบดีเพียงเพื่อคนเพียงหนึ่งหรือสองคนหรือ”
ซั่งเฉิงเยี่ยดวงตาเป็นประกายวาววับ พอใคร่ครวญดูก็รู้สึกว่าวิธีการนี้เป็นไปได้ เขาครุ่นคิดอยู่นานก็เผยรอยยิ้มกระหยิ่มยิ้มย่อง หากใช้วิธีการนี้ มิเพียงจะทำให้ท่านพ่อสมความปรารถนา ยังจะโจมตีตระกูลลู่อย่างอ้อมๆ ได้ด้วย หากท่านพ่อได้ฟังจะต้องพออกพอใจอย่างยิ่งแน่นอน
อวี๋หลุนเห็นเช่นนี้ก็ทราบว่าซั่งเฉิงเยี่ยตกหลุมพรางแล้วจึงจงใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขาชำนาญดนตรีและบทกวีอย่างยิ่ง ยามพูดถึงผลงานหายากหรือผลงานที่มิถูกบันทึกไว้อย่างเป็นทางการก็เล่าได้เป็นคุ้งเป็นแคว ซั่งเฉิงเยี่ยลืมเลือนเรื่องที่คุยแทรกขึ้นมาเมื่อครู่อย่างรวดเร็วยิ่งนัก เอาแต่จมจ่ออยู่กับความบันเทิงเริงใจ
ยามดึกผู้คนสร่างซา แม้แต่บนถนนด้านนอกฝูงชนก็ค่อยๆ แยกย้าย ซั่งเฉิงเยี่ยสู้ฤทธิ์สุรามิไหวตั้งนานแล้ว เขาเกาะหญิงงามเดินเข้าไปหาความสำราญที่ห้องด้านใน อวี๋หลุนถือจอกสุรายืนอยู่ริมหน้าต่าง มองดูดวงจันทร์สว่างค่อยๆ จมลงสู่ทิศตะวันตก สีหน้าหม่นเศร้า ยามค่ำคืนมืดมิดคนสงัด เขามักจะขับไล่ความเดียวดายในหัวใจได้ยากอยู่เสมอ ดังนั้นปกติเขามักปล่อยตนเองมัวเมาอยู่กับดนตรีและนารีจวบจนฟ้าสาง
แต่คืนวันนี้มิเหมือนกัน เขาทราบว่าในที่ลับมีคนกำลังสอดส่องตนอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นคนเหล่านั้นเริ่มไล่คนที่เดินผ่านไปมาเพื่อมิให้ตนมีโอกาสปะปนหนีไปกับฝูงชนแล้ว แต่เขาจะให้โอกาสพวกนางสักหน เขาล้วงมือหยิบยาสร่างเมาเม็ดหนึ่งจากข้างเอวมากิน จากนั้นลอบโคจรลมปราณหลายรอบ เมื่อรู้สึกว่าพละกำลังและความคิดกลับมามั่นคงแล้ว เขาจึงวางมือบนกรอบหน้าต่างเบาๆ ร่างกายร่อนลงบนถนนประหนึ่งห่านป่าโบยบิน ราวกับบุปผาร่วงหล่นบนพสุธา เงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
เสียงอุทานตกใจแผ่วเบาดังออกมาจากเงามืด ไม่นานร่างของสตรีอาภรณ์เขียวนางหนึ่งพลันปรากฏตัวท่ามกลางสายหมอกยามเช้าอันเวิ้งวาง สตรีนางนั้นปิดหน้าด้วยผ้าแพรผืนบาง แม้เคลื่อนไหวอย่างแช่มช้า แต่กลับให้ความรู้สึกสูงส่งสง่างาม ด้านหลังร่างของนางมีหญิงรับใช้ผู้สวมชุดจอมยุทธ์สองนางตามมาติดๆ หญิงสาวสองคนนี้ต่างไม่ปิดบังใบหน้า เผยดวงหน้างามดุจบุปผาดั่งหยกงามออกมา มองพริบตาแรกก็ทราบว่าอายุมิพ้นยี่สิบปี แต่ปราณกระบี่ดุดันทั่วร่างของพวกนางกลับทำให้คนมิกล้าเชื่อว่าทั้งสองนางยังอายุมิถึงยี่สิบ
อวี๋หลุนมองสตรีทั้งสามนาง ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มมิแยแสโลกแล้วกล่าวว่า “ที่แท้เรือนเงาจันทร์มีมือกระบี่หญิงงดงามถึงเพียงนี้ ผู้แซ่ซ่งนับถือจริงๆ มิทราบว่าแม่นางทั้งหลายค่าตัวเท่าใดกันบ้างเล่า”
สตรีสองนางนั้นเผยจิตสังหารเย็นเยียบออกมาบนใบหน้า แม้สตรีคนที่อยู่ตรงกลางจะซ่อนใบหน้าอยู่ใต้ผืนผ้าบาง แต่ดวงตาก็เผยจิตสังหารเย็นยะเยือกออกมาเช่นกัน นางเอ่ยเสียงเย็นชา “ซ่งอวี๋ ในเมื่อเจ้าชอบกลับกลอก ถ้าเช่นนั้นหากข้าสังหารเจ้าก็มินับว่าเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์”
ซ่งอวี๋ยิ้มละไม กำลังจะเอ่ยตอบก็เห็นสตรีอาภรณ์เขียวผู้นั้นโบกมือ หญิงสาวสองนางพลันกุมกระบี่กระโจนเข้าหา ประกายกระบี่วาบวับ แผ่จิตสังหารนับอนันต์ หญิงสาวสองนางนี้วิชากระบี่โดดเด่น อีกทั้งยังร่วมมือกันอย่างเข้าขายิ่งนัก ชั่วขณะหนึ่ง ซ่งอวี๋จึงมือไม้ยุ่งเป็นพัลวัน หญิงสาวทั้งสองฮึกเหิมจึงยิ่งใช้กระบวนท่าสังหารออกมาอย่างต่อเนื่อง บีบให้ซ่งอวี๋ถอยร่นมิหยุด สตรีอาภรณ์เขียวนางนั้นพยักหน้าเบาๆ คล้ายกับว่าค่อนข้างพอใจวิชากระบี่ของหญิงรับใช้ทั้งสอง
ในตอนนี้เอง จู่ๆ สถานการณ์ก็พลิกผัน ซ่งอวี๋เซวูบเอนล้มไปด้านหลัง หญิงสาวทั้งสองจึงสะบัดกระบี่ฟันพร้อมกัน ชั่วขณะที่ชีวิตแขวนอยู่นเส้นด้าย ร่างกายของซ่งอวี๋พลันไถลลอดกระบี่ของทั้งสองราวกับมัจฉาแหวกว่าย ในขณะเดียวกันพัดในมือเขาก็ขยับชี้เบาๆ ประกายแสงสีดำสองสายแล่นหายเข้าไปในลำคอของหญิงสาวทั้งสองนางพร้อมกัน เรือนร่างอ้อนแอ้นของหญิงสาวทั้งสองสะท้านเฮือก ล้มฟุบลงไปในเวลาเดียวกัน
ฝ่ายซ่งอวี๋ยืนอยู่ด้านข้างราวกับมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น สีหน้าสตรีอาภรณ์เขียวผู้นั้นตกตะลึง สายตากวาดมองบนร่างหญิงสาวทั้งสองแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “ช่างเป็นอาวุธลับที่อำมหิตนัก แย้มยิ้มสังหารคน ท่านช่างจิตใจโหดเหี้ยมยิ่ง”