ใบหน้าของซ่งอวี๋เผยสีหน้าหยิ่งทะนงออกมาเลือนราง เขาหัวเราะหยันตอบว่า “ผู้แซ่ซ่งสังหารคนมานับมิถ้วน มิเคยรักหยกถนอมบุปผา สาวน้อยสองนางนี้ถือเป็นตัวอย่าง แม่นางยังอยากสู้กับผู้แซ่ซ่งหรือไม่”
สตรีอาภรณ์เขียวผู้นั้นตอบอย่างเย็นชา “ท่านช่างโอหังนัก ตอนข้าเลื่องชื่อลือนาม เกรงว่าท่านจะยังมิกราบอาจารย์ร่ำเรียนวิชาเสียด้วยซ้ำ รับกระบี่” เสียงยังมิทันจางหาย กระบี่คมกริบเล่มหนึ่งพลันแทงเข้าใส่หน้าอกของซ่งอวี๋ ร่างกายของซ่งอวี๋ลอยถอยตามปลายกระบี่ ทั้งสองคนราวกับเคยร่วมมือกันมาพันหมื่นหน ระหว่างคนกับกระบี่แทบมิมีช่วงว่างแม้แต่น้อย จังหวะที่กระบี่ใกล้จะสิ้นกำลัง พัดในมือของซ่งอวี๋พลันทะลวงออกมา กระบวนท่านี้ยอดเยี่ยมถึงที่สุด สตรีอาภรณ์เขียวผู้นั้นมิทันตั้งตัว ต้องรั้งกระบี่กลับมาขวาง ซ่งอวี๋อาศัยแรงส่งบุกโจมตี
ทั้งสองคนต่อสู้กันดุเดือดท่ามกลางสายหมอกบาง สตรีอาภรณ์เขียววิชากระบี่ล้ำเลิศ คมกระบี่สะท้อนแสงจันทร์ที่กำลังเคลื่อนคล้อยสู่ประจิมทิศ ประกายกระบี่ดั่งหิมะ ลำแสงเจิดจ้าดุจสายรุ้งห้อมล้อมร่างกายของทั้งสองคนไว้ด้านใน การเคลื่อนไหวของซ่งอวี๋ว่องไว เขาร่อนระบำท่ามกลางประกายกระบี่อย่างมิหยุดพัก พัดในมือเดี๋ยวหุบเดี๋ยวกาง แต่ละการเคลื่อนไหวล้วนลื่นไหลฉับไว ลอยล่องเป็นอิสระ มิแฝงจิตสังหารแม้แต่น้อย
ทว่าขอเพียงสตรีอาภรณ์เขียวผู้นั้นเผยช่องโหว่ออกมาแม้แต่เล็กน้อย กระบวนท่าของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมไร้เมตตา ทะลวงผ่านตาข่ายกระบี่ของสตีรอภารณ์เขียวอย่างเงียบเชียบ จู่โจมจุดสำคัญ บีบให้นางรั้งกระบี่ป้องกันตัว ต่อสู้กันมาหนึ่งร้อยสิบกระบวนท่า ทั้งสองคนก็ยังตัดสินกันไม่ได้ จิตสังหารในดวงตาของสตรีอาภรณ์เขียวผู้นั้นเข้มขึ้นกว่าเดิม สิบกว่าปีก่อนนางชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้า คิดมิถึงว่าวันนี้กลับถูกชายหนุ่มอายุน้อยกว่าตนเจ็ดแปดปีคนหนึ่งบีบจนเสมอกัน
ในตอนนี้เอง บนหอสูงอีกฝั่งหนึ่งพลันมีเสียงตวาดเบาๆ ดังขึ้น “หยุดมือ” หลังจากนั้นเงาสีม่วงร่างหนึ่งจึงเหินลงมา แยกสตรีอาภรณ์เขียวกับซ่งอวี๋ออกจากกัน
ทั้งสองคนเพ่งสายตามองก็พบว่าผู้มาเยือนคือผู้เฒ่าอาภรณ์ม่วงคนหนึ่ง หน้าตาเขาดูเที่ยงธรรม สีหน้าเคร่งขรึม แม้เขามิพกอาวุธมาด้วย แต่สองฝ่ามือขาวผ่องประหนึ่งหยกนั่นสว่างจนแสบตายิ่งนัก สมองของซ่งอวี๋มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
เขาทราบตัวตนของผู้เฒ่าคนนี้แล้ว คนผู้นี้ก็คือโอวหยวนหนิงยอดฝีมือผู้ซ่อนเข็มในแพรพรรณที่ซั่งเหวยจวินรับมาเป็นลูกน้องด้วยตนเอง ได้ยินว่าคนผู้นี้วรยุทธ์ล้ำลึกมิอาจหยั่ง เข้าใกล้ขอบขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแล้ว เขาเป็นคนสนิทของซั่งเหวยจวิน คิดมิถึงว่าจะปรากฏตัวที่นี่ เมื่อเดาตัวตนของคนผู้นี้ออก ซ่งอวี๋ก็แสดงสีหน้าเคารพนบนอบ มิกล้าส่งเสียงสักคำ ส่วนสตรีอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นขมวดคิ้วงามเล็กน้อย คล้ายยากจะตัดสินใจอยู่บ้าง
ผู้เฒ่าคนนั้นเอ่ยเรียบๆ “แม่นางเซี่ย คนผู้นี้คือสหายของคุณชายซั่ง ท่านอัครมหาเสนาบดีรู้เรื่องของเขาอยู่บ้าง ทุกคนล้วนทำงานให้ท่านอัครมหาเสนาบดี ไยต้องเข่นฆ่ากันเองด้วยเล่า เจ้านำความจากข้าไปบอกเจ้าตำหนักจี้กับเจ้าตำหนักเยี่ยน พวกนางย่อมเข้าใจ”
ในที่สุดสตรีอาภรณ์เขียวผู้นั้นก็ถอนหายใจยาว เสียบกระบี่คืนเข้าฝัก ยอบกายคำนับหนึ่งหนแล้วจึงหมุนตัวจากไป มินานสตรีวัยกลางคนหลายคนก็ปรากฏตัวขึ้นขนศพของหญิงสาวสองนางจากไป ผู้เฒ่าคนนั้นถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวขึ้นว่า “เดิมเป็นคนงาม ไฉนจึงมาเป็นโจร คิดมิถึงศิษย์สำนักโด่งดังในอดีต วันนี้กลับตกต่ำจนถึงขั้นนี้ ช่างน่าเสียดายน่าทอดถอนใจอย่างแท้จริง
ซ่งอวี๋ ข้าสืบมากระจ่างแล้ว เจ้าใช้นามคุณชายไร้รัก ก่อคดีใหญ่ในอาณาเขตหนานฉู่มานับมิถ้วน ผู้คนเรียกขานเจ้าว่ามือสังหารอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนาน จนกระทั่งหลายปีก่อนเจ้ากลับหายเงียบไร้ร่องรอย คิดมิถึงว่าเจ้ากลับมาซ่อนตัวอยู่ในเจี้ยนเย่ เจ้าเข้าใกล้คุณชายของพวกเรามีจุดประสงค์อันใด”
ในใจซ่งอวี๋ไม่มีความตระหนกแม้แต่น้อย แต่บนใบหน้ากลับแสดงสีหน้าลนลานกับเผยจิตสังหารเมื่อพบว่าถูกเปิดเผยตัวตน เขาตอบอย่างระแวดระวัง “ผู้อาวุโสโอวจะลงทัณฑ์ความชั่วเชิดชูความดีหรือ แม้ผู้แซ่ซ่งเคยสังหารคนเป็นอาชีพ แต่ยามนี้ก็ล้างมือในอ่างทองคำแล้ว การคบหากับคุณชายซั่งมิได้มีเจตนาใด”
เขาสัมผัสได้ว่าสายตาของผู้เฒ่าจับจ้องบนใบหน้าของตนไม่วางตา หากตนเองเผยพิรุธออกมาแม้เพียงเล็กน้อย จะต้องถูกผู้เฒ่าจู่โจมสายฟ้าแลบเป็นแน่ ทว่าสิ่งที่เขากล่าวมิมีคำลวงแม้แต่ครึ่งคำ การคบหาระหว่างเขากับซั่งเฉิงเยี่ยเป็นการกระทำที่มิมีจุดประสงค์อันใดจริงๆ เพียงแต่ยามนี้มันถูกเขาใช้ประโยชน์เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จก็เท่านั้น ส่วนการถูกเปิดโปงฐานะมือสังหาร แต่เดิมก็เป็นสิ่งที่เขาจงใจให้เกิดขึ้น เช่นนี้จึงจะอธิบายร่องรอยที่ยากจะค้นหาของเขาระหว่างสิบกว่าปีที่ผ่านมาได้
ผู้เฒ่าคนนั้นคลี่รอยยิ้มออกมาตามคาด “ข้ามิยุ่งเรื่องมิเป็นเรื่องเหล่านี้หรอก เพียงแต่รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ซ่งหมิ่น แต่เดิมเจ้าเป็นอัจฉริยะอายุน้อย น่าเสียดายตกต่ำกลายมาเป็นมือสังหาร ยามนี้ทิ้งความชั่วกลับมาสู่หนทางที่ถูกต้องก็นับว่ากลับตัวกลับใจแล้ว
ข้าสืบมาแล้ว เจ้าคบหากับคุณชายโดยมิมีจุดประสงค์แอบแฝงจริงๆ แต่ต่อให้เจ้าตั้งใจจะเข้าใกล้คุณชายเพื่อจะเป็นบันไดก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงกว่าก็มินับว่าเป็นเรื่องผิดประการใด ท่านอัครมหาเสนาบดีค่อนข้างเห็นค่าความสามารถของเจ้าจึงให้คนดึงคดีของเจ้าเก็บไปแล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไปจะมิมีผู้ใดสืบพบว่าเจ้าคือคุณชายไร้รัก ต่อให้เจ้าประสบความสำเร็จในเส้นทางที่ถูกต้องก็จะมิมีความยากลำบากประการใดอีก”
ซ่งอวี๋ทำสีหน้าประหลาด คล้ายกระอักกระอ่วนเล็กน้อยที่เรื่องราวสมัยวัยเยาว์ของตนถูกผู้เฒ่าสืบพบ แล้วก็เหมือนซาบซึ้งความเมตตาของซั่งเหวยจวินอย่างยิ่ง เขาค้อมกายต่ำคารวะ “ผู้เยาว์ใช้ชีวิตมาอย่างน่าละอาย ผิดต่อการสั่งสอนอย่างเคร่งครัดสมัยเก่าก่อน ทว่าผู้แซ่ซ่งเร่ร่อนทั่วแดนดิน หมดใจต่อเส้นทางขุนนางมานานแล้ว วานผู้อาวุโสบอกความรู้สึกของผู้เยาว์แก่ท่านอัครมหาเสนาบดีด้วย
แต่คุณชายซั่งมองผู้เยาว์เป็นดั่งพี่น้อง ดังนั้นผู้เยาว์จึงตั้งใจจะใช้ความคิดเพื่อคุณชายสักหน่อย หากท่านอัครมหาเสนาบดีรู้สึกว่ามิเหมาะสม ผู้เยาว์จะมิพบหน้าคุณชายซั่งอีกต่อไป”
ผู้เฒ่าคนนั้นแววตาเป็นประกายวูบหนึ่ง ท่าทีกลับกลายเป็นอ่อนโยนลง ตอบอย่างนิ่งสงบว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ในเมื่อเจ้ามิได้มุ่งหวังความสำเร็จบนเส้นทางขุนนาง ข้าก็มิฝืนใจ ขอเพียงเจ้าอยู่อย่างสงบเสงี่ยมก็พอ อย่าได้ลงมืออำมหิตเช่นนี้อีก หนนี้เห็นแก่หน้าข้า พวกนางจึงยอมรามือจากไป หากทราบว่าเจ้ามิได้อยู่ใต้การคุ้มครองของอัครมหาเสนาบดีซั่งแล้ว เจ้าต้องพบพานการแก้แค้นอันโหดร้ายอย่างแน่นอน ในเมื่อเจ้ากับคุณชายซั่งมีวาสนาได้รู้จักกันก็กำโอกาสเอาไว้ให้มั่นเถิด เจ้าจงทำตัวให้ดี”
ซ่งอวี๋ฟังจบ ในใจก็หัวเราะหยัน ทราบว่าผู้เฒ่าคนนี้กำลังบีบให้ตนเองทำงานให้ตระกูลซั่ง หากตนต้องการตีตัวออกหาก เกรงว่าคงจะมีภัยมาถึงตัว แต่สถานการณ์เช่นนี้อยู่ในการคาดการณ์อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงแสร้งเผยสีหน้าหวาดหวั่น จากนั้นจึงค้อมกายคำนับ “ขอบคุณผู้อาวุโสที่สอนสั่ง ซ่งอวี๋คารวะขอบคุณ”
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาอีกหน ผู้เฒ่าอาภรณ์สีม่วงก็หายไปอย่างไร้เงาคนแล้ว ซ่งอวี๋ยิ้มละไม แต่แล้วความเศร้าสร้อยเสี้ยวหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวใจ เขารับภารกิจเข้าใกล้ซั่งเฉิงเยี่ย อาศัยคนผู้นี้สร้างอิทธิพลต่อการตัดสินใจของซั่งเหวยจวิน ความอันตรายของภารกิจหนนี้มิถามไถ่ก็ทราบ ตอนแรกเขาลำพังตัวคนเดียวย่อมมิหวาดกลัวสิ่งใด แต่ยามนี้เขากลับมีห่วงเสียแล้ว ได้แต่หวังว่าจะมิพัวพันไปถึงหลิ่วหรูเมิ่ง
มิว่าอย่างไรซ่งอวี๋ก็คิดมิถึงว่าในยามนี้ บุรุษหน้าตาสง่างามคนหนึ่งกำลังมองมาที่เขาผ่านม่านไข่มุก จวบจนเงาร่างของซ่งอวี๋หายลับไป คนผู้นั้นจึงถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวกับบุรุษวัยกลางคนด้านหลังว่า “คนเช่นนี้เตร็ดเตร่อยู่ในเจี้ยนเย่ เหตุใดพวกเราจึงมิทราบ”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นตอบอย่างหวาดผวา “เจ้าตำหนัก นี่เป็นเรื่องที่ช่วยมิได้ อำนาจในเจี้ยนเย่ของตำหนักเฉินของพวกเราถูกตำหนักอี๋หวงกดเอาไว้ ข่าวสารย่อมมิว่องไว หากมิใช่เพราะสายสืบของพวกเราค้นพบว่าเจ้าตำหนักจี้เชิญผู้คุมกฎเซี่ยให้ลงมือก็คงยังมิทราบเรื่องนี้”
บุรุษใบหน้าสง่างามผู้นั้นก็คือเหวยอิง เขาเอ่ยอย่างเย็นชา “ซ่งอวี๋ผู้นี้ท่าทางมิธรรมดา ความคิดล้ำลึก เพียงดูจากที่เขามีความสามารถช่วยให้หลิ่วหรูเมิ่งช่วงชิงตำแหน่งยอดบุปผามาได้ก็ทราบแล้วว่าคนผู้นี้สติปัญญาเหนือกว่าผู้อื่น คนเช่นนี้สมควรชักชวนมาเป็นพวกจึงจะดี เจ้าตำหนักจี้กลับต้องการจะสังหารคนระบายความโกรธ ช่างสายตาตื้นเขินดั่งมุสิกเสียจริง”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นมิกล้าตอบคำ เพียงเงียบงันมิเอ่ยวาจา เหวยอิงหัวเราะหยันกล่าวว่า “แต่น่าเสียดายคนผู้นี้ตกอยู่ในกำมือของซั่งเหวยจวินแล้ว ข้าคงทำได้แต่ให้เขาเป็นศัตรู ส่งคนไปจับตาดูเขาไว้ รายงานกลับมาตลอดเวลา”
บุรุษวัยกลางคนขานรับ ดวงตาเหวยอิงทอประกายเย็นยะเยือก เขาสังหรณ์ว่าชายหนุ่มผู้นี้จะนำความลำบากครั้งใหญ่มาให้ตนเอง แต่หากลงมือสังหารเขาก็คงทำให้ซั่งเหวยจวินมีโทสะ เขายังมิคิดจะแตกหักกับตระกูลซั่ง จึงทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า “ศัตรูกระเหี้ยนกระหือรือจะลงมือแล้ว ทว่าที่แห่งนี้กลับเอาแต่ใช้เล่ห์เหลี่ยมต่อสู้กัน ช่างทำให้หัวใจคนเหน็บหนาวโดยแท้ เฮ้อ!”