Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 2 บทที่ 173 คำที่เคยเอ่ย กลัวหรือไม่
บทที่ 173 คำที่เคยเอ่ย กลัวหรือไม่
โดย
Ink Stone_Romance
งานเลี้ยงครอบครัวของตระกูลหนิงสงบสุขและรื่นเริง
ในเรือนแขวนโคมลวดลวยไว้เต็มไปหมด สาวใช้หญิงรับใช้เดินตัดผ่านข้างใน ในห้องโถงวางอาหารเรียงรายไว้สองโต๊ะ ภรรยา อนุภรรยา บุตรชาย บุตรสาวของหนิงเหยียนต่างนั่งล้อมคุยเล่นสนุกสนานอยู่
“ปีที่แล้วพี่สิบไม่ได้ฉลองเทศกาลที่เมืองหลวง” หนิงสืออีเอ่ยขึ้น ยกถ้วยสุราให้หนิงอวิ๋นเจา
หนิงอวิ๋นเจายิ้มยกขึ้นมา
“วันที่สิบห้าของหยางเฉิงครึกครื้นมากสินะ?” น้องสาวฝ่ายพ่อด้านข้างเอ่ยถามอย่างใคร่รู้
แทบทุกปีพวกนางจะต้องกลับบ้านเดิม แต่ล้วนเป็นปีใหม่หรือวันเกิดของท่านย่า วันที่สิบห้าเดือนแปดเวลาที่ไปทันกลับน้อย
“คึกคัก” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ยขึ้น “เมืองเล็กก็มีความครึกครื้นของเมืองเล็ก”
น้องสาวฝ่ายพ่อคนหนึ่งด้านข้างหัวเราะพรืดแล้ว
“เวลาอื่นไม่รู้ วันที่สิบห้าเดือนแปดปีที่แล้วพี่สิบต้องฉลองอย่างครึกครื้นแน่” นางเอ่ยพลางหลิ่วตาให้บรรดาพี่สาวน้องสาว “ถูกคนวิ่งไล่ตาม แล้วยังแต่งบทกวีให้พี่สิบอีกด้วย”
วันที่สิบห้าเดือนแปดปีที่แล้ว จวินเจินจินยังอยู่ที่หยางเฉิง ไล่ตามตระกูลหนิงทวงถามสัญญาแต่งงาน โวยวายจนหยางเฉิงเล่าลือกันทั้งเมือง ตระกูลหนิงบนล่างสุดจะทนกับการก่อกวนของนางปวดหัวไม่หมดไม่สิ้น
เรื่องเหล่านี้คนบ้านหนิงเหยียนที่เมืองหลวงต่างรู้เช่นกัน
เด็กๆ ที่โต๊ะล้วนหัวเราะ
“มิน่าพี่สิบรีบร้อนกลับมาจากหยางเฉิง”
“ปีนี้ดี อยู่ที่เมืองหลวงไม่ต้องกังวลใจแล้ว”
พูดถึงตรงนี้มีคนร้องเอ๋ทีหนึ่ง
“ไม่ถูก คุณหนูจวินคนนั้นก็มาเมืองหลวงแล้ว” เด็กสาวคนนี้เอ่ยขึ้น มองหนิงอวิ๋นเจา “พี่สิบ นางมากวนท่านอีกหรือไม่?”
หนิงสืออีที่ยกจอกสุราอยู่ด้านข้างกระแอมหลายที
หนิงอวิ๋นเจาสีหน้าอบอุ่น
“จะเป็นไปได้อย่างไร” เขาเอ่ย ดื่มสุราคำหนึ่ง
ที่จริงน่าจะเป็นเขากวนนาง
“พี่สิบอยู่ที่กั๋วจื่อเจี้ยนนะ ไม่ใช่ใครก็เข้าไปได้” หนิงสืออีเอ่ย
ใช่แล้ว ไม่ใช่ใครก็เข้าไปได้ นางก็ย่อมไม่ไป มีเพียงตนเองมักจะออกมา
หนิงอวิ๋นเจาดื่มสุราคำโตอีกครั้ง
แม้เป็นเช่นนี้ แต่หัวข้อสนทนาเกี่ยวกับคุณหนูจวินก็ยังคงดำเนินต่อไป
“คุณหนูจวินคนนั้นไม่ใช่เปิดโรงหมอ ต้องการอยู่ประจำที่เมืองหลวงรึ”
“เด็กสาวคนหนึ่งทำไมวิ่งมาถึงเมืองหลวงเปิดโรงหมอ นางก็ไม่ขาดแคลนเงิน ไม่แน่อาจยังไม่ตัดใจจากพี่สิบ”
“พี่สิบท่านต้องระวังไว้หน่อย”
“ได้ยินว่าร้ายกาจยิ่งนัก แม้กระทั่งหมอหลวงเจียงยังถูกด่าเลย”
“ตระกูลพวกเขามีราชโองการ..”
ได้ยินเสียงพูดคุยซ้ายขวา บนหน้าหนิงอวิ๋นเจายังคงมีรอยยิ้ม ถ้วยสุราที่ริมฝีปากยิ่งดื่มยิ่งช้า
“นั่งพักผ่อนเลิกพูดเรื่องของผู้อื่น” หนิงเหยียนได้ยินความครึกครื้นของฝั่งนี้ ขมวดคิ้วเอ่ยห้าม
บรรดาคนรุ่นเยาว์ที่ด้านนี้จึงเงียบลง บรรดาเด็กสาวซุกซนแลบลิ้นให้กัน ทานอาหารดื่มสุราต่อ
หยิบไหสุราขึ้นมากลับพบว่าไหสุราว่างเปล่าเสียแล้ว
“เอ๋? พี่สิบ ท่านดื่มสุราหมดแล้วหรือ?” เด็กสาวคนหนึ่งประหลาดใจเอ่ยขึ้น มองหนิงอวิ๋นเจาที่ยังยกถ้วยสุราดื่มอยู่
หนิงอวิ๋นเจามองถ้วยสุราของตนเอง
“สุราของบ้านเกิด ชั่วขณะไม่อาจยั้ง” เขายิ้มเอ่ย
“พี่สิบก็คิดถึงบ้านด้วย” บรรดาลูกพี่ลูกน้องหัวเราะ
หนิงอวิ๋นเจาก็หัวเราะด้วย ดื่มสุราที่เหลือในถ้วยคำเดียวหมด
“ห่างจากสอบขุนนางไม่ถึงครึ่งปีแล้ว วันเดียวก็ไม่อาจเสียเปล่า” หนิงเหยียนเอ่ย “ต้องข่มใจ”
หนิงอวิ๋นเจาวางถ้วยสุราลงขานรับ ยิ้มทานอาหาร
งานเลี้ยงเลิกราอย่างรวดเร็ว บรรดาลูกพี่ลูกน้องก็เตรียมตัวไปชมโคม หนิงอวิ๋นเจาย่อมตามไปด้วย เหมือนเช่นคนรุ่นเยาว์ทั้งหลายจากเมืองทิศใต้อ้อมไปถึงเมืองทิศเหนือ ยามค่ำคืนดึกดื่นทุกคนยังไม่หายสนุกก็แยกย้าย
“ข้าจะกลับกั๋วจื่อเจี้ยนเลย” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยกับพวกเขา “การเรียนวันพรุ่งนี้ยังต้องเตรียมก่อนสักหน่อย”
บรรดาลูกพี่ลูกน้องล้วนรู้ว่าเขาขยันขันแข็ง พยักหน้าบอกลา มองหนิงอวิ๋นเจาหายไปในราตรี เด็กสาวคนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
“พี่สิบดูไปแล้วไม่มีความสุขนะ” นางเอ่ย
คนอื่นร้องเอ๋
“เป็นไปได้อย่างไร? เขาก็ดูมีความสุขดีอยู่ตลอดนี่” ทุกคนเอ่ย
ก็ไม่มีอะไรแปลกนี่นา ทานอาหารดื่มสุราชมโคมแล้วยังทายปริศนาโคมเหมือนเดิม
ก็ใช่
แต่ตอนเห็นเขายิ้ม อย่างไรก็รู้สึกว่าเศร้าสร้อยอยู่บ้าง จะพูดถึงหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันก็ไม่มีอีก
เด็กสาวขมวดคิ้ว
“แค่ลางสังหรณ์ของผู้หญิง” นางเอ่ย
หนิงอวิ๋นเจาหยุดเท้าหันกลับไปมองทีหนึ่ง เวลานี้เขาออกจากถนนโคมไฟอันครึกครื้นมาแล้ว ยืนอยู่ในม่านราตรีสีเข้มทึบ มองไปทางฝั่งนั้นที่สว่างไสวดุจแดนเซียน
เขามองเงียบงันครู่หนึ่ง ถอยหายใจเบาๆ หนหนึ่ง หมุนตัวเดินหน้าต่อไป เข้าไปในม่านราตรี
คุณหนูจวินไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ทอดถอนใจครู่หนึ่ง แก้ข้อสงสัยสาเหตุการบังเอิญพานพบไม่กี่ครั้งระหว่างหนิงอวิ๋นเจากับนางแล้ว เรื่องนี้ก็จบลงเท่านี้
เทียบกับอารมณ์ของหนุ่มสาววัยเยาว์เหล่านี้ ปัญหาที่นางต้องเผชิญหนักหนายิ่งกว่า
“ตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงนี่มีปัญหาหรือ?”
เสียงฟางจิ่นซิ่วดังขึ้นหลังร่าง
คุณหนูจวินหมุนตัวมองเห็นนางเดินเข้ามา
“เจ้ามองอยู่สักพักแล้ว” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “ข้าดูแล้ว ไม่ใช่ของปลอม”
ปลอมย่อมไม่มีทางเป็นของปลอม
คุณหนูจวินยิ้ม
“ค่ารักษาที่ออกไปรักษาวันนั้นคือสองพันตำลึง” นางเอ่ย
ถ้าอย่างนั้นที่เพิ่มมาแปดพันตำลึงเล่า? ต้องไม่ใช่ให้โดยไร้สาเหตุแน่ ฟางจิ่นซิ่วสีหน้าเคร่งเครียด
“แปดพันตำลึงที่เพิ่มมาคือต้องการให้ข้าเปลี่ยนชื่อโรงหมอจิ่วหลิง” คุณหนูจวินเอ่ย มองฟางจิ่นซิ่วชี้ป้ายโรงหมอด้านนอกประตู
ฟางจิ่นซิ่วตะลึง
ข้อเรียกร้องประหลาดนี่
“คนที่เชิญข้าเยือนบ้านรักษาอาการป่วยวันนี้ก็คือ…ผู้หญิงของหัวหน้ากองพันลู่กรมสืบสวนฝ่ายเหนือ” คุณหนูจวินเอ่ย ในเมื่อตัดสินใจเป็นพรรคพวกแล้ว เรื่องบางเรื่องก็ต้องบอกนางให้รู้
ถึงกับเป็นหัวหน้ากองพันลู่…ยังเป็นผู้หญิงของหัวหน้ากองพันลู่
ภรรยาของหัวหน้ากองพันลู่คือองค์หญิงจิ่วหลี องค์หญิงจิ่วหลีย่อมไม่ใช่คำแทนว่าผู้หญิง ถ้าอย่างนั้นความหมายของผู้หญิงก็ชัดเจนยิ่งนัก
ฟางจิ่นซิ่วสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว
“ถ้าอย่างนั้นทำไม…” นางเอ่ย คำพูดออกจากปากก็เข้าใจ “องค์หญิงจิ่วหลิง”
ได้ยินผู้อื่นกล่าวชื่อของตนเอง ส่วนตนเองที่จริงก็อยู่ตรงหน้าคนผู้นี้ แต่คนอื่นกลับไม่รู้ ความรู้สึกนี้น่าสนใจยิ่งนัก คุณหนูจวินมองฟางจิ่นซิ่วอยากหัวเราะอยู่บ้าง นางรู้ว่านางนึกเหตุผลออกแล้ว
“รู้อยู่แล้วเชียวว่าชื่อนี้…” ฟางจิ่นซิ่วจะพูดอีก คิ้วขมวด
ตอนแรกอยู่ที่บ้านได้ยินว่าจวินเจินเจินเปลี่ยนชื่อเป็นจิ่วหลิง ฟางอวี้ซิ่วก็เคยพูดว่าชื่อซ้ำกับองค์หญิงจิ่วหลิง
พวกนางไม่รู้จักกับองค์หญิงจิ่งหลิงยังคิดได้ทันที หัวหน้ากองพันลู่เป็นสามีขององค์หญิงจิ่วหลิง ทั้งเป็นคนที่น่ากลัวขนาดนั้น ก็ไม่แปลกที่จะใส่ใจชื่อนี้ขนาดนี้
“กลัวหรือไม่?” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย
ฟางจิ่นซิ่วถลึงตามองนางทีหนึ่ง
“คิดไม่ถึงหัวหน้ากองพันลู่ไม่น่ากลัวขนาดนั้น ยังให้เงินเจ้าอีก” นางว่า “หากเป็นข้าคงตีเจ้าสักยก เงินสักอีแปะก็ไม่ให้”
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
ฟางจิ่นซิ่วไม่ได้หัวเราะอีก มองไปทางตั๋วเงินบนโต๊ะ
“พวกเราจะทำอย่างไร?” นางเอ่ยถาม
พวกเรารึ คุณหนูจวินยิ้ม
“ไม่รู้” นางเอ่ย “ข้ายังไม่ได้คิด เดินก้าวหนึ่งก็ว่ากันก้าวหนึ่งเถอะ”
ลู่อวิ๋นฉีคนนี้ ตอนนี้ไม่อาจใช้คนที่ตนเองเคยคุ้นคนนั้นมาคาดเดาการกระทำได้แล้ว จากคำพรรณนาและความหวาดกลัวของทุกคน การกระทำของลู่อวิ๋นฉีคนนี้ไม่อาจคาดเดา แล้วก็ไม่อาจหยั่งเชิงท้าทาย ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหวแล้ว ศัตรูไม่ขยับข้าไม่ขยับ ศัตรูเคลื่อนไหวก็รู้รับมืออย่างไร
ฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้วอยากจะพูด ด้านนอกประตูเสียงเอะอะพักหนึ่งก็ลอยมา
“เป็นนางพูดงั้นรึ?”
เสียงผู้เฒ่าคนหนึ่งด้านนอกประตูติดจะโกรธเกรี้ยว
“ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าถามนางเอง”
ฟางจิ่นซิ่วกับคุณหนูจวินยืนขึ้นมา เห็นผู้เฒ่าสีหน้ากรุ่นโกรธคนหนึ่งพุ่งเข้ามาจากนอกประตู ด้านหลังร่างเขาผู้หญิงคนหนึ่งกับผู้ชายสองคนตามมาด้วย นอกจากนั้นชาวบ้านไม่น้อยก็รวมตัวเข้ามา
“ท่านหมอจวิน เป็นเจ้าบอกกับผู้อื่นว่าโรคนี้ข้ารักษาได้หรือ? เจ้าบอกว่าข้ารักษาได้ข้าก็รักษาได้งั้นรึ? รักษาไม่หาย ข้าก็เป็นคนผิดหรือไง?” ผู้เฒ่าหน้าแดงสะบัดมือตะคอก “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? เจ้าพูดถึงตัวเจ้าเองก็ช่าง เจ้ายังจะยุ่งกับข้าทำอะไร?”
ฟางจิ่นซิ่วในใจถอนหายใจ
นี่ก็เป็นเรื่องช้าเร็ว ตั้งแต่หลังคุณหนูจวินเอ่ยว่าโรคที่คนอื่นรักษาไม่ได้ตนเองถึงจะรักษาคำพูดพรรค์นั้น
เมืองหลวงอยู่ไม่ง่ายเลยจริงๆ
……………………………………….