ภาค 1-2 บทที่ 174

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 2 บทที่ 174 เจ้าทำได้เจ้าทำสิ
บทที่ 174 เจ้าทำได้เจ้าทำสิ
โดย
Ink Stone_Romance
ประโยคนี้ตอนนั้นก็ไม่ควรพูดเช่นนี้

โอหังเกินไปจริงๆ

แต่ไม่โอหังจะยังเป็นนางหรือ?

ฟางจิ่นซิ่วมองคุณหนูจวินทีหนึ่ง คุณหนูจวินลุกขึ้นเดินมาถึงตรงหน้าผู้เฒ่าคนนี้แล้ว

“เกิดอะไรขึ้น?” นางเอ่ยถาม

“เจ้าถามข้า ข้าก็จะถามเจ้าอยู่” ผู้เฒ่าโกรธเกรี้ยวตวาด

“ท่านถามเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ยอย่างเกรงใจ

ราวกับไม่ได้รู้สึกว่าผู้เฒ่าคนนี้เอ่ยด้วยความโมโห แต่เป็นเอ่ยถามจริงๆ นางก็ตั้งใจตอบ

ผู้เฒ่าถูกย้อนถามถลึงตาใส่ เพลิงโทสะยิ่งเพิ่ม ชี้ด้านหลังร่าง

“เป็นเจ้าบอกกับพวกเขาว่าข้ารักษาอาการป่วยของนางได้ใช่ไหม?” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินมองไปด้านหลังร่างผู้เฒ่า ผู้หญิงคนหนึ่งสีหน้าลำบากใจก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง

“คุณหนูจวิน ไม่กี่วันก่อนหน้าข้ามาปรึกษาอาการ” นางเอ่ย พลางส่งป้ายชื่อมา “ท่านบอกข้าว่าอาการป่วยของนายหญิงบ้านข้าไม่หนักหนา รักษาหายดีได้”

คุณหนูจวินไม่ต้องมองป้ายชื่อก็จำนางได้ พยักหน้า

“ใช่แล้ว รักษาหายดีได้” นางเอ่ย

ผู้เฒ่าเป่าหนวดถลึงตาอีกครั้งทันที

“รักษาได้ เจ้าก็รักษาสิ” เขาตวาด “เจ้ารักษาได้ เจ้าไม่รักษา เจ้ายุให้คนเหล่านี้มาทะเลาะกันข้า!”

ผู้เฒ่าดูแล้วเกรี้ยวกราดยิ่งนัก ตวาดในโรงหมอจิ่วหลิงเสียงดังสะท้านหู คนที่ล้อมดูด้านนอกยิ่งมากขึ้นทุกที

ยังมีท่านหมอจำนวนหนึ่งเร่งเดินทางมาสอบถามข่าวด้วย

“เกิดอะไรขึ้น?” พวกเขาเอ่ยถาม

“นี่คือท่านหมอเฒ่าเฝิงแห่งโรงหมอไป๋เฉ่า” คนเดินถนนคนหนึ่งที่ตามดูความเป็นไปมาตลอดทางบอกเล่าแก่คนผ่านทางอย่างอารี “ท่านหมอเฝิงทุกคนรู้จักสินะ ถนัดจัดกระดูกที่สุด”

ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่พยักหน้า

ตระกูลเฝิงจัดกระดูกสืบต่อกันมาร้อยปีแล้ว ที่เมืองหลวงมีชื่อเสียงมาก

“นายหญิงของบ้านนี้น่ะ ตอนออกไปไหว้พระข้างนอกหกล้มขาหัก มาหาท่านหมอเฝิงต่อเสร็จ” คนเดินถนนเอ่ยบอก “แต่รู้สึกว่าเจ็บเดินไม่ได้มาตลอด ไม่ใช่โรงหมอจิ่วหลิงที่นี่มีหมอเทวดารึ เลยส่งคนมาปรึกษาอาการ กฎของหมอเทวดาโรงหมอจิ่วหลิงคืออะไร ทุกคนก็คงรู้สินะ?”

“มีเงิน” บรรดาชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ประสานเสียงตะโกน

โรงหมอจิ่วหลิงรักษาให้คนรวยเท่านั้น เป็นสิ่งที่คนเมืองหลวงรู้กันทั่วแล้ว คำเสียดสีมากมายยังแพร่ไปอย่างลับๆ

รักษาโรคเรื่องมีคุณธรรมเป็นบุญใหญ่หลวงเช่นนี้ถูกโรงหมอจิ่วหลิงเอาเงินมากำหนดแล้ว ไม่แปลกที่จะทำให้ผู้คนโกรธแค้น

บรรดาท่านหมอเบ้ปากยากปิดบังความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

สมควร

คนเดินถนนคนนั้นโบกมือ

“มีเงินย่อมเป็นด้านหนึ่ง” เขาเอ่ย “ยังมีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือนางประกาศว่าจะรักษาเฉพาะโรคที่ท่านหมอคนอื่นรักษาไม่หายเท่านั้น เมื่อนายหญิงคนนี้ส่งหญิงรับใช้ไปปรึกษาอาการ คุณหนูจวินคนนี้ก็บอกว่าท่านหมอเฝิงรักษาหายดีได้ ดังนั้นนางไม่รักษา”

“ท่านหมอเฝิงย่อมรักษาหายดีได้แน่” มีชาวบ้านตะโกนเอ่ยขึ้น

ตามหลักแล้วเวลานี้ควรตะโกนเช่นนี้ แต่เรื่องที่จะเล่าต่อก็ดันเป็นเรื่องเพราะประโยคนี้อีก

คนเดินถนนกระแอมทีหนึ่ง

“โรคบางอย่างรักษาหายดีได้ อาการบาดเจ็บบางอย่าง นั่นบาดเจ็บแล้วก็พูดแน่นนอนไม่ได้ ตัวอย่างเช่นขาหักเป็นท่อนไปแล้ว ท่านหมอคนหนึ่งจะทำให้มันหายดีไม่เสียหายได้หรือ? นี่ลำบากคนแล้ว” เขาเอ่ย

ถ้าอย่างนั้นความหมายก็คือท่านหมอเฒ่าเฝิงรักษาไม่หาย?

ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ตะลึงไป

“ใช่แล้ว โรครักษาได้ บาดเจ็บบางครั้งทิ้งโรคฝังลึกเอาไว้ เป็นสิ่งที่ยากเลี่ยง” ท่านหมอคนหนึ่งรีบเอ่ยท่าทางติดโกรธเกรี้ยว

คุณหนูจวินคนนี้ประกาศไปทั่ว โรคที่ผู้อื่นรักษาได้นางไม่รักษา โรคในใต้หล้านี้มากนัก นางบอกว่าพวกเขารักษาได้พวกเขาก็รักษาได้รึ ชาวบ้านเหล่านี้ก็ดันฟังแล้วเชื่อคำของนาง ก็ได้แต่ทะเลาะกับพวกเขา นี่ย่อมไม่ไหว

คำพูดนี้ได้รับการยอมรับจากท่านหมอคนอื่นทันที ทุกคนพากันคล้อยตาม

“ดังนั้นก็เพราะโรงหมอจิ่วหลิงบอกว่าท่านหมอเฒ่าเฝิงรักษาหายดีได้ ครอบครัวนี้จึงคิดว่าท่านหมอเฒ่าเฝิงต้องรักษาหายดีได้แน่ ไม่ว่าท่านหมอเฒ่าเฝิงอธิบายอย่างไร พวกนางก็ไม่ฟัง เอาแต่โทษท่านหมอเฒ่าเฝิงไม่ทุ่มเทใจ ยังพังโรงหมอของท่านหมอเฒ่าเฝิงอีกด้วย”

ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ฮือฮา

พังโรงหมอของผู้อื่น นี่เกินไปแล้ว

“ก็เพราะคุณหนูจวินพูดคำนี้”

“คุณหนูจวินบอกว่ารักษาหายดีได้ก็รักษาหายดีได้เรอะ”

“นางบอกว่ารักษาหายดีได้นางก็รักษาสิ นี่ไม่ใช่รังแกผู้อื่นหรือ”

เสียงถกเถียงของผู้คนดังโหวกเหวกทันที มองไปทางโรงหมอจิ่วหลิงสีหน้าล้วนโกรธแค้นด้วยคุณธรรมคับอก

เจียงโหย่วซู่ยืนอยู่มุมถนนสีหน้าก็ทะมึนเช่นกัน

“ท่านอาจารย์ พวกเราไปดูไหมขอรับ” ศิษย์ด้านข้างเอ่ยถามเสียงเบา “หนุนหลังท่านหมอเฒ่าเฝิง”

เจียงโหย่วซู่ส่ายศีรษะ

“พวกเราล้วนเป็นหมอ หนุนหลังเขานับว่าหนุนหลังอะไร” เขาเอ่ย สายตากวาดไปทางผู้คนที่รวมตัวอยู่ที่โรงหมอจิ่วหลิง “บรรดาชาวบ้านหนุนหลังเขาถึงนับว่าหนุนหลังจริงๆ”

ศิษย์พยักหน้า

“ไม่ผิด เป็นเวลาให้บทเรียนแก่โรงหมอจิ่วหลิงแห่งนี้สักครั้งแล้ว” เขาก็เอ่ยอย่างไม่พอใจเช่นกัน “ให้นางรู้ว่าคำพูดเหล่านี้พูดส่งเดชไม่ได้”

ด้านในโรงหมอจิ่วหลิงท่านหมอเฒ่าเฝิงโกรธจนหายใจไม่ทัน

“เจ้าบอกสิรักษาอย่างไร? เจ้าบอกสิรักษาอย่างไร?” เขาอารมณ์พลุ่งพล่านคำพูดไม่เป็นประโยค

เขามีชีวิตนานขนาดนี้แล้ว เป็นหมอมาหลายปีขนาดนี้ ได้รับความเคารพนับถือจากชาวบ้านอย่างมาก เพิ่งเป็นครั้งแรกที่ถูกคนพังโรงหมอ

ที่ทุบคือหน้าของเขา คือเกียรติยศร้อยปีของโรงหมอไป๋เฉ่า

“เจ้าบอกว่ารักษาได้ เจ้ารักษา เจ้ารักษาสิ” ท่านหมอเฝิงเสียงสั่นเอ่ยขึ้นท่าทางเด็ดขาด “เจ้ารักษาหายดี ข้าคุกเข่าให้เจ้า ข้าปิดโรงหมอไป๋เฉ่าแห่งนี้ ข้าไม่เป็นหมออีกต่อไป”

ดูเอาเถิด บีบคั้นท่านหมอเฒ่าคนนี้ถึงขั้นไหน รังแกคนหนักหนาเกินไปแล้วจริงๆ

ชาวบ้านด้านนอกส่งเสียงอื้ออึงทันที

“เจ้ารักษาสิ”

“เจ้าทำได้ เจ้าทำสิ”

เสียงตะโกนโถมเข้ามาในโรงหมอจิ่วหลิง แทบจะพลิกตลบหลังคา

เฉินชีจิ๊ปาก ส่วนฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้ร้อนรนกังวล

เจ้าทำได้ เจ้าทำสิ

คำพูดนี้กับผู้อื่นเป็นการข่มขู่ แต่กับผู้หญิงคนนี้ย่อมไม่ใช่

นางลงมือนางย่อมทำได้ ดังนั้นที่หอจิ้นอวิ๋นจึงชนะเงินมากมายขนาดนั้น ทำให้คนที่สนุกกับการรอชมความทุกข์ของผู้อื่นกลุ่มหนึ่งแพ้กระอักเลือด

คุณหนูจวินมองท่านหมอเฒ่าที่อารมณ์พลุ่งพล่าน รวมถึงครอบครัวของผู้ป่วยที่ถูกการทะเลาะกันครั้งนี้ทำให้กลัวจนวิตกอยู่บ้าง

“ได้ อย่างนั้นพวกเราไปดูด้วยกันเถอะ” นางเอ่ย

และตอนที่ท่านหมอเฒ่าเฝิงกับครอบครัวคนป่วยยื้อๆ ยุดๆ ออกเดินทางนั่นเอง องครักษ์เสื้อแพรก็แจ้งข่าวไปถึงตรงหน้าลู่อวิ๋นฉีแล้ว

เพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยว่าไม่อยากเห็นชื่อโรงหมอจิ่วหลิงชื่อนี้

ก่อนหน้านั้นอีกเขาก็พูดแล้วว่าไม่ชอบชื่อนี้ วันนี้ยังพูดต่อว่าไม่อยากเห็น นั่นหมายความว่าเขาไม่คิดจะทนการมีอยู่ของโรงหมอจิ่วหลิงแห่งนี้แล้วจริงๆ

“ใต้เท้า นี่เป็นโอกาสหนึ่ง พวกเราแทรกเข้าไปเกี่ยวได้” ลูกน้องโค้งเอ่ย

หัวหน้ากองร้อยเจียงที่ยืนอยู่ด้านข้างลู่อวิ๋นฉีพยักหน้าทันที

“ใต้เท้า ข้าจะไปจัดการ” เขาเอ่ย

ลู่อวิ๋นฉีส่ายศีรษะ

“ไม่รีบร้อน” เขาเอ่ย “บางทีอาจไม่จำเป็น”

หัวหน้ากองร้อยเจียงเข้าใจความหมายของเขา

โรงหมอจิ่วหลิงแห่งนี้ต้องยิ่งทะเลาะกับบรรดาท่านหมอคนอื่นร้ายแรงขึ้นทุกทีแน่ ไม่ต้องให้พวกเขาลงมือก็เปิดที่เมืองหลวงต่อไปไม่ได้แล้ว

“เช่นนี้ดีกว่า” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยสั้นๆ ออกมาอีกครั้ง

โรงหมอจิ่วหลิงเป็นเครือเดียวกับเต๋อเซิ่งชาง ตระกูลฟางแห่งเต๋อเซิ่งชางมีราชโองการ แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็หลบเลี่ยงไม่เอ่ยถึง

หากลงมือกับโรงหมอจิ่วหลิงจริงๆ เต๋อเซิ่งชางย่อมต้องออกหน้าปกป้อง ส่วนที่พึ่งของพวกเขาย่อมเป็นราชโองการ

ไม่ใช่จะบอกว่าพวกเขากลัวราชโองการของเต๋อเซิ่งชาง แต่ราชโองการหยิบออกมาสุดท้ายย่อมทำให้ฮ่องเต้ลำบากอยู่บ้าง

ทำให้ฮ่องเต้ลำบากเป็นเรื่องที่องครักษ์เสื้อแพรไม่ควรทำเด็ดขาด

แต่หากบรรดาท่านหมอรวมถึงบรรดาชาวบ้านออกหน้า โรงหมอจิ่วหลิงชื่อเสียงเหม็นโฉ่ย่อมไม่อาจลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองหลวงได้ นั่นก็ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใดแล้ว เต๋อเซิ่งชางหยิบเอาราชโองการออกมาห้ามการบังคับของทางการได้ แต่ควบคุมจิตใจคน บีบให้ทุกคนเชื่อถือให้เกียรติโรงหมอจิ่วหลิงได้หรือไม่

หัวหน้ากองร้อยเจียงขานรับพาคนถอยออกไป

ในห้องตกสู่ความเงียบ ลู่อวิ๋นฉีมองม้วนสารบนโต๊ะ ในหัวฉายภาพท่านหมอที่เรียกว่าคุณหนูจวินคนนั้น

จิ่วหลิง

ดวงตาของเขาจ้องนิ่ง

โรงหมอจิ่วหลิง

ในดวงตาของเขาปรากฏความเกลียดชังบางอย่างออกมาอีกครั้ง

เจ้าคู่ควรรึ

……………………………………….