ตอนที่ 249-1 ความจริง (ปลาย)
ครึ่งชั่วยามต่อมา ใต้เท้าเจ้าสำนักก็พาลูกน้องเข้ามา พวกลูกน้องแบกบุรุษมาคนหนึ่งกลับมายังโพรงไม้
“ใช่คนนี้หรือไม่” ใต้เท้าสำนักถามเรียบๆ
เฉียวเวยแหวกเส้นผมที่ปิดหน้าเขาออก ใช่ไซน่าอิงจริงๆ แต่เหตุใดจึงสลบอยู่
ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตาใส่ “ตอนข้าหาเขาพบ เขาก็อยู่ในสภาพนี้แล้ว เจ้าอย่าคิดว่าข้าเป็นคนทำเชียว”
เฉียวเวยจับชีพจรของไซน่าอิง เพียงสลบไปเท่านั้น ไม่มีปัญหาหนักหนาอย่างอื่น
“คนก็หาพบแล้ว จะไปได้หรือยัง” ใต้เท้าเจ้าสำนักถามอย่างไม่สบอารมณ์ ทุกครั้งที่พบสตรีนางนี้ล้วนไม่เคยมีเรื่องดี แต่เขาไม่มีทางยอมรับหรอกว่าตนเองกลัวจนจะเก็บไปเป็นปมในใจอยู่แล้ว!
“เจ้าพบเขาที่ใด” เฉียวเวยถาม
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างไม่แยแส “ในกระท่อมไม้ไผ่หลังน้อยฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ ทำไม คิดจะกลับไปสืบว่าจริงหรือโกหกหรืออย่างไร ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปเอง ข้าไม่ไปด้วย!”
หมิงซิวยังอยู่ที่ปราสาทไซน่า จะเอาเวลาที่ไหนไปสืบว่าจริงหรือโกหก รีบกลับถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ
เฉียวเวยลากไซน่าอิงออกจากโพรงต้นไม้ ทว่าพอตัวก้าวพ้นออกไปแล้วจู่ๆ ก็เลี้ยวกลับมา นางเหลือบมองริมฝีปากซีดขาวไร้สีเลือดของใต้เท้าเจ้าสำนัก ก่อนจะล้วงขวดกระเบื้องน้อยใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วโยนให้เขา “สภาพของเจ้าคล้ายกับสามีข้าอยู่บ้าง นี่คือเลือดของเสี่ยวไป๋ บางทีอาจมีประโยชน์กับอาการบาดเจ็บของเจ้า”
จิตใจของเสี่ยวไป๋ถูกทำร้ายแสนสาหัส เอาเลือดของข้าไปตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดข้าไม่เห็นรู้เรื่อง!
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงหยันพลางทำหน้ารังเกียจ
“ไม่เอาก็คืนมาให้ข้า!”
เฉียวเวยเอื้อมมือจะไปหยิบ ใต้เท้าเจ้าสำนักรีบยัดขวดไว้ในอกเสื้อ
เฉียวเวยเหล่มองเขา แล้วแบกไซน่าอิงเดินออกจากป่าไปพร้อมกับสือชี เมื่อใกล้ถึงหุบเขาก็ส่งสัญญาณให้พวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ย พวกเขารวมตัวกันใกล้หุบเขา ต้าไป๋นำทางอยู่ด้านหน้าคอยพาทุกคนออกไปจากหุบเขาเช่นเดิม
พอเดินตามต้าไป๋ก็ไม่พบเจอสิ่งน่ากลัวเหล่านั้น นี่เป็นเรื่องประหลาดยิ่งนัก
ฟ้าสางพวกเฉียวเวยพาไซน่าอิงกลับมาถึงปราสาทไซน่า ไซน่าฮูหยินร่ำไห้ถลาเข้ามาหา หญิงรับใช้ประคองนางเข้ามาในห้อง อี้เชียนอินแบกไซน่าอิงขึ้นมาวางบนเตียง
ประมุขตระกูลไซน่าเห็นหลานชายของตนสลบไม่ได้สติ สีหน้าก็ไม่ค่อยดีนัก สั่งให้องครักษ์เชิญหมอมาทันที หลังจากหมอตรวจเสร็จก็บอกว่าเขาเพียงสลบไปเท่านั้น ไม่มีร่องรอยของการถูกพิษหรืออาการบาดเจ็บ
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” ประมุขตระกูลไซน่าถามเสียงเข้ม
อี้เชียนอินเห็นท่าทางเหมือนจะสอบสวนความผิดของเขาก็ขัดหูขัดตานัก จึงตอบอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ถามมาได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าไม่มีตาจึงมองไม่เห็น หรือว่าเจ้าหูหนวกจึงไม่ได้ยินคำวินิจฉัยของหมอ”
“เด็กเหลือขอ!” ประมุขตระกูลไซน่าตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ
อี้เชียนอินโต้อย่างปากคอเราะราย “เจ้าต่างหากตาเฒ่าเหลือขอ! พวกข้าหวังดีตามหาคนกลับมาให้ แต่เจ้ากลับมาใส่ร้าย สงสัยว่าพวกข้าทำเขาสลบ! ข้าว่าเจ้าน่ะ ไม่ใช่แค่ตาฝ้าฟาง แต่ยังแก่จนเลอะเลือน จิตใจก็มืดบอด ควรลงจากตำแหน่ง ให้บุตรชาย หลานชายเจ้ารับตำแหน่งต่อได้แล้วกระมัง!”
ประมุขตระกูลไซน่าโมโหแทบล้มหงายหลัง!
จีหมิงซิวยกชาที่เย็นพอประมาณแล้วมาวางใกล้มือเฉียวเวย ส่วนตนเองหยิบชาอีกถ้วยหนึ่งขึ้นมาจิบนิดๆ แล้วกล่าวขึ้นว่า “ประมุขตระกูลไซน่า พวกข้าไม่มีเหตุให้ต้องเป็นศัตรูกับไซน่าอิง จุดนี้ เจ้ารู้ดีกว่าผู้ใด”
ประมุขตระกูลไซน่าตอบอย่างดูแคลน “เหอะ บางทีพวกท่านอาจแค้นที่เขาใช้กลไกกับพวกท่านที่บึงน้ำจึงอยากหาโอกาสแก้แค้นเขาก็ได้!”
จีหมิงซิวตอบด้วยท่าทางสบายๆ “ต่อให้พวกข้าใจแคบถึงเพียงนั้นจริงก็ต้องรอให้จั๋วหม่าน้อยมีอำนาจมั่นคงในเผ่าก่อนค่อยเล่นงานตระกูลไซน่าของพวกเจ้า ยามนี้ปีกของนางยังไม่แข็งแรง อยู่ในช่วงที่ต้องการใช้งานคน ตระกูลปี้หลัวก็ไม่ยอมสนับสนุนนาง ในช่วงเวลาสำคัญนี้การล่วงเกินตระกูลไซน่าของพวกเจ้าไม่ใช่การกระทำที่ฉลาด”
คำพูดนี้นับว่ากล่าวได้ตรงจุด ความจริงตั้งแต่พริบตาที่พวกเขาพาไซน่าอิงกลับมา ประมุขตระกูลไซน่าก็ลดความระแวงลงไปแล้วมากกว่าครึ่ง ยามนี้แม้แต่ความระแวงอีกครึ่งน้อยที่เหลือนั่นก็ไม่มีแล้ว
จีหมิงซิวกล่าวต่อว่า “สภาพของไซน่าอิงคงไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุอย่างแน่นอน ประมุขตระกูลไซน่าก็คงรู้แก่ใจดี”
ประมุขตระกูลไซน่าตอบ “ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีโปรดวางใจ วันหน้าไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าล้วนจะไม่สงสัยพวกท่านโดยง่าย”
จีหมิงซิวถามอีกว่า “ประมุขตระกูลไซน่าสงสัยผู้ใดหรือไม่”
ประมุขตระกูลไซน่าหน้าถมึงทึง “ต้องเป็นฝีมือของพวกตระกูลปี้หลัวอีกแน่! ตอนแรกก็หาจั๋วหม่าน้อยตัวปลอมมาคนหนึ่ง ต่อจากนั้นก็ทำร้ายหลานชายของข้า เพื่อให้ตำแหน่งมั่นคง อุบายสกปรกอะไรพวกเขาก็ใช้ได้ทั้งนั้น!”
จีหมิงซิวไม่ค้าน เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “คนที่อยู่เบื้องหลังคงมีจุดประสงค์อื่น หากไม่ต้องการเปิดช่องว่างให้ฝั่งตรงข้ามฉกฉวยโอกาส พวกเราสองฝ่ายก็สมควรจริงใจต่อกันใช่หรือไม่”
ประมุขตระกูลไซน่าชะงัก “คำพูดนี้ ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีหมายความว่าอย่างไร”
จีหมิงซิวถอนหายใจเศร้าแล้วกล่าวว่า “แม้แต่ความผิดหลอกลวงเบื้องสูง ข้าก็สารภาพให้ประมุขทราบแล้ว แต่ประมุขกลับปิดบังทุกสิ่งกับพวกข้า ช่างทำให้คนหนาวเหน็บหัวใจจริงแท้”
ประมุขตระกูลไซน่าพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ “ปิดบังอันใด ท่านเอาอะไรมาพูด”
จีหมิงซิวถามเอื่อยเฉื่อย “เรื่องที่เยียนฮูหยินเป็นน้องสาวของไซน่าฮูหยิน พวกเจ้าคิดจะบอกพวกข้าเมื่อใด”
ประมุขตระกูลไซน่าสะอึกทันที
จีหมิงซิวว่าต่อ “พวกเจ้าทุ่มเทกำลังมากมายปานนั้นเพื่อตามหาจั๋วหม่าน้อย คงไม่ใช่เพราะต้องการให้เหอจั๋วมีชีวิตต่อนานขึ้นอีกหน่อยเพียงอย่างเดียวจริงๆ หรอก เรื่องนี้ พวกเจ้าคิดจะบอกพวกข้าเมื่อใด”
“อะแฮ่ม” ประมุขตระกูลไซน่ากระแอม สีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย “เรื่องที่ต้องการให้เหอจั๋วมีชีวิตอยู่นานขึ้นอีกสักหน่อยเป็นเรื่องจริง หากเหอจั๋วจากไป ขณะที่จั๋วหม่ายังไม่เลิกเก็บตัวฝึกวิชา ภายในเผ่าคงโกลาหล…”
จีหมิงซิววางถ้วยในมือลง “ในเมื่อประมุขตระกูลไซน่าไม่คิดจะคุยกันด้วยความจริงใจ ถ้าเช่นนั้นพวกข้าก็ขอตัวลา เสี่ยวเวย พวกเราไป”
“ได้!”
เฉียวเวยลุกขึ้นยืนอย่างฉับไว
ลึกลงไปในดวงตาของประมุขตระกูลไซน่าปรากฏแววตาละล้าละลัง อึกอักอยู่นานในที่สุดก็พ่ายแพ้ให้แก่อุบายยั่วยุแม่ทัพของจีหมิงซิว “…ช้าก่อน!”
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยยหยุดฝีเท้า
ประมุขตระกูลไซหน้าตวัดสายตามององครักษ์กับหญิงรับใช้ในห้องโถง “พวกเจ้าถอยออกไปก่อน เรียกฮูหยินมา”
“ทราบ”
ทุกคนถอยออกไป หญิงรับใช้เรียกไซน่าฮูหยินมา ไซน่าฮูหยินขอบตาแดงก่ำ นางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวถัดจากประมุขตระกูลไซน่า เมื่อเห็นบรรยากาศในห้องแปลกพิกลจึงหันไปถามพ่อสามีของตนเบาๆ “ท่านพ่อ นี่เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
ประมุขตระกูลไซน่าวางหน้าไม่สนิทนัก เขากระแอมหนหนึ่งแล้วบอกว่า “บอกความจริงกับพวกเขาเถิด”
“ความจริงอันใดเจ้าคะ” ไซน่าฮูหยินจับต้นชนปลายไม่ถูก
ประมุขตระกูลไซน่าตอบว่า “หมายถึงความจริงทั้งหมด เรื่อง…ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับจั๋วหม่าพวกนั้น”
“อ้อ…” ไซน่าฮูหยินตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะหันมองเฉียวเวย แววตาลุกลี้ลุกลนปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง หลังจากนั้นนางก็ก้มหน้า กำชายเสื้อแน่น
เฉียวเวยเอ่ยขึ้นมาอย่างเฉยเมย “ไซน่าฮูหยินมีสิ่งใดก็บอกออกมาเถิด ซ่อนไว้ตั้งหลายวันแล้ว ต่อให้คนมีความอดทนมากอีกเท่าใดก็คงถูกท่านทำให้หมดความอดทน หากความอดทนหมดลงเมื่อใด ถึงท่านมีความทุกข์ใจประการใด ข้าก็ไม่อยากฟังแล้ว”
ไซน่าฮูหยินหมดหนทาง จึงได้แต่เล่าความจริงออกมาทั้งหมด
ที่แท้ไซน่าฮูหยินกับเฮ่อหลันชิงเป็นสหายที่คบหากันมาตั้งแต่เล็กจนโต นางเคยเป็นสหายร่วมเรียนของเฮ่อหลันชิง แต่ไม่ใช่คนใกล้ชิดที่เฮ่อหลันชิงเชื่อใจที่สุดดังที่นางคุยโม้โอ้อวดเอาไว้ ตอนอายุน้อยไซน่าฮูหยินค่อนข้างชอบการเอาชนะ ผู้อื่นทนนิสัยของเฮ่อหลันชิงไม่ได้ นางก็จะฝึกม้าป่าตัวนี้ให้เชื่องให้จงได้ แต่น่าเสียดายดื้อดึงอยู่เคียงข้างเฮ่อหลันชิงตั้งหลายปี นอกจากถูกเฮ่อหลันชิง ‘ทรมาน’ จนจิตใจแทบแหลกสลายก็ไม่อาจเปลี่ยนเฮ่อหลันชิงได้แม้แต่น้อย ถึงกระนั้นตอนแรกความสัมพันธ์ระหว่างเฮ่อหลันชิงกับนางก็ยังนับว่าพอคบหากันได้ ทว่าตอนทั้งสองคนอายุสิบกว่าปีนั่นเอง ความสัมพันธ์ที่นับว่าปรองดองนี้ก็แตกร้าวเพราะเหตุการณ์หนึ่ง