ตอนที่ 249-2 ความจริง (ปลาย)
จั๋วหม่าไม่ชอบศึกษาเล่าเรียน นิสัยก็เลวร้าย บุรุษทั้งเกาะไม่มีผู้ใดกล้าสู่ขอนาง แต่เหอจั๋วในเวลานั้นถูกใจบุตรชายของประมุขตระกูลไซน่า อยากจะให้เขามาเป็นสามีของเฮ่อหลันชิง เฮ่อหลันชิงเองก็คงทราบว่าตนเองหาคู่ครองยากจึงพยักหน้ายินยอม
ทว่าผู้อื่นไม่ยินยอมด้วยเสียหน่อย พอบุตรชายของประมุขตระกูลไซน่าได้ยินว่าตนต้องแต่งงานกับนางยักษ์ตนนั้นก็ตกใจจนหนีออกจากเกาะทั้งที่เป็นเวลากลางคืน ประมุขตระกูลไซน่าส่งคนไปตามจับบุตรชายกลับมา คิดจะบังคับให้ลูกชายสู่ขอเฮ่อหลันชิง แต่บุตรชายอดอาหารประท้วง สุดท้ายไม่รู้ทะเลาะกันอย่างไรเรื่องจึงไปถึงเหอจั๋ว เหอจั๋วไม่ต้องการฝืนใจคนให้ลำบากใจจึงยกเลิกการแต่งงานหนนี้
เฮ่อหลันชิงเคยพบหน้าบุตรชายตระกูลไซน่าอยู่ไม่กี่หน จะบอกว่าชอบพอก็ไม่ใช่ แต่เรื่องที่บุตรชายตระกูลไซน่ายอมตายไม่ยอมสู่ขอนางทำให้นางกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเผ่า นางจึงหาสถานที่แห่งหนึ่งซ้อมอีกฝ่ายอย่างทารุณจนน่วม กระดูกซี่โครงหักไปสามท่อน
เรื่องนี้หากจบเพียงเท่านี้ก็ยังมิเท่าไร แต่ไซน่าฮูหยินกลับได้รับคำสั่งจากเหอจั๋วให้เดินทางไปเยี่ยมเยียนบุตรชายของตระกูลไซน่า ไซน่าฮูหยินทั้งอ่อนโยนทั้งเอาใจใส่ ใช้เวลาไม่เท่าไรก็ทำให้หัวใจที่ได้รับบาดเจ็บดวงนั้นของอีกฝ่ายหวั่นไหว
ต่อจากนั้นตระกูลไซน่าจึงสู่ขอคนจากตระกูลถ่าถาเอ่อร์ ครั้งนี้เฮ่อหลันชิงไม่พอใจอย่างยิ่ง ผู้อื่นไม่ต้องการเจ้า แต่ดันต้องการสาวใช้ของเจ้า นี่มันตบหน้ากันชัดๆ มันจะตบหน้ากันเกินไปแล้ว!
เฮ่อหลันชิงโกรธจนตัดสัมพันธ์กับไซน่าฮูหยิน
“…นี่ก็คือเรื่องราวที่แท้จริง” ไซน่าฮูหยินหน้าแดง
นางก็ว่าแล้ว หากมารดาของนางสนิทสนมกับไซน่าฮูหยินจนพูดคุยกันได้ทุกเรื่องจริง เหตุไฉนจึงไม่เล่าเรื่องที่ตนเองถูกคนไล่ตามฆ่าให้นางฟัง
เฉียวเวยยกมือเท้าคางแล้วเลิกคิ้ว “มารดาของข้าตัดความสัมพันธ์กับเจ้าแล้ว เหตุใดจึงบอกความลับสำคัญเช่นนั้นกับเจ้าอีก”
ไซน่าฮูหยินท่าทางลำบากใจ “ความจริงนางไม่ได้บอกข้า ข้าแอบได้ยินเอง ก่อนนางจะไปเก็บตัวฝึกวิชา ข้าเดินทางไปปราสาทเฮ่อหลันเพื่อเยี่ยมเหอจั๋ว แล้วบังเอิญได้ยินนางคุยกับหญิงรับใช้คนสนิท ดังนั้นจึงทราบเรื่องที่นางแต่งงานมีลูกที่จงหยวน หลังจากนั้นข้าก็…บอกเหอจั๋ว”
“เจ้าก็ช่างแสดงได้สมจริงนักนะ อุตส่าห์เป็นลมตั้งสามรอบ ทำข้าหลงคิดว่าเจ้าดีใจที่ได้พบข้าขนาดนั้นจริงๆ”
“นั่นไม่ใช่การเล่นละครนะ ข้าดีใจมากจริงๆ”
เฉียวเวยโบกมือ “เหตุใดต้องบอกท่านตาของข้า แล้วเหตุใดจึงต้องหาสารพัดวิธีมาประจบข้า”
“ข้าเพียงรู้สึกว่าสมควรบอกท่านตาของท่าน ส่วนเรื่องที่ประจบท่าน…” ไซน่าฮูหยินชะงัก สายตาขอความเห็นหันไปมองประมุขตระกูลไซน่า ประมุขตระกูลไซน่ากุมหน้าผาก ถอนหายใจ “มาถึงขั้นนี้แล้วปิ ดบังไปก็ไร้ประโยชน์ พูดไปเถิด”
ไซน่าฮูหยินพยักหน้า นางหันไปมองเฉียวเวยแล้วบอกเสียงเบา “น้องสาวของข้าก็คือเยียนฮูหยินของเหอจั๋ว”
เฉียวเวยตอบว่า “เรื่องนี้พวกเรารู้แล้ว”
ไซน่าฮูหยินถอนหายใจ “เหอจั๋วทุ่มเทกับการปกครอง ไม่ค่อยได้มาเยือนเรือนหลัง ดังนั้นเยียนฮูหยิน…ความจริงแล้วจึงไม่ได้รับความโปรดปรานนัก ชิงเอ๋อร์นาง…ไม่ชอบหน้าข้า แม้แต่น้องสาวของข้า นางก็พาลไม่ชอบขี้หน้าไปด้วย”
เฉียวเวยหน้าบึ้ง “มีอันใดก็พูด ไม่ต้องมาพูดจาว่าร้ายแม่ข้า!”
ไซน่าฮูหยินลังเลครู่หนึ่งก็รวบรวมความกล้า เอ่ยขึ้นว่า “เยียนฮูหยินตั้งครรภ์แล้ว!”
ไม่รอเฉียวเวยถามว่าเจ้ากลัวแม่ข้าจะทำให้เด็กแท้งหรืออย่างไร ไซน่าฮูหยินก็บอกต่อว่า “เด็กไม่ใช่ลูกของเหอจั๋ว!”
เฉียวเวยสำลัก
ไซน่าฮูหยินเล่าอย่างปวดใจ “เยียนฮูหยินไม่ได้ตั้งใจ นาง…นางเลอะเลือนไปชั่วขณะ…แล้วก็…ดื่มสุรามากเกินไปหน่อย…จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็ต้องโทษข้าด้วย…หากข้าไม่เชิญนางมาที่ตระกูล แล้วชวนนางร่ำสุรา นางก็คงไม่ขาดสติทำเรื่องที่ฟ้าดินไม่อาจให้อภัยเช่นนี้”
กฎของเผ่าถ่าน่าเข้มงวดยิ่งนัก แม้แต่ขโมยของยังมีโทษถึงตาย ลอบคบชู้สู่ชายย่อมไม่ต้องพูดถึง ยิ่งกว่านั้นผู้ที่คบชู้หนนี้ยังเป็นภรรยารองของเหอจั๋ว ไม่ใช่แค่เยียนฮูหยิน เกรงว่าตระกูลฝั่งมารดาของนางก็คงไม่อาจรอดพ้นหายนะ
แต่เรื่องนี้ตระกูลไซน่ามาเกี่ยวอะไรด้วยเล่า ไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลไซน่าเสียหน่อย คงไม่ถึงขั้นพัวพันมาถึงปราสาทไซน่ากระมัง
“เด็กเป็นลูกใคร” จีหมิงซิวถาม
ไซน่าฮูหยินก้มหน้า “ลูก…ลูกชองท่านอาคนหนึ่งของไซน่าอิง”
หากเป็นเช่นนี้ ตระกูลไซน่าก็หนีความผิดไม่พ้นแล้ว
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยคิดจะโกหกว่าเด็กเป็นลูกของเหอจั๋ว แต่เหอจั๋วไม่เคยแตะเยียนฮูหยินสักนิด ทว่าท้องของเยียนฮูหยินกลับโตขึ้นทุกวัน คนนอกไม่รู้ แต่ในใจเหอจั๋วกับเฮ่อหลันชิงจะไม่รู้หรือ
ไซน่าฮูหยินเอ่ยอย่างละอายใจ “นี่เป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่ไซน่าอิง พวกเราก็ไม่เคยบอก ขอจั๋วหม่าน้อยอภัยที่พวกเราปิดบัง”
เฉียวเวยคิดในใจว่าอภัยที่พวกเจ้าปิดบังน่ะง่าย แต่ความผิดของเยียนฮูหยินกับตระกูลไซน่าจะได้รับการอภัยหรือไม่ นั่นคงไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะรับประกันได้แล้ว บนโลกใบนี้ทำความดีหนึ่งหนชดใช้ความผิดหนึ่งเรื่องได้เสียที่ไหน หากเป็นเช่นนั้นฆาตกรคนหนึ่งช่วยชีวิตคนไว้สักคนก็ถูกตัดสินว่าไร้ความผิดได้แล้วหรือ
จีหมิงซิวตอบอย่างมีชั้นเชิง “พวกข้าเข้าใจเรื่องราวแล้ว พวกข้าจะใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะช่วยพวกเจ้าได้หรือไม่ แต่ความลับเรื่องนี้ พวกข้าจะไม่ป่าวประกาศออกไปอย่างแน่นอน สายแล้ว พวกข้าสมควรไปคารวะเหอจั๋วแล้ว พวกเจ้าไปดูแลไซน่าอิงเถิด”
ไซน่าฮูหยินออกมาส่งทั้งสองคนขึ้นรถม้าด้วยตนเอง
พวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยขึ้นไปนั่งบนรถม้าอีกคันหนึ่ง
“จะช่วยพวกเขาจริงหรือ” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวตอบว่า “ดูจากตอนนี้สองตระกูลนี้นับว่าภักดีต่อเหอจั๋วกับมารดาของเจ้า ไม่จำเป็นต้องสังหารให้สิ้น อีกอย่างมีจุดอ่อนที่บีบบังคับพวกเขาได้ตลอดชีวิตก็เป็นเรื่องดี”
เฉียวเวยจิ๊ปาก “ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีวางแผนการได้ดีนัก”
จีหมิงซิวตอบด้วยท่าทางสบายๆ “นี่ล้วนเป็นเรื่องเล็ก จัดการพวกคนจัดการยากพวกนั้นอย่างไรถึงจะเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าบอกข้าอีกทีซิว่าพวกเจ้าหาไซน่าอิงพบได้อย่างไร”
“หาเจอในหุบเขาแห่งนั้น…” เฉียวเวยเล่าเรื่องราวที่พบเจอในหุบเหวร้อยผีตั้งแต่ต้นจนจบให้เขาฟัง
จีหมิงซิวทำท่าครุ่นคิด “เจ้าบอกว่าพวกเจ้าเดินทางผ่านหุบเขาแห่งนั้น แต่ไม่มีเรื่องประหลาดอะไรเกิดขึ้นเลย”
เฉียวเวยพยักหน้า “พอเดินตามต้าไป๋ก็ไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย”
จีหมิงซิวชะงัก “ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกข้าว่าก่อนมาเผ่าลึกลับเคยพบแม่ทัพน้อยมู่ เขากำชับบางอย่างกับเจ้า เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าเขาบอกอะไรไว้บ้าง”
เฉียวเวยทบทวนความทรงจำ “เขาบอกว่า หากข้าจะเดินทางไปตำหนักธิดาเทพเพื่อขโมยผลสองภพ ดีที่สุดก็ให้พาต้าไป๋ไปด้วย ต้าไป๋ถูกจับมาจากภูเขาอวิ๋นซาน ภูเขาอวิ๋นซานอยู่ด้านหลังของตำหนักธิดาเทพ ต้าไป๋พาพวกเราไปหาเส้นทางเข้าสู่ภูเขาอวิ๋นซานได้ เมื่อถึงภูเขาอวิ๋นซานก็ห่างจากตำหนักธิดาเทพไม่ไกลแล้ว”
เล่าถึงตรงนี้ เฉียวเวยก็ตระหนักถึงบ้างสิ่ง “หรือว่าสถานที่ที่พวกกเราไปมาวันนี้ก็คือภูเขาอวิ๋นซาน”
จีหมิงซิวตอบว่า “น่าจะใช่”
มิน่าต้าไป๋ถึงอารมณ์ดีเช่นนั้น ที่แท้ก็ได้กลับบ้านแล้วนี่เอง
เฉียวเวยเท้าคางเอ่ยขึ้นมาว่า “ภูเขาอวิ๋นซานเป็นอาณาเขตของตำหนักธิดาเทพ หากเป็นเช่นนี้ คนที่จับตัวไซน่าอิงไป…ก็คงเป็นคนของตำหนักธิดาเทพสินะ”
…
ณ ปราสาทเฮ่อหลัน หลังจากจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูนอนหลับสบายหนึ่งตื่น จิ่งอวิ๋นก็ลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้าด้วยตัวเอง ส่วนวั่งซูเฉียวเวยเป็นคนสวมให้ ต่อจากนั้นทั้งสามคนก็ไปทานอาหารเช้าด้วยกันในห้องของเหอจั๋ว
เหอจั๋วไม่ค่อยอยากอาหารนัก เขากินข้าวฟ่างต้มได้ไม่กี่คำก็กินไม่ลง
วั่งซูกะพริบตาปริบๆ “ท่านตาทวด ท่านกินเพิ่มหน่อยสิเจ้าคะ ท่านแม่บอกว่าต้องกินข้าวเยอะๆ ถึงจะไม่ป่วย”
เหอจั๋วคลี่ยิ้ม “ได้ ตาทวดจะกินเพิ่มสักหน่อย”
วั่งซูเบิกตาโตจ้องท่านตาทวดเขม็ง
เหอจั๋วหัวเราะ “มองตาทวดเช่นนี้มีอะไรหรือ”
วั่งซูเอ่ยเสียงใส “ข้าจะจับตาดูท่านตาทวดกินข้าว ท่านตาทวดห้ามแอบอู้!”
เหอจั๋วกลั้นหัวเราะไม่ไหว “ได้ๆ ท่านตาทวดกินแล้ว กินแน่นอน”
จิ่งอวิ๋นตักน้ำแกงโสมทีละช้อนเล็กๆ จนได้มาหนึ่งชาม มือน้อยๆ ประคองชามมาตรงหน้าเหอจั๋ว “ท่านตาทวด ดื่มขอรับ”
ก้นบึ้งหัวใจของเหอจั๋วมีกระแสความอบอุ่นไหลวาบเข้ามา ขณะที่ตักขึ้นมาดื่มหนึ่งช้อน ขอบตาก็อุ่นร้อน
“อร่อยหรือไม่ขอรับ ท่านตาทวด” จิ่งอวิ๋นถาม
เหอจั๋วยิ้ม “อร่อยมาก”
จิ่งอวิ๋นเอ่ยต่อ “ถ้าเช่นนั้นท่านตาทวดต้องดื่มน้ำแกงโสมให้หมดด้วยนะขอรับ”
เหอจั๋วยิ้มอย่างเมตตาพลางลูบศีรษะทุยของเขา “ได้”
นางกำนัลชิงเหยียนเห็นเหอจั๋วยอมกินอาหารเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยก็โล่งใจยิ่งนัก หากรับเจ้าตัวน้อยคู่นี้มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ไม่แน่ว่าอาการป่วยของเหอจั๋วอาจหายดีไปนานแล้วก็เป็นได้
เหอจั๋วทานข้าวฟ่างต้มหนึ่งชามกับน้ำแกงโสมหนึ่งชามจนหมด นี่แทบจะเท่ากับปริมาณอาหารที่เขากินทั้งวันแล้ว หลังกินอิ่ม ร่างกายก็คล้ายจะมีกำลังวังชามากกว่าวันก่อนๆ มากจริงๆ
วั่งซูกระโดดลงไปบนพื้น จูงมือเหอจั๋ว “ท่านตาทวด พวกเราไปเดินเล่นกันเถิด!”
เหอจั๋วขานรับ ขณะที่กำลังจะลุกขืนยืน หญิงรับใช้ก็เดินเข้ามาแจ้งว่า “เหอจั๋ว ธิดาเทพมาเจ้าค่ะ”