บทที่ 1048 สาปแช่งหานเจวี๋ย
ห้าล้านปีต่อมา ปรากฏเหตุการณ์สั่นไหวรุนแรงขึ้นที่ชายขอบของโลกปฐมยุคซึ่งตั้งอยู่ไกลออกไปในดินแดนเวิ้งว้าง โชคดีที่ละแวกนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตและไม่มีผู้ใดรับรู้ได้
สิ่งมีชีวิตภายในโลกปฐมยุคยังไม่สามารถสอดส่องสภาพแวดล้อมนอกโลกปฐมยุคได้
ต้นตอที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นย่อมเป็นเพราะตบะของหานเจวี๋ยมีความก้าวหน้าไปอีกขั้น
ช่วงที่ออกท่องเที่ยวโลกผลาญนภาก่อนหน้านี้ ทำให้หานเจวี๋ยได้รับแรงบันดาลใจมากมาย ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญจึงเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น แสดงสีหน้าพึงพอใจ
ระดับผู้สร้างมรรคาระยะปลายยังคงนับว่าอยู่ห่างไกลยิ่ง แต่ก็ไม่นับว่าอยู่ไกลจนเกินเอื้อม
ต้องทราบก่อนว่าตัวเขาในปัจจุบันนี้ยังอายุไม่ถึงร้อยล้านปี ไหนเลยจะมีผู้ที่พิสูจน์ผู้สร้างได้ตอนอายุร้อยล้านปี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการบรรลุผู้สร้างระยะกลางเลย
เขามองซั่นเอ้อร์ที่อยู่ด้านข้าง ซั่นเอ้อร์ยังคงฝึกบำเพ็ญอยู่
หลังจากเด็กคนนี้ได้รับแรงผลักดัน เห็นได้ชัดว่าจริงจังกับการฝึกบำเพ็ญมากขึ้น จุดนี้ทำให้หานเจวี๋ยพอใจยิ่ง
‘ให้เขาเข้าร่วมงานชุมนุมฟ้าบุพกาลที่จัดขึ้นในครั้งหน้าด้วยดีหรือไม่’
หานเจวี๋ยเกิดความคิดเช่นนี้ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็ตัดสินใจล้มเลิกความคิดนี้ไป
ให้เด็กคนนี้อยู่ที่นี่จะดีกว่า ไม่จำเป็นต้องให้เชื้อสายที่เลิศล้ำทั้งหมดออกไปแสดงความสามารถอันโดดเด่น
หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูจดหมาย
ช่วงหลายล้านปีที่ผ่านมาวังจักรพรรดิมหาโชคและกลุ่มมิ่งมีความเคลื่อนไหวมากที่สุด หานฮวงยุ่งอยู่กับการผสานกฎเกณฑ์สูงสุดเข้าด้วยกัน ระยะนี้จึงเงียบหายไม่มีข่าวคราว
เมื่อไม่มีหานฮวง ฟ้าบุพกาลและผลาญนภากลับยิ่งคึกคักกว่าเดิม
เมื่อเมฆหมอกครึ้มที่บดบังอยู่เหนือศีรษะของพวกเขาสลายตัวไป พวกเขาถึงได้เกิดความกล้าออกมาแสดงฝีมือ
ก่อนหน้านี้ในช่วงที่ฝึกบำเพ็ญอยู่ หานเจวี๋ยรับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตนถูกคนโยกย้ายออกไป เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบมากนัก เขาจึงไม่ได้สนใจ ยามนี้พอมีเวลาว่างถึงทำนายดู
“หืม”
หานเจวี๋ยพลันอุทานด้วยความแปลกใจ เขาค้นพบเรื่องประหลาดบางอย่าง
ไม่น่าเชื่อว่ายมโลกของโลกปฐมยุคจะเชื่อมต่อกับยมโลกของโลกมหามรรคแห่งอื่นๆ ตั้งตัวอยู่เป็นเอกเทศ มองเผินๆ แล้วยมโลกดูใหญ่โตกว่าโลกใดๆ เนื่องจากบรรดาโลกมหามรรคยังไม่ได้ผสานรวมเข้าด้วยกัน
มีคนแทรกซึมเข้าสู่โลกปฐมยุคผ่านทางยมโลกฟ้าบุพกาล
น่าประหลาดจริงๆ ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตใดในโลกปฐมยุคบุกเบิกยมโลกขึ้นชัดๆ หรือว่าจะเกิดขึ้นเองตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ในอดีตยามที่จักรพรรดินีผืนพิภพบุกเบิกยมโลกขึ้นก็มีเพียงวงจรสังสารวัฏเท่านั้น เป็นเหตุชักนำมรรคาสวรรค์เข้าสู่ยมโลกอย่างนั้นหรือ
ผู้ที่แทรกซึมเข้าสู่ยมโลกปฐมยุคคือหานเย่และหานป้าเสิน ไม่แปลกเลยที่หานเจวี๋ยจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่หากเป็นกลิ่นอายที่ไม่รู้จักคุ้นเคยจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านขึ้นตามสัญชาตญาณพื้นฐานของเขา เพียงเสี้ยวความรู้สึกต่อต้านของผู้สร้างมรรคาก็เพียงพอจะบดขยี้อริยะมหามรรคได้แล้ว
ที่แท้ในยมโลกปฐมยุคก็ให้กำเนิดรากวิญญาณที่กลายสภาพมาจากพลังปฐมยุค ปัจจุบันนี้มีอยู่เพียงสองแขนงเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นถูกหานเย่และหานป้าเสินขุดออกไป
อันสิ่งที่เรียกว่ารากวิญญาณปฐมยุคเป็นเพียงสิ่งที่กลายสภาพมาจากตะกอนของพลังปฐมยุค ไม่นับเป็นอันใดเลย
แต่แน่นอนว่าสำหรับระดับยอดมหามรรคพลังเช่นนี้ลึกลับยากจะหยั่งได้ แข็งแกร่งจนยวนใจได้แม้กระทั่งหานฮวง
อย่างไรก็ตามเหตุใดเด็กสองคนนี้ถึงหารากวิญญาณปฐมยุคพบ
หานเจวี๋ยทำนายต่อไป พบว่าต้นตอของบ่วงกรรมนี้มาจากหานหลิง
หานหลิงทำนายถึงรากวิญญาณปฐมยุคได้ สมกับเป็นทายาทสืบสายเลือด แต่ไม่ทราบเช่นกันว่าหานหลิงเดาออกหรือไม่ว่ารากวิญญาณปฐมยุคมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา
หลังจากเข้าใจเรื่องราวกระจ่างแล้ว หานเจวี๋ยก็ไม่ได้สนใจอีก เขายืดตัวบิดขี้เกียจ ผ่อนคลายร่างกาย
ซั่นเอ้อร์ลืมตาขึ้น เอ่ยว่า “ท่านปฐมบรรพชน ท่านตื่นแล้วหรือขอรับ”
สุ้มเสียงเขาเคารพนอบน้อม ไม่ต่างไปจากที่ผ่านมา ทำให้หานเจวี๋ยค่อนข้างจนใจอยู่บ้าง หรือก่อนหน้านี้จะกดดันเขามากเกินไป
“ถือโอกาสนี้เทศนาธรรมให้เจ้าเลยแล้วกัน ช่วยเป็นกำลังหนุนให้เจ้าได้พอดี”
หานเจวี๋ยหัวเราะเบาๆ ไม่รอให้ซั่นเอ้อร์ตอบกลับก็เริ่มเทศนาธรรมทันที ทันทีที่เปล่งเสียงธรรม ซั่นเอ้อร์ก็เข้าสู่สภาวะตระหนักมรรคในทันใด
หานเจวี๋ยทิ้งร่างแยกไว้คอยเทศนาธรรม ส่วนร่างจริงไปเยี่ยมเหล่าคู่บำเพ็ญ
หนึ่งพันปีต่อมา
หลังจากหานเจวี๋ยเทศนาธรรมจบ ซั่นเอ้อร์ตื่นจากภวังค์โดยที่ปลายเสียงยังไม่จางหายไปดี
ซั่นเอ้อร์เอ่ยด้วยความสะท้อนใจอย่างยิ่ง “ท่านปฐมบรรพชนช่างสมกับที่เป็นท่านปฐมบรรพชนเหลือเกิน การเทศนาธรรมของท่านยอดเยี่ยมกว่าวิถีบำเพ็ญนับสิบล้านปีของข้าเสียอีกขอรับ ทั้งยังทำให้ข้าตระหนักรู้ในเส้นทางบำเพ็ญได้ลึกล้ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ไม่ว่าเวลาใดก็ตาม ต้องรักษาจิตใจที่ถ่อมตัวและรู้จักระแวดระวังไว้เสมอ ข้าจะเล่าประวัติความเป็นมาของข้าให้เจ้าฟังแล้วกัน”
พอซั่นเอ้อร์ได้ยินก็ตื่นเต้นขึ้นมาในทันใด ลุกมานั่งตรงหน้าหานเจวี๋ยทันที ท่าทางกระตือรือร้นตั้งตาคอย
หานเจวี๋ยเล่าถึงช่วงวัยเยาว์ของตน ประวัติความเป็นมาเหล่านี้เขาเล่ามากมายหลายครั้งแล้ว เล่าให้ชนรุ่นหลังฟังนับครั้งไม่ถ้วน แต่ทุกครั้งที่เล่าออกมาเขากลับไม่นึกเบื่อเลย ถือว่าเป็นการเล่าให้ตัวเองฟังไปด้วย
เตือนไม่ให้หลงลืมว่านับจากอดีตตนเดินทางมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้ระบบแสดงให้เขาเห็นแล้วว่าผู้ครอบครองระบบในอดีตสิ้นชีพลงได้อย่างไร มีคนที่ระมัดระวังตัวเช่นเดียวกับเขาอยู่ด้วย เพียงแต่ภายหลังรู้สึกว่าตนไร้พ่ายขึ้นมาจึงเริ่มเลินเล่อ สุดท้ายก็ดับสูญไม่อาจย้อนหวนกลับมาได้
ไม่นานนัก ซั่นเอ้อร์ฟังจนตกอยู่ในภวังค์ ราวกับได้กลายเป็นร่างแยกของหานเจวี๋ยแล้วไปเผชิญหน้ากับภัยอันตรายเหล่านั้นด้วยตัวเอง
ถึงแม้ท่านปฐมบรรพชนจะระมัดระวังตัวมากเกินไป ถึงขนาดขี้ขลาดอยู่บ้าง แต่เมื่อคนใกล้ตัวเผชิญหน้ากับภยันตรายขึ้นมาจริงๆ เขาก็จะลงมือ
ซั่นเอ้อร์รู้สึกว่านี่คือเป้าหมายที่เขาต้องการจะเป็น
รอจนหานเจวี๋ยเล่าจบ ซั่นเอ้อร์เอ่ยด้วยความเคารพ “ท่านปฐมบรรพชน ข้าเข้าใจเจตนาของท่านแล้วขอรับ”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้เจ้าลองสาปแช่งคนผู้หนึ่งดู เขามีนามว่าหานเฟินเจวี๋ย นี่คือรูปลักษณ์ของเขา”
หานเจวี๋ยโบกมือคราหนึ่ง ภาพมายาปรากฏขึ้น แสดงภาพเงาร่างหนึ่งที่คล้ายคลึงกับตัวเขา
หานเฟินเจวี๋ยคือเสี้ยววิญญาณของเขาที่ถูกโยนเข้าสู่โลกมนุษย์สามัญในฟ้าบุพกาลเมื่อหนึ่งพันปีก่อน ด้วยการสะกดควบคุมของเขาทำให้หานเฟินเจวี๋ยมีตบะระดับยอดมหามรรคเท่านั้น เพียงแต่ไม่มีความทรงจำจึงไม่รู้จักซั่นเอ้อร์
ซั่นเอ้อร์ผงะไป เขาไม่ได้โง่ มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายมีความเกี่ยวข้องกับท่านปฐมบรรพชน
เขาสูดหายใจลึกๆ คราหนึ่ง เริ่มกระตุ้นพลังดาวกำเนิดคำสาปเพื่อสาปแช่งหานเฟินเจวี๋ย
เวลาผ่านไปหลายวัน หานเฟินเจวี๋ยถึงเริ่มรับรู้ความผิดปกติได้
พลังคำสาปแช่งออกฤทธิ์แล้ว!
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
เหตุใดถึงส่งผลช้ามากเล่า
หรือหานเฟินเจวี๋ยจะแข็งแกร่งเกินไป
ผ่านไปอีกหลายวัน สีหน้าของซั่นเอ้อร์ซีดขาว ร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน
หานเฟินเจวี๋ยเริ่มสะท้อนผลย้อนกลับมาหาเขาแล้ว
หานเจวี๋ยลงมือทันที เก็บร่างแยกวิญญาณอย่างหานเฟินเจวี๋ยกลับมา ความทรงจำหลอมรวมเข้ากับตัวเขา
หานเฟินเจวี๋ยทำนายไม่พบตัวซั่นเอ้อร์ เพียงแต่สะท้อนผลย้อนกลับไปตามพลังคำสาปแช่งเท่านั้น
หานเจวี๋ยมองซั่นเอ้อร์ด้วยความประหลาดใจ
เด็กคนนี้มีความสามารถเช่นเดียวกับหนังสือแห่งความโชคร้ายจริงๆ น่ะหรือ
ดูเหมือนดาวกำเนิดคำสาปจะได้รับอิทธิพลมาจากหนังสือแห่งความโชคร้ายอย่างลึกล้ำ
หนังสือแห่งความโชคร้ายขับเคลื่อนด้วยอายุขัยต้นกำเนิด เช่นนั้นกรณีของซั่นเอ้อร์เล่า
“ท่านปฐมบรรพชน…ตบะของข้าลดลงขอรับ…”
ซั่นเอ้อร์เอ่ยด้วยความหวาดหวั่น น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความไม่สบายใจ
ใช้ตบะในการสาปแช่งอย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยลองใคร่ครวญดู เช่นนี้ก็นับว่าสมเหตุสมผลแล้ว
เขาเอ่ยปลอบว่า “ไม่เป็นไร ฝึกบำเพ็ญฟื้นฟูกลับคืนมาก็พอ เจ้าเพิ่งจะสูญเสียไปไม่เท่าไร หากปล่อยเจ้าออกไปหาประสบการณ์ด้านนอกแล้วผูกเป็นความแค้นขึ้นมา เจ้าจะเสียตบะไปมากน้อยปานใดเล่า”
ซั่นเอ้อร์รู้สึกว่ามีเหตุผล สีหน้าจึงผ่อนคลายลง
หานเจวี๋ยจ้องมองซั่นเอ้อร์ ยิ้มออกมาเล็กน้อย
เด็กคนนี้จะกลายเป็นอาวุธลับของเขา
ยอดเยี่ยมมาก!
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “วันหน้าเจ้าต้องดำเนินในวิถีแห่งการสาปแช่ง คิดสมญานามใหม่เอาไว้หรือยัง ทำแบบเดียวกับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ไม่มีผู้ใดทราบตัวตนที่แท้จริงของเขา”
ดวงตาซั่นเอ้อร์เปล่งประกาย ขบคิดเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “เจ้าแดนต้องห้ามหายนะ ดีหรือไม่ขอรับ”
“ใช้ได้เลย มีส่วนที่ต่างไปจากเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ แต่หากมองจากชื่อแล้วจะทำให้คนนึกว่าเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็รับแบ่งเบาแรงกดดันไปจากเจ้าด้วย”
“ขอรับ ท่านปฐมบรรพชนโปรดวางใจ ข้าจะเหนือกว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการให้ได้ในไม่ช้าก็เร็ว”
“ข้าจะตั้งตารอคอยวันนั้น”
แต่วันนั้นไม่มีทางมาถึง!
หานเจวี๋ยพึมพำอยู่ในใจ เจ้าตัวแสบคิดจะเหนือกว่าข้าอย่างนั้นหรือ ไม่มีทาง
จากนั้นซั่นเอ้อร์ก็เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นเงาร่างลึกลับนั้นอีกแล้วขอรับ ดูเหมือนเขาอยากช่วยข้าสาปแช่งด้วย”