ตอนที่ 256-2 ถูกจับได้ จุดจบ

หญิงสาวทำหน้าสับสน “ใช่แล้ว นี่เป็นจุดที่ทำให้ข้ารู้สึกฉงน จะบอกว่านางไม่ได้วางยาพิษ นางก็ทำท่าลับๆ ล่อๆ จะบอกว่านางวางยาพิษ ข้ากินแล้วก็ไม่เห็นเป็นอะไร อี้เชียนอินใช้เข็มเงินทดสอบแล้วก็ไม่มีอะไรเหมือนกัน”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ข้าจะไปดูฝั่งฮูหยินน้อย”

ตอนเยี่ยนเฟยเจวี๋ยมาถึงห้องของเฉียวเวย เฉียวเวยก็พบความผิดปกติแล้ว นางปาดผงสีขาวที่ยังไม่ทันละลายบนขอบหม้อออกมา นางไม่รู้จักของสิ่งนี้จึงเรียกจีอู๋ซวงมา

จีอู๋ซวงดมเสร็จก็ใช้ปลายนิ้วแตะนิดหนึ่งขึ้นมาชิม “หากข้าจำไม่ผิด เหมือนจะเป็นผงชาขาว”

“ผงชาขาวคือสิ่งใด” เฉียวเวยถามอย่างไม่เข้าใจ

จีอู๋ซวงตอบว่า “เป็นผงชาชนิดหนึ่งที่บดมาจากใบชาป่าเจ็ดชนิด”

เฉียวเวยงุนงง “ผงชาหรือ พูดเช่นนี้หมายความว่าไม่ใช่ยาพิษหรือ”

จีอู๋ซวงจึงตอบว่า “ไม่ใช่ยาพิษ มันมักจะใช้แก้เมา หากใส่ไว้ในยาจะส่งผลต่อฤทธิ์ของยา”

เฉียวเวยคล้ายจะเข้าใจเป้าหมายของอีกฝ่ายแล้ว “เจ้าหมายความว่า ยาถ้วยนี้พอเติมผงชาขาวลงไปก็จะแก้พิษของท่านตาข้าไม่ได้แล้วใช่หรือไม่”

จีอู๋ซวงอธิบาย “ผงชาขาวที่แพร่หลายกันอยู่ในจงหยวนส่วนมากไม่ใช่ของดั้งเดิม ทำได้เพียงลดทอนฤทธิ์ของยาลงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ชนเผ่าถ่าน่ามีดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ ชาป่าที่ขึ้นอยู่ในที่แห่งนี้มีฤทธิ์แรงกว่าในจงหยวนสิบเท่า น่าจะทำให้เกิดผลดังที่ท่านพูดจริง”

เพื่อปลอดภัยไว้ก่อน เฉียวเวยจึงให้คนเรียกบิดาของนางมา

เฉียวเจิงคิดไม่ถึงว่าตนไปต่อสู้กับท้องไส้เพียงครู่เดียว ห้องครัวจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น สีหน้าเขาจึงบูดบึ้ง

“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านพ่อ” เฉียวเวยถาม

เฉียวเจิงหน้าบึ้ง “ผงชาขาวจริงๆ! ยาหม้อนี้ต้มเสียเปล่าแล้ว!”

ดวงตาของเฉียวเวยทอประกายเย็นเยียบ ร้ายกาจนักนะ ผงชาขาวนี่ไม่ใช่ยาพิษ คนกินเข้าไปย่อมไม่เป็นอะไร เข็มเงินก็ตรวจสอบไม่พบ ผู้อื่นคิดว่าไม่มีอะไรย่อมมอบให้ท่านตาของนางดื่ม แต่หลังจากท่านตาดื่มลงไปก็จะแก้พิษไสยเวทในตัวไม่ได้แล้ว หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ยังถูกตำหนักธิดาเทพพันธนาการไว้อยู่

แม้จะบอกว่าถึงตอนนั้นค่อยผสมยาแก้ขึ้นใหม่อีกชุดก็ได้ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเวลาไม่กี่วันที่พวกเขาถูกปิดบังอยู่ในกลองนี่ ตำหนักธิดาเทพจะทำเรื่องบ้าอะไรออกมาอีก

อี้เชียนอินร้องเหอะออกมา “ข้าก็บอกแล้วว่าเซวียหรงหรงคนนั้นมีปัญหา! แสร้งทำท่าว่ามาเข้ากับฝั่งพวกเรา แต่ความจริงเป็นเพียงสายลับที่แฝงเข้ามาอยู่ข้างกายพวกเรา!”

เฉียวเวยหันไปมองที่ประตู พอเห็นเยี่ยนเฟยเจวี๋ย สีหน้าของนางก็ไม่ตกใจสักเท่าใด

“นาง…” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระแอม “ตอนนั้นในห้องครัวมีอยู่สองคน”

อี้เชียนอินกอดอก ว่าอย่างเหยียดหยัน “พนันหนึ่งร้อยตำลึงทอง ว่าคนรักเก่าของเจ้าเป็นคนทำ!”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยโต้เสียงเย็นชา “คนรักเก่าของผู้ใด”

อี้เชียนอินว่าหน้าตาย “ผู้ใดรับก็ผู้นั้น!”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคว้าคอเสื้อของเขา “เจ้าอยากถูกต่อยใช่หรือไม่”

อี้เชียนอินยืดอกตอบอย่างไม่กลัวสักนิด “เจ้าก็เข้ามาสิ! นายน้อยกลัวเจ้าหรือ!”

เฉียวเวยมองทั้งสองคนอย่างเฉยชา “หมิงซิวไม่อยู่ พวกเจ้าก็คิดว่าที่นี่คือตลาดใช่หรือไม่ หุบปากให้หมด!”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกำหมัดแน่น

อี้เชียนอินยักคิ้วอย่างท้าทาย

สุดท้ายเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็คลายหมัดออก

อี้เชียนอินจัดคอเสื้อ แล้วบอกว่า “นายน้อยไม่ชินกับการเห็นเจ้าถูกผู้หญิงหลอกจนหัวหมุนจริงๆ! หน้าตาก็ไม่ได้เรื่อง นิสัยก็ไม่ไหว แล้วยังใช้เล่ห์กลซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก เจ้าบอกมาซิเจ้าหลงรักตรงไหนของนางกัน”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทำท่าเหมือนจะต่อยเขาอีกรอบ

เฉียวเวยบอกว่า “เชียนอิน เจ้าไปเรียกพวกนางสองคนมา”

อี้เชียนอินเรียกหญิงสาวกับหญิงรับใช้ที่ทำงานปัดกวาดคนนั้นมาที่เรือนตะวันออก

เฉียวเวยชี้หม้อยาบนโต๊ะ แล้วเปิดปากถามตรงประเด็น “ในหม้อยามีผงยาที่ไม่ควรมีอยู่ ตั้งแต่พ่อข้าออกไป จนกระทั่งอี้เชียนอินถือหม้อยามา ระหว่างนั้นมีเพียงพวกเจ้าสองคนที่อยู่ในห้องครัว แล้วก็มีเพียงพวกเจ้าที่มีโอกาส ดีที่สุดพวกเจ้าสารภาพความจริงมาเสียว่าผู้ใดกันแน่เป็นคนวางยาท่านตาของข้า”

หญิงรับใช้รีบเอ่ยว่า “ไม่ใช่ข้านะเจ้าคะ จั๋วหม่าน้อย! ข้าไม่ได้วางยาเหอจั๋ว! ข้าไม่เคยแตะหม้อยาเลย!”

หญิงสาวก้าวเข้าไปคำนับ “ไม่ใช่ข้าเช่นกันเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อย”

สายตาของเฉียวเวยโฉบผ่านใบหน้าของทั้งสองคน “ไม่ใช่เจ้า แล้วก็ไม่ใช่เจ้า ผีเป็นคนทำหรืออย่างไร”

หญิงรับใช้เอ่ยอย่างลนลาน “ไม่ใช่ข้าจริงๆ เจ้าค่ะ จั๋วหม่าน้อย!”

เฉียวเวยถามว่า “ไม่ใช่เจ้า แล้วเจ้ามาอยู่ในห้องครัวได้อย่างไร เจ้าไม่ได้ทำความสะอาดสวนอยู่หรือ”

หญิงรับใช้ตอบว่า “เดิมทีข้าก็กำลังปัดกวาดอยู่ แต่นายท่านเฉียวเรียกให้ข้าไปคอยดูไฟ บอกว่าอย่าให้ไฟดับ แล้วพอข้าเข้าไป นางก็เรียกให้ข้าดื่มน้ำแกง”

หญิงสาวตกตะลึง เถียงอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “เจ้าพูดเหลวไหล ข้าเรียกเจ้าดื่มน้ำแกงตั้งแต่เมื่อใด”

หญิงรับใช้เถียงกลับ “เจ้าจะไม่ได้เรียกได้อย่างไร เจ้าบอกข้าว่าเจ้าต้มน้ำแกง แต่ช่วงนี้ลิ้นรับรสอะไรไม่ได้ ไม่รู้ว่าอร่อยหรือไม่หร่อย ขอให้ข้าช่วยเจ้าชิม”

หญิงสาวโต้อย่างโมโห “เจ้าถามข้าก่อนเองแท้ๆ ว่าทำอะไรอยู่หอมเช่นนี้ ข้าบอกว่าข้าต้มน้ำแกงไก่ตุ๋นอยู่ หลังจากนั้นข้าเห็นเจ้าท่าทางหิวยิ่งนักถึงเจตนาดีตักให้เจ้าถ้วยหนึ่ง ไหนเลยจะรู้ว่าเจ้ากินถ้วยเดียวไม่พอ ไม่ยอมไป ดังนั้นข้าเลยตักถ้วยที่สองให้อีก”

หญิงรับใช้โกรธจนสำลัก “ข้าเปล่าสักหน่อย! เจ้าบอกว่าเจ้าต้มไว้มาก พี่เยี่ยนกินไม่หมด สิ้นเปลืองก็สิ้นเปลืองไปแล้ว ถึงตักให้ข้าเพิ่มอีกหนึ่งถ้วย!”

“เจ้าเป็นคนเช่นนี้ได้อย่างไร” หญิงสาวกระทืบเท้า

“เจ้าเป็นคนเช่นนี้ได้อย่างไร” หญิงรับใช้ย้อนถามกลับ “คิดว่าตนเองเป็นหญิงรับใช้ที่จั๋วหม่าน้อยพาเข้ามาแล้วจะใส่ร้ายผู้อื่นส่งเดชได้หรือ แต่เดิมข้านึกว่าเจ้าไม่เสแสร้งวางท่า ตอนนี้ดูแล้วเจ้า…เจ้าต้องมีเจตนาอื่นแน่!”

หน้าอกของหญิงสาวพองขึ้นยุบลงอย่างแรง “ผู้ใดกันแน่มีเจตนาอื่น หลังจากคุณชายอี้ไป เจ้าก็ไม่ดื่มน้ำแกงต่อ หงุดหงิดเดินออกไป ตอนนั้นข้าก็รู้สึกแล้วว่าเจ้าท่าทางผิดปกติ อยากจะขวางเจ้าไว้ แต่เจ้ากลับตบข้า เจ้ากล้าบอกว่าเจ้าไม่ใช่วัวสันหลังหวะหรือ”

หญิงรับใช้เถียง “ข้าตบเจ้า? ข้าตบเจ้าตั้งแต่เมื่อใด”

“หน้าข้าถูกเล็บของเจ้าข่วนจนลายพร้อย! เจ้ายังจะแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ไปจนถึงเมื่อใด”

“ข้าไม่ได้แก้ตัวน้ำขุ่นๆ ! เจ้าพูดจาเหลวไหล”

ทั้งสองคนทะเลาะกันจนบุรุษทั้งหลายปวดหัว ดูจากสีหน้าเพียงอย่างเดียว ผู้ใดก็ไม่เหมือนกำลังโกหก แต่หากพูดถึงความน่าสงสัย เซวียหรงหรงย่อมมีมากกว่าเล็กน้อย อย่างไรเสียก็มีประวัติมาก่อน แต่หญิงรับใช้คนนั้นก็ไม่แน่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ธิดาเทพอยู่ในปราสาทเฮ่อหลันมาหลายปี เข้าออกได้อิสระยิ่งกว่าเฉียวเวย จะส่งแมงเม่าสักสองสามตัวเข้ามาอยู่ในปราสาทเฮ่อหลันก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยาก

หญิงสาวเสนอ “นางเพิ่งใส่ยาลงไป น่าจะยังไม่ทันจัดการหลักฐาน ฮูหยินน้อยไม่สู้ลองค้นตัวนาง ดูซิว่าหาอะไรพบบนตัวนางหรือไม่”

หญิงรับใช้โกรธเกรี้ยว “บนตัวเจ้าสิถึงจะมีหลักฐาน! จะค้นก็สมควรค้นตัวเจ้า!”

อี้เชียนอินตวาด “พวกเจ้าทะเลาะอะไรกัน ค้นมันทั้งคู่!”

“ค้นก็ค้นสิ ข้าไม่กลัวหรอก” หญิงสาวตอบ

หญิงรับใช้ก็แค่นเสียงหยัน “ข้าก็ไม่กลัวเหมือนกัน”

อี้เชียนอินเดินไปหาทั้งสองคนแล้วถกแขนเสื้อ สองตาวาววับดุจคบเพลิง “จูเอ๋อร์!”

จูเอ๋อร์ที่กำลังส่องกระจกอยู่กลอกตามองบน ก่อนจะกระโดดลงมาที่พื้น คว้าหมับที่แขนเสื้อของหญิงรับใช้แล้วล้วงห่อสีแดงห่อน้อยห่อหนึ่งออกมาจากด้านใน

หญิงรับใช้ตกใจจนหน้าถอดสี “นี่ไม่ใช่ของข้า!”

จูเอ๋อร์โยนห่อสีแดงไว้บนโต๊ะ

เฉียวเจิงเปิดออกดู “ผงชาขาว”

หญิงสาวหันไปมองหญิงรับใช้อย่างเย็นชา “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก”

หญิงรับใช้คุกเข่าลงไปดังตุ้บแล้วหันไปมองเฉียวเวย นางเอ่ยอย่างหวาดผวา “จั๋วหม่าน้อย! ข้าถูกใส่ร้ายเจ้าค่ะ!”

หญิงสาวว่าอย่างสุดจะทน “หลักฐานแน่นหนา เจ้ายังคิดจะเถียงข้างๆ คูๆ อีกหรือ”

“ข้า…” หญิงรับใช้ตาค้าง นางไม่รู้จริงๆ ว่าของสิ่งนี้วิ่งมาอยู่บนตัวได้อย่างไร…

ทุกคนตกตะลึง หรือว่าเซวียหรงหรงจะบริสุทธิ์จริงๆ หญิงรับใช้ที่คอยทำงานปัดกวาดคนนี้เป็นไส้ศึกตัวจริงหรือ

ทุกคนหันไปมองเฉียวเวยอย่างห้ามตนเองไม่ได้ เฉียวเวยกลับสุขุมยิ่งนัก นางรื้อหาถาดมาหนึ่งใบ จากนั้นวางกระดาษขาวหนึ่งแผ่นบนถาด ต่อมานางก็เทยาในหม้อยาลงบนกระดาษขาว “พวกเจ้าทั้งคู่ไม่เคยแตะหม้อใบนี้ใช่หรือไม่”

“ไม่เจ้าค่ะ” ทั้งสองคนตอบเป็นเสียงเดียว

เฉียวเวยหันไปมองหญิงสาว “เจ้าบอกว่าเจ้าต้มน้ำแกงไก่ตุ๋นอยู่ตลอดใช่หรือไม่”

“เจ้าค่ะ ฮูหยินน้อย”

เฉียวเวยหันไปมองหญิงรับใช้ “เจ้าบอกว่าเจ้าดื่มน้ำแกงไก่ตุ๋นอยู่ตลอดใช่หรือไม่”

“เจ้าค่ะ จั๋วหม่าน้อย”

“น้ำแกงไก่ตุ๋นอะไร” เฉียวเวยจี้ถาม

ดวงตาทรงเมล็ดซิ่งของหญิงรับใช้เบิกจนกลมดิก “ก็น้ำแกงไก่ตุ๋นเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยชะงักวูบหนึ่ง “ในชามนอกจากเนื้อไก่แล้วมีอย่างอื่นหรือไม่”

หญิงรับใช้ส่ายหน้า

บ่าวรับใช้ชั้นต่ำไม่เคยกินโสมย่อมชิมไม่รู้ว่ารสยาในนั้นคือโสม

เฉียวเวยพยักหน้า แล้วถามหญิงสาวอีก “วันนี้เจ้าทำไก่ตุ๋นอะไร”

หญิงสาวตอบเสียงเบา “ไก่ตุ๋นโสมเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยหยิบแหนบอันหนึ่งขึ้นมาคุ้ยเขี่ยในเศษยา “เอาโสมมาจากที่ใด”

“ในห้องครัวมีอยู่เจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบ

เฉียวเวยถามว่า “ตอนนางเข้ามาในห้องครัว น้ำแกงของเจ้าตุ๋นเสร็จหรือยัง”

หญิงสาวตอบตามความจริง “ยังไม่ได้ที่เท่าไร ต้องตุ๋นอีกเล็กน้อย”

เฉียวเวยลูบปลายคาง “ก็หมายความว่า ไม่ว่านางเคยแตะหม้อยาหรือไม่ แต่ไม่เคยแตะหม้อของเจ้า เจ้าตุ๋นน้ำแกงอยู่ตลอด คงไม่ใช่ว่าแม้แต่ผู้ใดมาแตะหม้อของเจ้า เจ้าก็ไม่รู้หรอกกระมัง”

แววตาของหญิงสาววูบไหว รีบร้อนเอ่ยว่า “เจ้าค่ะ ดวงตาของข้าไม่เคยละออกจากน้ำแกง ก็เพราะเช่นนี้ จึงไม่ทันสังเกตว่านางเทยาพิษลงในยาของเหอจั๋วตั้งแต่เมื่อใด”

เฉียวเวยคีบของสิ่งหนึ่งที่ยาวราวหนึ่งชุ่นออกมาจากเศษยา “ถ้าเช่นนั้นก็แปลกแล้ว ในเมื่อนางไม่เคยแตะหม้อของเจ้า ทั้งยังไม่เคยกินโสม แล้วยังไม่ได้ช่วยเจ้าล้างวัตถุดิบ หั่นวัตถุดิบ ถ้าอย่างนั้นนางจะไม่ทันระวังทำโสมที่หั่นเป็นฝอยเส้นหนึ่งลงไปตอนเทยาพิษได้อย่างไรเล่า”

หญิงสาวหน้าถอดสีทันที!

เฉียวเวยยิ้มเย็นชา “ลงมือไม่หมดจดพอนะ เซวียหรงหรง”

หญิงสาวหน้าซีดเผือดในพริบตา นางทิ้งไม้เท้า ยกเท้าขึ้นวิ่ง ทว่าไม่ทันระวังจึงชนเข้ากับกำแพงเนื้ออันหนึ่ง นางรู้สึกว่าสมองของตนเกือบจะถูกชนแหลกกระจาย สองตาเห็นดาว เอื้อมมือออกไปคว้ากำแพงไว้

เฮ่อหลันชิงหิ้วคอเสื้อนางขึ้นมาแล้วเหวี่ยงลงพื้นอย่างไม่เกรงใจสักนิด “ลูกสาวข้าให้เจ้าไปแล้วหรือ”

หญิงสาวถูกเหวี่ยงจนอวัยวะทั้งร่างเหมือนจะขยับออกจากตำแหน่ง กระดูกซี่โครงส่งเสียงดัง เป๊าะ! เป๊าะ! หักไปสองซี่ หน้าอกเจ็บแปลบกระอักเลือดออกมาคำโต

เฮ่อหลันชิงเหยียบบนหน้าอกของนาง

พริบตานั้นนางรู้สึกราวกับตนเองถูกภูเขาลูกใหญ่ลูกหนึ่งทับอยู่ หน้าอกเหมือนจะถูกบดขยี้จนแหลก

เฉียวเวยเดินเข้าไปนั่งยองๆ มองนางด้วยแววตาเฉยชา “สวรรค์มีทางให้เจ้าไม่เดิน นรกไร้ประตูเจ้าดันจะเข้ามา เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าตัวเองยังมีคุณค่าให้ใช้ประโยชน์อะไรอยู่อีก ข้าขอบอกเจ้า เจ้าไม่มีแม้แต่น้อย”

ก่อนหน้านี้เก็บนางไว้เพราะอยากจะตกปลาตัวใหญ่เบื้องหลัง แต่ยามนี้นางรู้แล้วว่าปลาตัวใหญ่ก็คือตำหนักธิดาเทพ สำหรับเฉียวเวย จะมีหรือไม่มีนางแล้วก็ได้จริงๆ

“หากเจ้าทำตัวดีๆ เห็นแก่ลุงเยี่ยน บางทีข้าอาจให้ทางรอดเจ้าสักทาง แต่เจ้าดันจะรนหาที่ตายให้ได้ !”

พูดถึงท่อนสุดท้าย แววตาของเฉียวเวยก็เย็นเยียบ

หญิงสาวมองไปทางเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอย่างเศร้าสร้อย “พี่เยี่ยน…ช่วยข้า…”

ริมฝีปากแดงของเฮ่อหลันชิงยกยิ้ม แล้วเอ่ยหยัน “เขาน่ะหรือ จะช่วยเจ้า”

กล่าวจบไม่ทันที่ทุกคนจะตอบสนอง เฮ่อหลันชิงก็ซัดหนึ่งฝ่ามือส่งเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไปกระแทกผนังอย่างรุนแรง ผนังถล่มดังครืน ฝังเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไว้ในกองซากปรักหักพัง