Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 2 บทที่ 181 โกรธจนระเบิด
บทที่ 181 โกรธจนระเบิด
โดย
Ink Stone_Romance
ป้ายโรงหมอร่วงหล่นอยู่บนพื้น เสียงร้องตกใจเอะอะรอบด้านก็สลายหายไปตามด้วย ในเหตุการณ์เงียบกริบ
เฉินชีมองป้ายโรงหมอที่สมบูรณ์ดีไม่เสียหายบนพื้น แล้วกลืนน้ำลาย
ป้ายโรงหมอนี่ทนทานดีแท้
เขาคิดในใจ
นี่ข่มขวัญคนเกินไปแล้วจริงๆ ข่าวคราวสักนิดก็ไม่มี องครักษ์เสื้อแพรถึงกับมาทำลายป้ายโรงหมอของพวกเขา
นี่มันพังร้านนี่
โรงหมอจิ่วหลิงของพวกเขาไม่ใช่ขุนนางแล้วก็ไม่ใช่คนสูงศักดิ์ ไม่มีทุจริตแล้วก็ไม่ทำผิดกฏหมาย ลำบากองครักษ์เสื้อแพรมาเยือนถึงประตูได้อย่างไร
นอกจากนี้หัวหน้ากองพันลู่ที่ไม่เผยหน้าง่ายดายยังมาเองอีกด้วย
นี่เรียกว่าเป็นเกียรติได้ไหม?
หรือเพราะเรื่องที่องครักษ์เสื้อแพรพาคนมาขอให้ตรวจรักษาครั้งก่อนเกิดปัญหาแล้ว?
นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้
เฉินชีสีหน้ายากปิดบังความหวาดหวั่นวิตก ส่วนฟางจิ่นซิ่วแววตายุ่งยาก
แต่หัวใจของคุณหนูจวินเหมือนจะร่วงหล่นตามป้ายโรงหมอที่ร่วงหล่นนี้ไปแล้ว
“ใต้เท้าลู่” นางมองลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น “นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ลู่อวิ๋นฉีสายตากดลงมองนางจากเบื้องสูง
“เจ้ารู้” เขาเอ่ย
นางรู้? นางรู้อะไร?
นางไปพบกับลู่อวิ๋นฉีตอนไหน?
ระหว่างพวกเขามีเรื่องอะไรเจ้ารู้ข้ารู้ พวกเขาไม่รู้?
เฉินชีมองคุณหนูจวินดวงตาแทบจะส่องแสง
สีหน้าของคุณหนูจวินกลับมาเฉยชา
“ครั้งก่อนเรื่องที่ใต้เท้าลู่เอ่ย ข้าขออภัยอย่างยิ่ง” นางเอ่ยขึ้น “อภัยด้วยข้าทำไม่ได้”
ลู่อวิ๋นฉีมองไปทางนางอีกครั้ง
เด็กสาวคนนี้ใจกล้าไม่น้อยจริงๆ แต่นี่สำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรควรค่าให้สนใจและประหลาดใจ
คนที่กล้าเปิดร้านยาในเมืองหลวง กล้าเอ่ยคำพูดใหญ่โตพรรค์นั้นแล้วยังแย่งหมอเหล่านี้คืนไปได้อีก แน่นอนย่อมไม่ใช่คนธรรมดาคนหนึ่ง
“ทำไม่ได้ ตอนนั้นทำไมไม่พูด?” เขาเอ่ยเย็นชา
“ตอนนั้น ไม่กล้า” คุณหนูจวินเอ่ย
ตอนนั้นนางเอ่ยออกไปคิดว่าคงเดินออกจากจวนสกุลลู่ไม่ได้แล้ว นี่เป็นสิ่งที่รู้กัน ก็มีเหตุผลมากอยู่
“เจ้าเก็บเงินไปแล้ว” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย
“ตอนนั้น ไม่กล้าไม่รับ” คุณหนูจวินเอ่ย คิดครู่หนึ่งก็เสริมอีกหนึ่งประโยค “ต่อมา ไม่กล้าส่งคืน”
นับถือ
เฉินชีที่ได้ยินประโยคนี้มองคุณหนูจวิน ในใจชูนิ้วโป้ง
พูดเรื่องที่ไม่มีเหตุผลให้มีเหตุผลเช่นนี้ได้ทำให้คนนับถือจริงๆ
แม้คำพูดของลู่อวิ๋นฉีสั้นจนทำให้คนโมโห แต่จากหนึ่งคำถามหนึ่งคำตอบนี้ คนรอบด้านก็เข้าใจเรื่องราวคร่าวๆแล้ว
ดูท่าหัวหน้ากองพันลู่ต้องการให้คุณหนูจวินทำสิ่งหนึ่ง ยังให้เงินแล้วด้วย แต่คุณหนูจวินรับเงินแล้วกลับไม่ทำ
บรรดาชาวบ้านมองไปทางคุณหนูจวินสีหน้าเต็มไปด้วยความนับถือเช่นกัน
กล้าพบกับหัวหน้ากองพันลู่ก็ร้ายกาจนักแล้ว ยังกล้ารับเงินไม่ทำงานอีก นอกจากนี้รับเงินไม่ทำงานยังมีเหตุผลเช่นนี้
ลู่อวิ๋นฉีมองนางครู่หนึ่ง พลิกตัวลงม้า
“นี่เจ้าไม่กล้า นั่นก็ไม่กล้า แต่กล้ารับปากไม่รักษาคำพูด เอาเงินไม่ทำงาน” เขาเดินเข้ามาช้าๆ พลางเอ่ยเชื่องช้า “เจ้ากล้านักนะ”
ก่อนหน้านี้ตอนเขามองเห็นนาง จะเข้าใกล้ด้วยความเร็วที่สุดเสมอ ไม่เคยเชื่องช้าเช่นนี้ เหมือนจะเดินเข้าใกล้แต่ก็ราวกับเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ประดุจสัตว์ร้ายที่กำลังหยอกเหยื่อเล่นตัวหนึ่ง
เอวของเขาห้อยดาบไว้ แม้กั้นด้วยฝักดาบ บรรดาชาวบ้านก็เหมือนจะได้กลิ่นคาวเลือด
มองเขาเดินเคลื่อนไหวทีละก้าวๆ ยิ่งทำให้อกสั่นขวัญแขวน
ราวกับอีกเดี๋ยวหัวหน้ากองพันลู่ก็จะฉับพลันสังหารคน
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน หัวหน้ากองพันลู่ไม่ชอบพูด ดังนั้นเรื่องที่ลงมือได้ก็จะลงมือคลี่คลาย
ก็เหมือนตอนนั้นหน้าพระราชวังฟาดไม้กระบองทำร้ายเหล่าขุนนางที่คัดค้านพวกนั้น และเหมือนกับที่จุดไฟเผาบ้านของผู้ที่ขวางการบุกบ้านเสียดื้อๆ สะบัดดาบใส่บรรดาศิษย์ของปราชญ์ที่ขวางทาง
หัวหน้ากองพันลู่หยุดตรงหน้าคุณหนูจวิน รูปร่างของเขาผอมสูง บดบังแสงตะวันทอดเงาทับคุณหนูจวินไว้
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะเอาอย่างไร?” เขาเอ่ย
ที่เขาพูดคือคำถาม แต่ฟังไปแล้วกลับเป็นคำบอกเล่า ไม่มีอารมณ์สักนิด ไม่สนใจคำตอบของอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง
ตรงกันข้ามกับตอนที่เขาพบหน้ากับตนโดยสิ้นเชิง
เปลี่ยนเปลือกนอกร่างหนึ่ง เปลี่ยนตัวตนอย่างหนึ่งมาดู คนที่เปลี่ยนเปลือกนอกก็หาใช่นางคนเดียวไม่
คุณหนูจวินหลุบตา
“โรงหมอจิ่วหลิงเป็นกิจการบรรพบุรุษตระกูลจวิน ท่านปู่ ท่านพ่อของข้าล้วนไม่อยู่แล้ว ในบ้านมีเพียงข้าคนเดียว แบกรับความปรารถนาสุดท้ายของท่านปู่กับท่านพ่อ ข้าจำต้องสืบทอดโรงหมอจิ่วหลิงต่อไป” นางเอ่ย ย่อเข่าคำนับลู่อวิ๋นฉี “ขอใต้เท้าโปรดอภัย อภัยที่ข้าไม่อาจสละชื่อโรงหมอจิ่วหลิง”
ที่แท้ลู่อวิ๋นฉีก็ต้องการให้โรงหมอจิ่วหลิงเปลี่ยนชื่อหรือ?
คนที่ล้อมดูอยู่ในเหตุการณ์ได้ยินล้วนสีหน้าประหลาดใจ เสียงถกเถียงแผ่วเบาดังขึ้นมาด้วย
ตอนที่คุณหนูจวินย่อเข่านี่เอง ฟางจิ่นซิ่วก็ก้าวไปข้างหน้ายกตั๋วเงินใบหนึ่งก้มศีรษะทูนให้
ที่แท้นางก็รู้ อย่างไรก็เป็นพี่น้องแท้ๆ เรื่องเช่นนี้ก็ปิดบังเพียงตนเองคนนอกคนนี้
เฉินชีคิดว่าไม่ได้รับความยุติธรรมอยู่บ้าง
ฟางจิ่นซิ่วยืนอยู่ข้างกายคุณหนูจวินก้มศีรษะสองมือทูนส่งตั๋วเงิน ลู่อวิ๋นฉีกระทั่งมองยังไม่มองสักที
“ไม่ได้” เขาเอ่ยเด็ดขาด
คุณหนูจวินยังไม่เอ่ยวาจา ฟางจิ่นซิ่วก็เงยหน้าขึ้นก่อน
“ใต้เท้าลู่ โรงหมอจิ่วหลิงแห่งนี้เป็นกิจการตกทอดของตระกูลจวิน ใต้เท้าจวินภักดีกับประเทศจนสิ้นลมไม่อยู่แล้ว เหลือบุตรสาวกำพร้าสืบทอดกิจการ ท่านได้โปรดละเว้นด้วยเถิด” นางเอ่ย
ตัวตนที่มาของคุณหนูจวิน พร้อมกับชื่อเสียงดีๆ ร้ายๆ ขึ้นๆ ลงๆ ของนาง ชาวบ้านในเมืองหลวงล้วนรู้กันหมดแล้ว โรงหมอจิ่วหลิงตระกูลจวินแห่งหรู่หนาน ใต้เท้าจวินนายอำเภอของฝู่หนิงภักดีกับประเทศจนสิ้นใจ นี่เป็นทายาทของตระกูลอันดีงามที่ช่วยเพื่อนมนุษย์ช่วยผู้คนแห่งหนึ่ง
นอกจากนี้ตอนนี้คุณหนูจวินยังจิตใจเมตตากระทำความดีที่เมืองหลวง
ชาวบ้านรอบด้านวุ่นวายขึ้นมานิดหน่อย
“ทำไมไม่ให้ผู้อื่นเปิดเล่า”
“ทำไมต้องเปลี่ยนชื่อด้วยล่ะ”
เสียงถกเถียงแผ่วเบาดังขึ้นรอบด้าน
นี่เป็นสถานการณ์ที่ก่อนหน้านี้ปรากฏน้อยครั้งนักต่อหน้าองครักษ์เสื้อแพร ผ่านบทเรียนน่าสะพรึงขนาดนั้น ไม่มีชาวบ้านกล้าส่งเสียงเบื้องหน้าบรรดาองครักษ์เสื้อแพรแล้ว
นี่คือหัวใจประชาชนงั้นรึ?
โรงหมอจิ่วหลิงแห่งนี้ตอนนี้ได้หัวใจประชาชนเช่นนี้แล้วหรือ?
นี่เพิ่งเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน ก็ทำให้ชาวบ้านเหล่านี้ลืมเลือนความหวาดหวั่นและความกลัวกล้าตั้งคำถามกับบรรดาองครักษ์เสื้อแพรแล้วรึ?
เฉินชีกำมือแน่น อดไม่ได้ฮึกเหิม
หัวใจประชาชน หัวใจประชาชน อาศัยบรรดาชาวบ้านแล้ว
ลู่อวิ๋นฉีหน้าไร้อารมณ์หันมองชาวบ้านด้านข้างฝั่งหนึ่งทีหนึ่ง
มองหนึ่งทีนี้ เสียงตั้งคำถามวิพากษ์วิจารณ์ด้านข้างพลันหายสิ้น
ไม่รอลู่อวิ๋นฉีมองอีกฝั่งหนึ่ง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ฝั่งนั้นก็หายไปในทันใด
รอบด้านเงียบกริบ
เฉินชีในใจหัวเราะขมขื่นสองที
หัวใจประชาชนของชาวบ้านเมืองหลวงนี่ช่างเปลี่ยนง่ายเสียจริง
“ใต้เท้าลู่ ใต้เท้าลู่” เสียงผู้ดูแลใหญ่หลิ่วดังขึ้นจากด้านนอก ตามติดด้วยคนก็เบียดเข้ามา คำนับให้ลู่อวิ๋นฉีติดกันหลายที “ใต้เท้า ใต้เท้า คุณหนูจวินยังเด็ก มีโทษอะไรท่านโปรดอภัยด้วย ท่านกล่าวกับข้าเถอะ”
องครักษ์เสื้อแพรล้อมโรงหมอจิ่วหลิงไว้ พนักงานสองคนล้วนไม่มีโอกาสเดินออกไปจากด้านในโถง ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยังคงเร่งมาในทันที เห็นได้ว่ายามปกติฝั่งนี้ล้วนส่งคนมาจับตาอยู่
ในใจเฉินชีโล่งอกอีกครั้ง มีเต๋อเซิ่งชางออกหน้าคงไม่มีเรื่องแล้ว
อย่างไรเต๋อเซิ่งชางก็เป็นตระกูลที่มีราชโองการ
ลู่อวิ๋นฉีไม่สนหัวใจประชาชน ไม่สนขุนนางใหญ่คนสูงศักดิ์ ถึงอย่างนั้นอำนาจของฮ่องเต้อย่างไรก็คงต้องสนกระมัง
มองผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว ลู่อวิ๋นฉีถอยหลังหลายก้าว
“ไม่มีอะไรต้องพูด” เขาเอ่ย พูดจบประโยคก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าอีก แทบจะกะพริบตาทีหนึ่งก็ยืนอยู่ตรงหน้าป้ายโรงหมอบนพื้น
เขายกเท้าขึ้น เหยียบลงไปบนป้ายโรงหมออย่างแรง
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้กะทันหัน คนทั้งหมดยังไม่ทันตอบสนอง มองเห็นภาพนี้แม้กระทั่งเสียงอุทานตกใจยังไม่ทันหลุดออกจากปาก
แต่ก็มีคนโถมเข้าไปในเวลาเดียวกัน
“เจ้ากล้า!”
พร้อมกันเสียงตวาดดังของเด็กสาว เงาคนก็ตรงดิ่งเข้าชนลู่อวิ๋นฉี
ลู่อวิ๋นฉียกมือ สองมือของคุณหนูจวินผลักบนแขนของเขา ไม่อาจผลักออกไปได้ง่ายๆ แต่ก็หยุดลู่อวิ๋นฉีไม่ให้เหยียบได้
ลู่อวิ๋นฉีถอยหลังก้าวหนึ่ง เท้าที่ยกขึ้นวางลงบนพื้น ฝุ่นดินฟุ้งขึ้นมา
คนที่ยืนอยู่ใกล้แทบจะรู้สึกว่าพื้นดินสั่นนิดๆ
เห็นได้ว่ากำลังของเท้าข้างนี้มากเพียงไร คิดดูก็รู้เตะป้ายปลิวชนบนกำแพงต้องหักเป็นสองท่อนแน่
ป้ายโรงหมอถูกฟาดลงมาก็ทำให้ชาวบ้านหวาดกลัวแล้ว หักแตกอีกก็ไม่มีอะไรน่าตกใจแล้ว เวลานี้ตอนนี้ที่ทำให้พวกเขาตกอกตกใจก็คือเด็กสาวคนไหนถึงกับกล้าทำร้ายลู่อวิ๋นฉี
ก็ไม่ใช่ไม่มีใครกล้าทำร้ายลู่อวิ๋นฉี คนที่อยากทำร้ายลู่อวิ๋นฉีก็เคยมี แต่คนเหล่านั้นจุดจบล้วนอนาถนัก
เด็กสาวคนนี้น่ากลัวว่าคงถูกฆ่าตายตรงนี้แล้ว
รอบด้านชะงักนิ่งไปหมด
ลู่อวิ๋นฉีกลับราวกับหยุดนิ่งไปแล้ว เขามองสองมือนี่ที่จับแขนของตนไว้ ในหูเจ้ากล้าประโยคนั้นยังสะท้อนก้อง
เจ้ากล้า!
เสียงนี้ไม่ได้คุ้นหู แต่ทำไมตะโกนออกมาพริบตานั้นเขาเหมือนวิญญาณหลุดจากร่าง เหมือนกับมีคนผู้หนึ่ง มีวิญญาณดวงหนึ่งโถมเข้ามาอย่างรุนแรง โถมลงบนตัวเขา
วิญญาณที่ไม่อาจพบได้อีกแล้วดวงนั้น
……………………………………….