Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 2 บทที่ 182 บนถนนพบความอยุติธรรมร้องคำราม
บทที่ 182 บนถนนพบความอยุติธรรมร้องคำราม
โดย
Ink Stone_Romance
“คุณหนูจวิน”
เสียงผู้ดูแลใหญ่หลิ่วดังขึ้นข้างหูติดจะสั่นอยู่บ้าง
เสียงนี้ทำให้ลู่อวิ๋นฉีได้สติกลับมา สายตาของเขาหยุดบนหน้าเจ้าของมือสองข้างนี้
ใบหน้าไม่คุ้นเคย
ไม่มีความเหมือนสักนิด
คนพรรค์นี้เขามองยังคร้านมองเพิ่มสักที ตอนนี้กลับเพราะสิ่งนี้คิดถึงวิญญาณของนาง
นี่เป็นมลทิน
นี่ล้วนเพราะชื่อนี้เป็นเหตุ
โรงหมอจิ่วหลิงนี่เขาไม่อนุญาตให้มีอยู่เด็ดขาด
มองแววตาของผู้ชายตรงหน้า ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วรู้สึกสันหลังเย็นวูบ
แย่แล้ว
ในใจเขากรีดร้อง คนก็โถมเข้าไป แต่ยังช้าไปก้าวหนึ่ง มือของลู่อวิ๋นฉีพลิกขยับ
แขนที่เดิมทีถูกคุณหนูจวินจับอยู่ไม่รู้หลุดไปได้อย่างไร พร้อมกันนั้นมือก็ยื่นมาทางลำคอของคุณหนูจวิน
ลำคอบอบบางของคุณหนูจวินหากถูกบีบเข้าคงบีบทีเดียวหักแน่
ถึงเวลา ต่อให้หยิบราชโองการออกมาก็ไม่มีประโยชน์แล้วเหมือนกัน
ใครจะคิดว่าลู่อวิ๋นฉีถึงกับเป็นเช่นนี้ ไม่ถูก ลู่อวิ๋นฉีแน่นอนย่อมเป็นเช่นนี้
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วผู้อายุเกินครึ่งร้อยเผชิญวิกฤติน้อยใหญ่มาแล้ว พริบตาในสมองว่างเปล่าไปหมด
พร้อมกับที่ข้างหูเสียงสายลมเร็วพัดผ่าน ก็เห็นมือที่เดิมจะกำลำคอของคุณหนูจวินปัดไปด้านข้างอย่างแรง
ลู่อวิ๋นฉีถอยหลังสองก้าว มือที่ทิ้งตัวลงมามีหยดเลือดหยดร่วง
ทั้งเหตุการณ์เงียบสนิทไปหมดจากนั้นก็วุ่นวาย
ใคร?
คนในเหตุการณ์มองไปรอบด้านอย่างวุ่นวาย
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วได้สติกลับมาก่อน โถมเข้าไปปกป้องคุณหนูจวินทันที ในเวลาเดียวกันนี้เสียงพูดของผู้ชายก็ดังขึ้นข้างหู
“ใต้เท้าลู่ ท่านช่างองอาจจริงๆ นะ รังแกแม่นางน้อยกลางถนน”
สายตาของลู่อวิ๋นฉีไม่ได้มองไปทางคนที่พูด แต่มองก้อนหินก้อนหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้น บนก้อนหินยังเปื้อนเลือดของเขาอยู่
คนอื่นมองเห็นคนที่เอ่ยวาจาแล้ว บรรดาองครักษ์เสื้อแพรก้าวล้อมลู่อวิ๋นฉีเอาไว้อย่างรวดเร็ว
ถนนเส้นหนึ่งหลีกทางให้ ชายหนุ่มหลายคนปรากฏตรงหน้าบรรดาชาวบ้าน
มองเห็นคนไม่กี่คนนี้ บรรดาชาวบ้านก็หลีกออกดุจคลื่นน้ำทันที
ด้านหน้าโรงหมอจิ่วหลิงมีที่กว้างผืนหนึ่งเกิดขึ้นมา
“คุณหนูจวินท่านไม่เป็นไรนะ?” จางเป่าถังก้าวเร็วไวเข้ามาเอ่ยถามอย่างห่วงใย
คุณหนูจวินส่ายศีรษะยิ้มให้เขา
“คนแซ่ลู่ เจ้ายังมียางอายหรือไม่?” จางเป่าถังมองไปทางลู่อวิ๋นฉีเอ่ยโกรธเกรี้ยว
“ใช่แล้ว ใต้เท้าลู่ ท่านผู้ใหญ่เช่นนี้คนหนึ่ง ทำไมรังแกแม่นางน้อยได้?” ซื่อเฟิ่งเดินเข้ามาส่ายหัวสีหน้าปวดใจ
ลู่อวิ๋นฉีมองไปทางเขา
“หลี่ซานปิง ข้ารังแกแม่นางน้อยมีอะไรแปลกงั้นรึ?” เขาเอ่ยขึ้น
ซื่อเฟิ่งที่ถูกเรียกชื่อแซ่ว่าหลี่ซานปิงตะลึงจากนั้นก็หัวเราะพรืดแล้ว
“ใช่สิ ในสายตาใต้เท้าลู่ท่านมีแบ่งแค่คนกับคนผิด ไม่มีแบ่งแยกชายหญิงผู้เฒ่าเด็กน้อย” เขาเอ่ย พยักหน้า “นี่ไม่แปลกอะไรจริงๆ”
คำล้อเล่นนี่ไม่ได้น่าขำ ในเหตุกการณ์ก็ไม่มีใครหัวเราะ
จางเป่าถังก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งอีกครั้ง
“ใต้เท้าลู่ คุณหนูจวินเปิดโรงหมอรักษาคนตายหรืออย่างไร? ทำไมท่านต้องพังป้ายโรงหมอของผู้อื่น” เขาเอ่ย
ลู่อวิ๋นฉีมองเขาไม่ได้เอ่ยวาจา องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งข้างกายเอ่ยปากอย่างเย็นชา
“พวกเราทำสิ่งใดต้องให้เหตุผลเจ้างั้นรึ?” เขาเอ่ย
จางเป่าถังสีหน้าทะมึน ซื่อเฟิ่งถอนหายใจ
“ใต้เท้าลู่ พวกพี่น้องล้วนหวังดีกับท่าน แม้ท่านหน้าไม่อายมานานแล้ว แต่พวกพี่น้องก็ปวดใจแทนท่านนะ” เขาเอ่ยอย่างเจ็บปวดหัวใจ
ดูเหมือนคำพูดห่วงใยแต่พูดออกมากลับเป็นถ้อยคำทำให้อับอาย บรรยากาศยิ่งชะงักนิ่งกว่าเดิม
“พูดไร้สาระอะไร” จูจั้นเอ่ย พลางก้าวยาวเข้ามา
บรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่ล้อมลู่อวิ๋นฉีอยู่สีหน้าเคร่งเครียดอยู่บ้าง กำดาบในมือแน่น
จูจั้นเดินเข้าใกล้ลู่อวิ๋นฉี สายตาของคนทั้งหมดมองเขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง
เขาเดินไปถึงชั้นล่างของบันไดยื่นมือหยิบป้ายโรงหมอของโรงหมอจิ่วหลิงขึ้นมาค้ำตั้งไว้บนพื้น ตอนนี้ถึงมองไปทางลู่อวิ๋นฉี
“ทำอะไร ไม่ต้องการเหตุผล” เขาเอ่ย ยื่นมือกวัก “มาสิ เจ้าจะพัง ข้าไม่ให้เจ้าพัง ใครร้ายกาจคนนั้นก็สมปรารถนา ก็ง่ายๆ เช่นนี้”
นี่จะตีกันแล้ว?
ชาวบ้านรอบด้านร้องประสานเสียงถอยหลังไปอีกครั้ง
บรรดาองครักษ์เสื้อแพรชักดาบออกมา จางเป่าถัง ซื่อเฟิ่งยืนนิ่ง แลกสายตากัน ต่างมองไปสองทาง ส่วนชายหนุ่มสูงใหญ่กำยำสองคนที่ยืนอยู่กับจูจั้นก่อนหน้านี้แต่ไม่ได้เดินตามมา แววตาคมกริบจ้องเขม็งอยู่ที่บรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่ล้อมอยู่ด้านนอกนานแล้ว
แม้พวกเขาจะไม่ได้พกอาวุธ ร่างกายเกร็งเครียดขึ้นมา กล้ามเนื้อก็ปูดนูนแทบจะดันเสื้อผ้าขาด เห็นได้ว่าขอเพียงตีกันขึ้นมาก็จะสู้สุดชีวิต
ด้านหน้าโรงหมอจิ่วหลิงชักกระบี่ง้างคันศรแตะนิดเดียวก็จะปะทุ
ลู่อวิ๋นฉีมองจูจั้นทีหนึ่ง มุมปากขยับนิดหนึ่ง สักประโยคก็ไม่เอ่ยพลันหมุนตัวขึ้นม้า
มองเห็นการกระทำของเขา บรรดาองครักษ์เสื้อแพรล้วนเก็บอาวุธระแวดระวังพากันขึ้นม้า ความเคร่งเครียดของศึกที่กำลังจะปะทุฉับพลันสลายไป ชาวบ้านบนถนนหลีกทาง มองขบวนของลู่อวิ๋นฉีเร่งม้าวิ่งรี่จากไป
ไม่รู้คนไหนอ้าปากร้องดีใจออกมาก่อน แม้เสียงนี้เบายิ่ง แต่ก็พบเห็นน้อยยิ่งนัก หลังจากนั้นก็มีเสียงร้องดีใจกระจัดกระจายดังขึ้นเบาๆ แม้เสียงเบามาก แต่เสียงเบาๆ รวมกันบนถนนก็กลายเป็นเอะอะขึ้นมาเหมือนกัน
“น่ากลัว” ซื่อเฟิ่งส่ายศีรษะเอ่ยกับเงาแผ่นหลังขบวนคนของลู่อวิ๋นฉี “น่ากลัวขึ้นทุกที สู้ตอนเด็กไม่ได้เลย”
ไม่ว่าใครน่ากลัว เรื่องนี้คลี่คลายไปชั่วคราวก็ดีแล้ว
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองจูจั้นที่ยังค้ำป้ายโรงหมอจิ่วหลิงอยู่ ทั้งขอบคุณทั้งตื่นเต้น
พูดถึงในเมืองหลวงนี้คนที่ต่อต้านหัวหน้ากองพันลู่อย่างไม่หวั่นเกรงเช่นนี้ได้ทั้งยังไม่ตกเป็นรองก็คงมีแค่เขาแล้ว
คุณหนูจวินเดินมาถึงตรงหน้าจูจั้น
“ขอบคุณท่าน” นางเอ่ย
จูจั้นมองนางทีหนึ่ง ไม่ปกปิดความรังเกียจสักนิด
“อย่าคิดไปเองล่ะ พวกเราย่อมไม่ได้ทำเพื่อเจ้า” เขาเอ่ย
จางเป่าถังเดินเข้ามาเช่นกัน
“ข้าใช่ ข้าใช่” เขาเอ่ยต่อทันที “คุณหนูจวินรักษาโรคให้ข้า ทั้งยังเป็นหมอที่ดีขนาดนี้ ถูกคนรังแกพวกเราย่อมไม่มีทางนิ่งดูดาย”
จูจั้นถลึงตามองเขาทีหนึ่ง
“นั่นมันเจ้าไม่ใช่ข้า” เขาเอ่ย ผลักป้ายโรงหมอในมือทีหนึ่ง
คุณหนูจวินตาไวมือเร็วรับไว้มั่น
“ข้าก็แค่ชอบให้พุทราน้อยลู่ไม่มีความสุขเท่านั้น” จูจั้นเอ่ยต่อ มองคุณหนูจวินอีกทีหนึ่ง “ไม่ต้องพูดถึงครั้งนี้เป็นเจ้า ต่อให้เปลี่ยนเป็นคนอื่นสักคนก็เป็นเช่นนี้ เจ้าอย่าคิดมากไป”
คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า
“ข้าไม่ได้คิดมากนะ ที่ข้าขอบคุณก็คือท่านชาย ที่ท่านไม่ว่าเป็นใครพบเห็นความอยุติธรรมก็ชักดาบช่วยเหลือเช่นนี้” นางเอ่ย “ไม่ว่าคนที่ได้รับความช่วยเหลือเป็นข้าหรือผู้อื่น ข้าล้วนต้องขอบคุณ”
จางเป่าถัง ซื่อเฟิ่งรวมถึงชายหนุ่มอีกสองคนที่เดินเข้ามาได้ยินเข้าก็หัวเราะแล้ว
“คำพูดนี้พูดได้ดี” ซื่อเฟิ่งเอ่ยชม
ดีกับผีสิ วาจากะล่อนชัดๆ
คิ้วของจูจั้นเลิกขึ้น
“เจ้าคิดว่าสนิทกับข้ามากแล้วจริงๆสินะ พูดจายิ่งมากขึ้นทุกที” เขาเอ่ย
ตอนแรกที่หรู่หนาน ท่าทีของนางก็ประหลาดมากเช่นกัน แต่ประการที่หนึ่งเพราะความขัดแย้งเรื่องเกมหมากโคมไฟกับต้นเซียนจื่ออิง ผนวกกับท่าทางคุ้นเคยยามแรกพบของนางดูอย่างไรก็ติดจะระแวงและหยั่งเชิงอยู่บ้าง ก็เข้าใจได้
ทว่าตั้งแต่หลังเข้าเมืองหลวงพบหน้ากัน ท่าทีของเด็กสาวคนนี้ที่มีต่อเขาก็เปลี่ยนไปมากอย่างชัดเจน เหมือนกับพูดอะไรก็ไม่เป็นไร จริงใจจนน่ากลัว
พวกเขาสนิทกันขนาดนั้นที่ไหน!
พวกผู้หญิงก็เป็นเช่นนี้ ยิ้มให้นางทีหนึ่งก็แต่งละครใหญ่โตสะเทือนฟ้าดิน ภูตผีเทวาร่ำไห้ได้
ทำหน้าดีๆ ใส่พวกนางไม่ได้จริงๆ
ไม่รอคุณหนูจวินพูดจาอีกครั้ง จูจั้นก็ก้าวเดียวผ่านนางเดินออกไปแล้ว
……………………………………….