บทที่ 1051 กำเนิดเทพมารปฐมยุค

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 1051 กำเนิดเทพมารปฐมยุค

โชควาสนาที่ทำให้ผู้สร้างมรรคาแข็งแกร่งขึ้นก็มีเพียงเทพผู้สร้างมิใช่หรือ

หานเจวี๋ยแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ เอ่ยพึมพำ “หากว่าสามารถแข็งแกร่งขึ้นอีกได้ ข้าคิดว่าความแข็งแกร่งของท่านได้มาเนื่องจากเป็นผู้บุกเบิกสร้างโลกมหามรรคขึ้นเป็นรายแรก ที่แท้ก็ยังมีวิธีฝึกบำเพ็ญอยู่”

เจ้านวฟ้าบุพกาลเอ่ยว่า “พวกเราจะรอคอยการสืบหาตัวตนเจ้าแดนต้องห้ามอันธการของเจ้า”

พอสิ้นเสียงแดนความฝันก็สลายไป

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เขาย่อมไม่เก็บภารกิจที่เจ้านวฟ้าบุพกาลมอบหมายให้มาใส่ใจ

แต่ยังคงพิจารณาถึงจุดหนึ่งอยู่

เจ้านวฟ้าบุพกาลปฏิบัติต่อผู้สร้างมรรคาอื่นๆ อย่างเท่าเทียมด้วยหรือไม่ หรือว่ามอบหมายให้เพียงเขาเท่านั้น

หากว่าเป็นอย่างหลัง เช่นนั้นมิใช่เรื่องดีเลย แปลว่าเจ้านวฟ้าบุพกาลกำลังทดสอบเขาอยู่

เอ๊ะ

คิดเรื่องพวกนี้ไปทำไมกัน!

‘ข้าอยากทราบว่าเจ้านวฟ้าบุพกาลต้องการให้ข้าสืบหาตัวตนที่แท้จริงของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการจริงๆ หรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสิบล้านล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ใช่]

หานเจวี๋ยโล่งใจอย่างสิ้นเชิง

เช่นนั้นก็ดี

อันที่จริงเขาไม่ได้เกรงกลัวเจ้านวฟ้าบุพกาลเลย ถึงอย่างไรก็มีอาณาเขตเต๋า กลัวก็แต่จะเดือดร้อนไปถึงคนที่ตนใส่ใจ

แม้ว่าจะมีวิถีอัญเชิญเทพ เรียกตัวคนกลับมาได้รวดเร็วก็คงไม่เร็วเท่าจิตสังหารที่เจ้านวฟ้าบุพกาลส่งมา

หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูจดหมายเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

[หานหลิงบุตรีของท่านทำความเข้าในพลังปฐมยุค พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[หานฮวงบุตรชายของท่านผสานรวมกฎเกณฑ์สูงสุด พลังเวทเกิดความเปลี่ยนแปลง]

[เต้าจื้อจุนศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญพ้นนิวรณ์] x 97821183

[ศิษย์ของท่าน…]

….

[หานทั่วบุตรชายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเทพมหาทัณฑ์สหายของท่าน]

[หวงจุนเทียนสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]

[จ้าวซวงเฉวียนสหายของท่านรับสืบทอดพลังวิเศษจากผู้ทรงพลังลึกลับ พลังมรรคเพิ่มมหาศาลฉับพลัน]

[หานมิ่งน้องชายของท่านเข้าสู่วังวนแห่งกาลเวลา]

[ชิงเทียนเสวียนจีสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากหานเย่เชื้อสายของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

….

จากจดหมายที่อ่านมา แวดวงสหายของหานเจวี๋ยก็เริ่มเกิดความบาดหมางกันแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน เมื่อบรรลุจุดสูงสุดถึงระดับหนึ่งแล้ว ย่อมต้องคิดหาทางก้าวหน้าต่อไป แต่โอกาสวาสนามีจำกัด ยากจะเลี่ยงการแก่งแย่งชิงดีได้ เมื่อนานวันเข้าย่อมต้องเกิดความบาดหมาง

หานเจวี๋ยก็ไม่ได้คิดว่าศิษย์หรือสหายทั้งหมดของตนจะต้องรักใคร่กลมเกลียวกันไปตลอด ขอเพียงไม่บาดหมางถึงขั้นสังหารกันก็พอ

หากเขาดึงดันออกหน้าไป จะดูเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนทำให้อีกฝ่ายขุ่นข้องได้ ยากจะสะสางบุญคุณความแค้นอย่างยุติธรรมได้

เพียงแต่เช่นนี้ก็น่าสนใจมากเช่นกัน

ความคิดของหานเจวี๋ยค่อยๆ เกิดความเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่รู้ตัว

เรื่องที่เคยกังวลหรือให้ความสำคัญ เขาก็รู้สึกว่าไม่สลักสำคัญ เพียงเพราะเขาแข็งแกร่งมากพอแล้ว

เหล่าศิษย์จัดการได้ยาก แต่เหล่าบุตรธิดาจะต้องจัดการให้ได้ หานเจวี๋ยไม่อนุญาตให้บุตรธิดาบาดหมางสร้างความแค้นกัน หากว่าเป็นความบาดหมางระหว่างรุ่นหรือข้ามไปหลายรุ่น เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร

หลังจากหานเจวี๋ยตรวจจดหมายเสร็จก็เริ่มหลับตาพักสายตา ปล่อยจิตใจให้ล่องลอยออกไป ท่องเที่ยวไปในฟ้าบุพกาลรวมถึงโลกมหามรรคแห่งอื่นๆ

เวลาผ่านไปสามแสนปี ในที่สุดหนังสือแห่งความโชคร้ายก็ยกระดับสำเร็จ

[หนังสือแห่งความโชคร้ายยกระดับจากสมบัติเลิศมรรคาเป็นสุดยอดสมบัติ]

แจ้งเตือนเช่นนี้ปรากฏสู่สายตาของหานเจวี๋ย จากนั้นหนังสือแห่งความโชคร้ายก็ปรากฏขึ้น

แสงทมิฬน่าหวาดหวั่นแผ่ออกมา ทำให้อุณหภูมิภายในอารามเต๋าลดต่ำลงจนถึงจุดเยือกแข็ง ไอมืดมนหนาวเหน็บทำให้อึดอัดไปถึงวิญญาณ

ขนาดผู้สร้างมรรคายังเป็นเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นอริยะมหามรรคทั่วไป เกรงว่าคงร่างสิ้นวิญญาณสลายไปนานแล้ว

น่าหวาดกลัวนัก!

หานเจวี๋ยลูบคลำหนังสือแห่งความโชคร้าย สะท้อนใจอย่างยิ่ง

สมบัติเอ๋ย ในอดีตเจ้าเคยอ่อนแอถึงเพียงนั้น ในที่สุดข้าก็ชุบเลี้ยงผลักดันเจ้าได้แล้ว

หานเจวี๋ยชื่นชมหนังสือแห่งความโชคร้ายอยู่สักพัก เมื่อแน่ใจว่าแล้วว่าหนังสือแห่งความโชคร้ายไม่มีทางย้อนกลับมาแว้งกัดตนถึงได้เก็บเข้าไป ยังไม่สาปแช่งเจ้านวฟ้าบุพกาลตอนนี้

จากนั้นก็จัดการความคิดของเขาต่อ

หานเจวี๋ยกลับมายังอารามเต๋าภายในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม ซั่นเอ้อร์ไม่ได้ฝึกบำเพ็ญแต่กำลังอยู่ในแบบจำลองการทดสอบ ใบหน้าประดับรอยยิ้มโง่งม คาดว่าคงไปข่มเหงคนระดับต่ำๆ อีกแล้ว

เด็กคนนี้ชอบต่อสู้กับผู้ที่ระดับค่อนข้างอ่อนแอกว่าตัวเอง แต่การตั้งค่าจำนวนศัตรูกลับคล้ายหานเจวี๋ยมาก คือเน้นศัตรูในปริมาณมาก

หานเจวี๋ยอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ จึงเริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบเช่นกัน

เขาท้าทายมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญ ท้าทายคราวเดียวห้าหมื่นคน!

ค่าตัวของมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญคือสองแสนล้านล้านปี แข็งแกร่งกว่าเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลและมหาเทวาพ้นนิวรณ์

แต่หานเจวี๋ยต่างไปจากในอดีตแล้ว สามารถต่อกรกับมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญห้าหมื่นคนได้สบายๆ

ถึงอย่างไรก็อยู่ในระดับที่สูงกว่ามหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญหนึ่งขั้นเล็ก

เขาเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ได้ใช้งานแบบจำลองการทดสอบมาหลายแสนปี พลังของเขาเองก็เพิ่มขึ้นอยู่ตลอด

สุดท้ายจำนวนมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญที่เขาท้าทายสิ้นสุดลงที่สองแสนราย สำหรับเรื่องนี้ทำให้เขาพอใจมาก

เขาลืมตาขึ้น พบว่าซั่นเอ้อร์ยังอยู่ในแบบจำลองการทดสอบ เขาไม่ได้รบกวนอะไร ฝึกบำเพ็ญต่อไป

….

ณ วังจักรพรรดิมหาโชค ภายในตำหนักเชื่อมนภา

หานหลิงทอดสายตามองเด็กหนุ่มชุดดำคนหนึ่งที่อยู่ในตำหนัก เด็กหนุ่มคุกเข่าอยู่บนพื้น อายุราวสิบห้าสิบหกปี ใบหน้าละม้ายนางยิ่ง หล่อเหลาหมดจด แต่แววตากลับมืดมนอย่างน่าประหลาด ราวกับอสรพิษ

“เจ้ากลายสภาพมาจากรากวิญญาณปฐมยุค เช่นนั้นเจ้าจงมีนามว่าจงหยวนเถิด”

หานหลิงเอ่ยขึ้นมา

เด็กหนุ่มชุดดำตอบว่า “ข้าได้ยินว่าตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในฟ้าบุพกาลคือเทพมารฟ้าบุพกาล เช่นนั้นข้าจะเป็นเทพมารปฐมยุค วันหน้าจะเข้าห้ำหั่นกับเทพมารอนธการ ท่านเห็นว่าอย่างไรขอรับ ท่านแม่!”

หานหลิงเอ่ยว่า “เทพมารปฐมยุคเช่นนั้นหรือ ใช้ได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกเราว่าท่านแม่ เรียกเราว่าฝ่าบาทเถอะ”

เทพมารปฐมยุคขมวดคิ้ว ถึงแม้จะไม่ชอบใจแต่ก็ยังตอบรับ

“เราจะอบรมสั่งสอนเจ้าด้วยตัวเองหนึ่งหมื่นปี จากนั้นจะส่งเจ้าไปหาประสบการณ์ที่วังสวรรค์” หานหลิงเอ่ยต่อไป

เทพมารปฐมยุคเอ่ยถาม “ข้ารับรู้ได้ว่าข้ามีความเกี่ยวข้องกับสถานที่บางแห่ง ฝ่าบาท ท่านค้นพบข้าจากที่ใดหรือ ข้าอยากกลับไป หากอยู่ที่นั่นข้าจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แข็งแกร่งจนปกครองสรรพสิ่งฟ้าบุพกาลได้”

หานหลิงขมวดคิ้ว เอ่ยไปว่า “เจ้าฟังคำพูดของเราไม่เข้าใจหรือ”

เทพมารปฐมยุคก้มหน้าลง

หานหลิงเอ่ยว่า “เราสร้างเจ้าขึ้นมา หากปราศจากเรา เจ้าไหนเลยจะแปลงกายได้ หากถูกตัวตนอื่นค้นพบ พวกเขาจะย่อยสลายดูดซับเจ้าเข้าไปโดยตรง เราจัดสรรทุกอย่างไว้ให้เจ้าแล้ว เข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจแล้ว…”

เทพมารปฐมยุคตอบรับ น้ำเสียงค่อนข้างสั่นพร่า

หานหลิงกล่าวว่า “ตอนนี้มาประลองกับเราก่อน ให้เราได้เห็นว่าพลังที่ถือกำเนิดขึ้นพร้อมตัวเจ้าแข็งแกร่งแค่ไหน

“ใช้พลังทั้งหมดเสีย หากสามารถทำร้ายเราได้ เราจะพาเจ้าไปยังสถานที่ที่เจ้าต้องการ”

เทพมารปฐมยุคได้ฟังก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมเอ่ยด้วยความดีใจ “จริงหรือ”

“แน่นอน!”

“ฝ่าบาท ข้าแข็งแกร่งมาก ท่านต้องระวังไว้หน่อย!”

“มาเถอะ!”

เทพมารปฐมยุคลุกขึ้นยืน ปราณแดงสายแล้วสายเล่าผุดออกมาจากร่าง ทำให้เกิดเงาเลือนร่างหนึ่งขึ้นเหนือร่างเขา

เมื่อเห็นเงาพร่าเลือนนั้น หานหลิงเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง

ใช่จริงๆ

ท่านพ่อ นี่คือพลังของท่าน

หลังจากเทพมารปฐมยุคก่อร่างจำลองขึ้นมาแล้วก็เข้าโจมตีหานหลิงในทันที

ตำหนักเชื่อมนภาสั่นไหวรุนแรง

เวลาผ่านไปหลายลมหายใจ

เทพมารปฐมยุคนอนอยู่บนพื้น อาภรณ์ขาดวิ่น มีกองทหารจักรพรรดิหลายพันคนปิดล้อมอยู่รอบกาย กลางอากาศยังมีทหารจักรพรรดิที่ถืออาวุธวิเศษจ่อชี้มาที่เขา

เขามีสีหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อ สั่นสะท้านไปทั้งร่าง

เขาพ่ายแพ้เร็วเหลือเกิน!

เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้!

“พลังนี้ของเจ้าแข็งแกร่งมาก แต่เจ้ายังไม่สามารถควบคุมได้ ตบะและกายเนื้อของเจ้าอ่อนแอเกินไป ยังต้องฝึกบำเพ็ญให้ดี อย่าได้ดูแคลนพลังนี้เด็ดขาด” เสียงของหานหลิงแว่วขึ้น

เทพมารปฐมยุคกัดฟัน แววตาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม

ในเวลานี้ เสียงหนึ่งแว่วเข้ามา

“ฝ่าบาท เทวทัณฑ์หานฮวงมาเยี่ยมเยือน จะให้เข้าพบหรือไม่”

เสียงนี้ราวกับสายฟ้าฟาด ไม่ทราบว่าแว่วมาจากที่ใด

หานหลิงหรี่ตาลงเอ่ยไปว่า “ให้เขาเข้ามา ห้ามเสียมารยาท”