เล่ม 1 ตอนที่ 252-1 ท่านแม่เฉียวออกโรง แต่งตั้งยศ

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 252-1 ท่านแม่เฉียวออกโรง แต่งตั้งยศ

เสียงนี้ไม่ดังแต่ได้ยินชัดเจนไปทั่วทุกมุมของแท่นบวงสรวง ราวกับมีดคมกริบเย็นเฉียบเล่มหนึ่งปักเข้ากลางใบหน้าของผู้คนอย่างไม่ทันป้องกัน หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน ความหนาวยะเยือกชวนขนลุกแผ่ลามมาตามสันหลัง แม้แต่ลมหายใจก็ต้องกลั้นเอาไว้

แท่นบวงสรวงเงียบกริบไร้สุ้มเสียง

ประมุขตระกูลปี้หลัวมองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ มีพริบตาหนึ่งนั้นที่เขาสงสัยว่าตนเองมองผิด เขาพยายามขยี้ตา แต่ภาพตรงหน้าก็ยังไม่เปลี่ยน เขาจึงทราบว่าทุกสิ่งล้วนเป็นความจริง แต่นี่เป็นไปได้อย่างไร นางไม่ได้เก็บตัวฝึกวิชาอยู่หรอกหรือ บอกว่าอีกหนึ่งเดือนกว่าไม่ใช่หรือ นี่เพิ่งจะผ่านไปนานเท่าใด นางก็ออกมาแล้ว คนที่เลิกเก็บตัวฝึกฝนวิชาก่อนกำหนดจะบาดเจ็บหนัก แต่ดูร่างกายของนาง มีตรงไหนเหมือนบาดเจ็บบ้าง ดูแข็งแรงดีชัดๆ!

นี่ นี่…

ประมุขตระกูลปี้หลัวบื้อใบ้

ประมุขตระกูลไซน่าก็ตกใจเช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือประมุขตระกูลปี้หลัวตกใจกลัวเสียเป็นส่วนมาก แต่เขาค่อนไปทางดีใจเล็กน้อย ธิดาเทพพลัดตกจากแท่นประกอบพิธี แม้เขาจะพยายามโต้เถียงด้วยเหตุผล แต่ในใจเขาก็เข้าใจดีว่านั่นเป็นการดิ้นรนก่อนตายเท่านั้น เขาทุ่มแต้มต่อทั้งหมดไว้กับตัวจั๋วหม่าน้อยคนนี้ ชีวิตของคนตระกูลไซน่ากับตระกูลถ่าถาเอ่อร์ทั้งหมดล้วนผูกติดอยู่กับตัวนาง หากนางเกิดเรื่อง พวกเขาสองตระกูลก็จบสิ้น ดังนั้นต่อให้เป็นทางตัน พวกเขาก็ยังพยายามดิ้นรนอย่างไม่ยินยอม

ทว่าเมื่อจั๋วหม่าน้อยถูกฝูงชนรุมล้อมจู่โจม เขาก็ทราบแล้วว่าการดิ้นรนทั้งหมดของเขาสูญเปล่า

ในห้วงขณะที่เขาคิดว่าทุกสิ่งไม่อาจแก้ไขได้แล้วนั่นเอง จั๋วหม่าก็บุกเข้ามา

จั๋วหม่าผู้นี้เป็น ‘ตัวก่อภัยพิบัติ’ ในใจของชาวเผ่าทุกคน นางเป็นนางมาร เป็นดาวหายนะน้อย… ยามปกติเขาเองก็รังเกียจนางอยู่บ้าง แต่เวลานี้เขากลับรู้สึกว่านางน่ารักจนไม่อาจน่ารักได้มากกว่านี้อีกแล้ว

ม้าของเฮ่อหลันชิงเยื้องย่างมาอย่างเชื่องช้า เสียงกีบเท้าม้าดังกังวานอ้อยอิ่งในอากาศ แม้แต่ม้าตัวนี้ก็คล้ายจะไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ม้าตัวสูงใหญ่เดินผ่านกลุ่มสาวกที่ก่อเรื่องวุ่นวาย ทุกคนหวาดกลัวจนก้าวถอยหลัง

สายลมอ่อนพัดมาจากด้านหลังนางอย่างเงียบเชียบ มันหอบเอากลิ่นหอมเย็นสะอาดแต่เย็นชาบนร่างนางลอยมา ในอากาศมีกลิ่นหอมน่าดมดอมจางๆ ลอยอ้อยอิ่ง

ทุกคนกลืนน้ำลายเสียงดัง มองนางด้วยหัวใจอันตื่นตระหนกลนลาน

นางมองไปด้านข้างแล้วเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย ริมฝีปากสีแดงสดใต้ผ้าคลุมนั่นคลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะยกโค้งขึ้นมา “ขว้างสิ เหตุใดไม่ขว้างแล้วเล่า”

คนที่อยู่ตรงหน้านางคืออันธพาลน้อยผู้ถือไข่เน่าคนหนึ่ง อันธพาลน้อยได้กลิ่นหอมเย็นจากบนตัวนาง ลำคอก็ตีบตัน ทว่าพอได้ยินเสียงของนาง จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าความหนาวยะเยือกแผ่ลามขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้า เขาตัวสั่นเทา มือที่ถือไข่เน่าสั่นกึกๆ ไม่หยุด สุดท้ายเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าอะไร แต่สรุปก็คือขณะที่หัวร้อนชั่วขณะนั่น เขาก็ขว้างไข่เน่าฟองนั้นใส่หน้าผากของตนเองอย่างแรง!

มุมปากของเฮ่อหลันชิงเหมือนจะโค้งเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ดวงตาของนางซ่อนอยู่ใต้เงาของผ้าคลุม แต่บอกไม่ได้ว่าเพราะเหตุใด ทุกคนจึงยังสัมผัสได้ว่าแววตาคมดุดันของนางกำลังมองมาบนร่างของตนเอง

“พวกเจ้าไม่ขว้างแล้วหรือ” ริมฝีปากแดงของนางยกโค้งขึ้นน้อยๆ

แน่นอนว่าพวกเขาทุกคนย่อมขว้าง พวกเขาขว้างของในมือใส่หน้าผากตัวเองทีละคนๆ แม้แต่การกินข้าว พวกเขายังไม่เคยรู้สึกว่าจำเป็นต้องทำเท่านี้!

สาวกกลุ่มนี้ขว้างแล้ว กลุ่มต่อไปก็เริ่มบ้าง

ไม่นานรอบแท่นบวงสรวงก็มีเสียงไข่กระทบศีรษะดังขึ้น กลิ่นคาวคละคลุ้งลอยอบอวล

คนที่ถือไข่เน่าเปิดอย่างทรงเกียรติแล้ว คนที่ถือใบผักเน่าก็ย่อมล้าหลังไม่ได้ พวกเขาทยอยยัดใบผักเละๆ เข้าไปในปากเหมือนวัวแก่เคี้ยวต้นหญ้า

คนที่ถือรองเท้าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว สหายร่วมรบวางอาวุธกันหมดแล้ว เวรเอ้ย ตนจะห้าวหาญเกินไปก็คงไม่ได้ เขารีบหันพื้นรองเท้าเล็งบนใบหน้าบานๆ ของตนเองแล้วตบ ป้าบ! ป้าบ! ป้าบ! ป้าบ!

พวกที่อนาถที่สุดก็คือพวกที่ถือก้อนหิน จังหวะนี้พวกเขารู้สึกเหมือนโลกจะถล่ม…ตอนแรกเส้นเอ็นเส้นไหนกระตุก เหตุใดถึงต้องหยิบก้อนหินขึ้นมากันนะ…

ภาพฝูงชนจัดการ ‘อัตวินิบาต’ ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาพที่เห็นน่าประทับใจมากทีเดียว

ยังมีสาวกอีกบางส่วนที่ถูกปลุกปั่นจนแต่เดิมอยากก้าวเข้ามาร่วมวงด้วย แต่เพราะช้าไปก้าวหนึ่งพวกเขาจึงถูกขวางอยู่ท่ามกลางหมู่คน ตอนแรกพวกเขาขุ่นเคืองอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้พวกเขายินดีเป็นล้นพ้น โชคดีแล้วที่ช้า หากเร็วกว่านี้สักหน่อยคงถูกนางมารผู้นี้เชือด…

บนหอสูง พวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยสามคนประจักษ์ภาพอันน่าสังเวชใจ (น่าสาแก่ใจ) ที่สุดในโลกกับตาตนเอง เยียนเฟยเจวี๋ยตกตะลึงจนคางเกือบร่วง นับตั้งแต่พบยอดหญิงงาม เขาก็คิดว่าบนโลกใบนี้คงไม่มีสตรีนางใดองอาจน่าเกรงขามเช่นนั้นได้อีกแล้ว แต่คนผู้นั้นด้านล่าง ช่าง…ช่าง…

เขาอ่านหนังสือมาน้อย ไม่ทราบว่าสมควรจะพรรณนาอย่างไร สรุปก็คือเขารู้สึกฮึกเหิมยิ่งกว่าเห็นกองทัพพันทหารหมื่นอาชา

ด้านข้าง จีอู๋ซวงผู้เยือกเย็นสำรวมท่าทีอยู่เสมอก็แสดงอาการตกตะลึงอย่างยากจะปกปิดเช่นกัน ส่วนเจ้าสำนักน้อยอี้เชียนอินมองตาโตอ้าปากค้างอยู่ก่อนแล้ว เขารู้สึกว่าหัวใจของตนเหมือนถูกผู้ใดยิงศรมาปัก หัวใจเต้นระรัวอย่างร้ายกาจ

“โอย…” อี้เชียนอินกุมหัวใจที่เต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง

เฮ่อหลันชิงหันไปมองแท่นบวงสรวง มือเรียวขาวดั่งต้นหอมขยับออกมาจากแขนเสื้อกว้างแล้วกระดิกนิ้วนิดๆ ไปทางประมุขตระกูลปี้หลัว

ประมุขตระกูลปี้หลัวนิ่งอึ้ง

มุมปากของเฮ่อหลันชิงยกโค้งอย่างชั่วร้าย

เวรเอ้ย ดาวหายนะน้อยผู้นี้คิดจะทำอะไรอีก! หัวใจของประมุขตระกูลปี้หลัวแทบจะขึ้นมาจุกลำคออยู่รอมร่อ เขาเผ่นพรวดไปอยู่หลังผู้อาวุโสทั้งห้า เขาเลิกฝึกวรยุทธ์มาหลายปีแล้ว แต่ความเร็วเมื่อครู่เสมือนเขาย้อนกลับไปยังช่วงที่วรยุทธ์อยู่ในจุดสูงสุด!

ผู้อาวุโสทั้งห้าคนมองเขาอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ ตอนเกิดเรื่องเจ้าเหิมเกริมนักไม่ใช่หรือ เหตุไฉนตอนนี้กลายเป็นเต่าหดหัวตัวหนึ่งแล้วเล่า

ประมุขตระกูลปี้หลัวคิดทบทวนแล้วว่าผู้อาวุโสทั้งหลายไม่น่าจะพึ่งพาได้ สายตาจึงเหลือบมอง จากนั้นชักเท้าไปหลบด้านหลังเหอจั๋ว

เหอจั๋วเป็นบิดาแท้ๆ ของนาง อย่างไรเสียนางก็คงไม่กล้าทำอะไรกับบิดาแท้ๆ หรอก!

เฮ่อหลันชิงหัวเราะเบาๆ นางหนังตาไม่กระตุกสักนิด นิ้วมือที่ราวกับสลักจากหยกเคาะกับอานม้าเบาๆ ทันใดนั้นองครักษ์ชุดเกราะสีดำคนหนึ่งด้านข้างก็เหินร่างใช้วิชาตัวเบากระโจนขึ้นไปบนแท่นบวงสรวง คว้าคอเสื้อของประมุขตระกูลปี้หลัวแล้วหิ้วเขามาตรงหน้าเฮ่อหลันชิงราวกับหิ้วไก่แก่ๆ ตัวหนึ่ง องครักษ์ชุดดำเหินลงบนหลังม้า ส่วนประมุขตระกูลปี้หลัวถูกโยนไว้บนพื้น เขากลิ้งหนึ่งตลบอย่างน่าอนาถ

เฉียวเวยหัวเราะพรืดออกมา

เสียงหัวเราะแผ่วเบา ฟังแว่วหวาน ดวงตาของเฮ่อหลันชิงโค้งลงเล็กน้อย

ประมุขตระกูลปี้หลัวล้มลุกคลุกคลานขึ้นมาจากพื้น การเหินผ่านอากาศมาทำให้เขาแข้งขาอ่อน เขาพยายามลุกขึ้นยืนอยู่หลายหนกว่าจะยืนมั่นคง สายตารอบด้านทยอยหันมาหาเขา แก้มของเขาแสบร้อนเหมือนไฟ ถูกโยนลงพื้นต่อหน้าคนแทบทั้งเผ่า เรียกได้ว่าขายหน้ายิ่งนัก

ความอับอายแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว เขาหันไปมองเฮ่อหลันชิง “เจ้า…เจ้า…เจ้าคิดจะทำอะไร อย่าคิดว่าเจ้าเป็นจั๋วหม่าแล้วจะทำอะไรตามใจก็ได้! ข้าคือประมุขตระกูลปี้หลัว ผู้กล้าตระกูลปี้หลัวของข้าคอยพิทักษ์ชายแดน ข้าเป็นผู้อาวุโสของเจ้า! เจ้าไร้มารยาทต่อข้าเช่นนี้ได้อย่างไร”

ท่าทางเขาจะกลัวจนเขลาเสียแล้ว คำที่พูดออกมาจึงสับสนวุ่นวาย

ดวงหน้าของเฮ่อหลันชิงซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุม ริมฝีปากสีแดงสดที่ต้องแสงตะวันยกโค้งอย่างเหยียดหยัน “ไร้มารยาทกับเจ้าแล้วจะทำไม เจ้าจะทำอย่างไรกับข้าได้”

“เจ้า…” ประมุขตระกูลปี้หลัวโมโหจนอกจะแตกตายแล้ว เขามององครักษ์เกราะดำผู้เต็มไปด้วยไอสังหารรอบด้าน แล้วหันไปมององครักษ์ของตระกูลตนเองที่กลัวจนขวัญกระเจิง ฟันขบกันดังกรอด เขาไม่มีทางยอมรับว่าตนเองก็กลัวเหมือนกัน ดาวหายนะน้อยคนนี้ ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยทำเรื่องดีงามสักอย่าง ไม่เผาตำหนักธิดาเทพก็ระเบิดปราสาทเฮ่อหลัน ประมุขตระกูลทั้งแปด ผู้อาวุโสทั้งห้า คนไหนไม่เคยถูกดาวหายนะน้อยคนนี้ทำให้โมโหจุกอกบ้าง แม้แต่เหอจั๋วยังถูกนางทำให้โมโหแทบตายอยู่บ่อยครั้ง แต่ใครบางคนเกิดมาวาสนาดี คลอดออกมาจากท้องฮูหยินของเหอจั๋ว ต่อให้เขาอยากจะสั่งสอน….ก็สู้ไม่ได้

มารดามันเถอะ!

บนเกาะไม่มีผู้ใดสู้นางได้เลย!

“ที่แห่งนี้คือแท่นบวงสรวง! เจ้า…เจ้า…เจ้าทางที่ดีทำตัวเคารพหน่อย!” ประมุขตระกูลปี้หลัวบอกเสียงแข็ง (เสียงอ่อน)

เฮ่อหลันชิงเหมือนไม่ได้ฟังสักนิดว่าเขาพูดอะไร นางเปลี่ยนประเด็น ถามขึ้นมาอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “เจ้าเป็นคนพูดว่าลูกสาวของข้าทำให้องค์เทพพิโรธสินะ”

ประมุขตระกูลปี้หลัวสะอึก แม้ในใจหวาดกลัว แต่เขามิอาจแสดงออกมาได้ ไม่เช่นนั้นตนเองย่อมขายหน้า ประมุขตระกูลปี้หลัวตั้งสติแล้วพูดด้วยสีหน้าเที่ยงธรรม “ข้า…ข้าพูดเองแล้วจะทำไม ข้าพูดผิดหรือ เรื่องในวันนี้ เจ้าก็คงเห็นแล้ว แท่นประกอบพิธีบวงสรวงถล่มลงมา ธิดาเทพพลัดร่วงจากแท่นตกลงมาบาดเจ็บสาหัส เป็นตายยังไม่แน่ นี่จะต้องเป็นเพราะองค์เทพพิโรธ! นับตั้งแต่เหอจั๋วสืบทอดตำแหน่ง เผ่าถ่าน่าทำพิธีบวงสรวงวันขึ้นปีใหม่มาสามสิบเอ็ดหน ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุอันใดมาก่อน ปีนี้พอมีจั๋วหม่าน้อยเพิ่มมาคนเดียว แท่นประกอบพิธีก็ถล่ม หากนี่ไม่ใช่จั๋วหม่าน้อยทำให้องค์เทพพิโรธแล้วจะคือ…อ้าก…”

คำว่า ‘อะไร’ ยังไม่ทันเอ่ยจบ คนก็ถูกเฮ่อหลันชิงตบจนกระเด็น

ประมุขตระกูลปี้หลัวเหมือนไข่เน่าฟองหนึ่งที่ถูกขว้าง เขาลอยเป็นเส้นโค้งอันงดงามกลางอากาศ หลังจากนั้นก็ตกลงบนแท่นประกอบพิธีที่ถล่มไปครึ่งหนึ่งเสียงดัง โครม! แท่นที่เหลือครึ่งหนึ่งถล่มลงมาด้วย

เขานอนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง กระดูกทั่วร่างเหมือนจะแยกออกจากกัน เจ็บจนเหมือนจะตาย กระอักเลือดออกมาได้คำหนึ่งก็หมดสติ

เฮ่อหลันชิงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวพิสุทธิ์ออกมาเช็ดมือเหมือนเมื่อครู่แตะถูกสิ่งสกปรกอะไรสักอย่าง “ข้ารำคาญคนหนวกหูเป็นที่สุด”