ตอนที่ 252-2 ท่านแม่เฉียวออกโรง แต่งตั้งยศ
แท่นบวงสรวงเงียบกริบจนน่ากลัว สาวกที่ขวัญอ่อนบางส่วนตกใจจนเป็นลมไปแล้ว องครักษ์ของตระกูลปี้หลัวเห็นนายถูกผู้อื่นตบจนบาดเจ็บก็อยากเข้าไปพยุง แต่เพิ่งก้าวเท้าออกมาก้าวเดียว เสียงพื้นรองเท้าบดลงบนดินก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นระทึก เขายกเท้าวางกลับไปที่เดิมอย่างระมัดระวัง ไม่ให้มีเสียงใดๆ เกิดขึ้น
อาชาร่างกำยำแบกเฮ่อหลันชิงเดินขึ้นไปบนแท่นบวงสรวงอย่างหยิ่งยโสประหนึ่งจักรพรรดิ
แท่นบวงสรวงเป็นสถานที่สูงส่ง แต่นางกลับไม่ลงจากม้า ไม่เคารพองค์เทพเกินไปแล้วจริงๆ
เหอจั๋วจ้องเขม็ง “ลงมา”
เฮ่อหลันชิงเหล่มองบิดาอย่างเฉยเมย แล้วขี่ม้าผ่านข้างตัวเขาไปอย่างไม่ใส่ใจ
หากจั๋วหม่าเชื่อฟัง ถ้าเช่นนั้นนางก็ไม่ใช่จั๋วหม่าแล้ว หากไม่ได้เป็นเช่นนี้เหอจั๋วจะโกรธแทบตายอยู่บ่อยๆ หรือ
เหอจั๋วเองก็ทำอะไรกับลูกสาวคนนี้ไม่ได้เหมือนกัน จริงดังที่เฉียวเวยกล่าว โกรธอีกเท่าใดสุดท้ายก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง ลูกคนเดียวในชีวิตนี้ก็คือนาง
ม้าตัวสูงใหญ่หยุดหน้าแถวหญิงรับใช้ หญิงรับใช้เหล่านี้ล้วนเป็นบ่าวในตำหนักธิดาเทพ ธิดาเทพบาดเจ็บต้องพาลงไปรักษา พวกนางจึงขนเปลหามมา ขณะที่กำลังจะแบกธิดาเทพจากไป กลับ…ถูกหนึ่งคน หนึ่งอาชาขวางทาง
สายตาของเฮ่อหลันชิงจับอยู่บนร่างของธิดาเทพชัดๆ แต่คำที่นางเอ่ยออกมากลับไม่ได้พูดกับธิดาเทพ “ตั้งแท่น”
ทุกคนงุนงง ตั้งแท่น? ตั้งแท่นอะไร ผู้ใดตั้งแท่น
ทุกคนกำลังฉงนงงวยก็เห็นด้านหลังทหารม้าผู้น่าเกรงขามสองแถวจู่ๆ ก็มีองครักษ์เกราะดำกลุ่มใหม่โผล่ออกมา องครักษ์เกราะดำแห่เข้าไปในห้องโถงที่เฉียวเวยอยู่ จากนั้นด้านในมีเสียงประหลาดดังออกมา เพียงพริบตาเดียวองครักษ์เกราะดำกลุ่มนี้ก็อุ้มไม้ที่ตัดมาใหม่เดินไปทางแท่นบวงสรวง หลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อต่อแท่นประกอบพิธีขนาดสูงสิบเมตรแท่นหนึ่งจนเสร็จต่อหน้าสายตาตกตะลึงอย่างยิ่งของทุกคน
บนพื้นไม่เหลือสิ่งของระเกะระกะสักชิ้น
จากนั้นองครักษ์เกราะดำก็ถอยกลับไปยืนในขบวนแถวของตนเองอย่างรวดเร็ว
บนแท่นบวงสรวงเหมือนไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น มีเพียงแท่นประกอบพิธีที่เหมือนผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า
ทุกคนขยี้ตา มารดา นี่ข้าฝันไปใช่หรือไม่!
เฮ่อหลันชิงหันไปมองธิดาเทพผู้ตาปิดหายใจรวยริน แล้วเอ่ยอย่างไม่แยแส “ข้าให้ตัวเลือกเจ้าสองทาง ทำพิธีให้เสร็จ หรือไม่ก็ไม่มีโอกาสทำพิธีกรรมใดๆ ให้เสร็จอีกเลย”
หมอที่อยู่ด้านข้างรีบบอกว่า “จั๋วหม่า ธิดาเทพบาดเจ็บหนัก ขยับอีกไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะอันตรายถึงชีวิต”
เฮ่อหลันชิง “ข้าถามเจ้าหรือ”
หมอก้มหน้าลงอย่างแค้นใจ
เฮ่อหลันชิงเอ่ยขึ้นว่า “อย่าคิดว่าข้าไม่มีหนทางทำอะไรเจ้า ข้าเผาตำหนักธิดาเทพของพวกเจ้าได้หนึ่งหน ก็เผาตำหนักธิดาเทพของพวกเจ้าได้สองหน ข้าจะนับถึงสาม หนึ่ง”
พลธนูหันลูกธนูไปหาคนทั้งหมดของตำหนักธิดาเทพ
ตำหนักธิดาเทพเป็นตำหนักของเทพในสายตาชาวเผ่าถ่าน่า คนที่อยู่ที่นั่น ต่อให้เป็นสาวใช้ทำงานใช้แรงงานหนักฐานะต่ำต้อยที่สุดก็ยังได้อาบรัศมีของความศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีผู้ใดกล้าไม่เคารพพวกนาง เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้องค์เทพไม่พอใจ
บนเกาะถึงขั้นมีคำพูดที่แพร่หลายกันประโยคหนึ่งบอกว่า “ยอมเป็นบ่าวของธิดาเทพ ไม่ขอเป็นภรรยาตระกูลใหญ่” เห็นได้ว่าคนของตำหนักธิดาเทพฐานะสูงส่งมากเพียงใด
ทว่าพลธนูกลุ่มนี้ประหนึ่งอสูรจากแดนนรก ดวงตาของพวกเขาไม่มีกลัวเกรงแม้แต่น้อย
เฮ่อหลันชิงนับต่อ “สอง”
พลธนูง้างคันธนูโก่งจนสุดอย่างพร้อมเพรียง
ริมฝีปากแดงของเฮ่อหลันชิงเผยอ คำว่าสามกำลังจะหลุดออกมา ธิดาเทพที่อยู่บนเปลหามก็ลืมตาโพลง ลึกลงไปในดวงตาปรากฏแววตาเย็นยะเยือก นางมองสตรีบนหลังอาชากำยำ จากนั้นสายตาก็จับบนมุมปากที่เหมือนจะเยาะเย้ยหยียดหยันของนาง “จั๋วหม่า ที่แห่งนี้คือแท่นบวงสรวง”
เฮ่อหลันชิงเป่าปลายเล็บสีแดงสดแล้วว่า “รู้ว่าเป็นแท่นบวงสรวงแล้วเจ้ายังจะเสแสร้งแกล้งตายอีกหรือ”
หญิงรับใช้อายุน้อยของตำหนักธิดาเทพคนหนึ่งทนมองไม่ได้อีกต่อไปจึงก้าวออกมาบอกว่า “ธิดาเทพของพวกเราไม่ได้เสแสร้ง นางเจ็บหนักมากจริง…”
ปึก!
ทันใดนั้นนางก็ถูกอาชาร่างกำยำตัวนั้นยกกีบเท้าถีบกระเด็นอย่างไม่ไว้ไมตรีสักนิด
ทุกคนสูดลมหายใจดังเฮือก กล้ากระทำหยาบช้าบนแท่นบวงสรวง แล้วยังทำร้ายคนของตำหนักธิดาเทพอีก ผู้คนไม่รู้จะพูดอะไรแล้วจริงๆ
แม่นางน้อยผู้นี้ก็โง่เขลา ไม่เห็นหรือว่าแม้แต่ประมุขตระกูลปี้หลัว ผู้อื่นยังตบ เจ้าสุดยอดนักหรือ เป็นเพียงบ่าวรับใช้ตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็กล้ามาหาเรื่องดาวหายนะน้อยให้ตัวเองโชคร้าย สมควรถูกถีบแล้ว
ธิดาเทพฝืนร่างกายอันเจ็บปวดลงมาจากเปลหาม นางรับกระบี่วิเศษมาจากมือของหญิงรับใช้แล้วลากขาอันหนักอึ้ง กุมหน้าอกอันเจ็บปวด เดินขึ้นไปบนแท่นประกอบพิธีทีละก้าว
นางยกกระบี่วิเศษ ระบำอธิษฐานที่ก่อนหน้าร่ายรำไม่จบ
ระบำอธิษฐานแตกต่างจากการร่ายรำปกติ มันต้องใช้พละกำลังมากกว่า งดงามมากกว่าและดูสง่าผ่าเผยมากกว่า
ว่องไวดุจโฮ่วอี้[1]ยิงเก้าตะวัน งามดั่งทวยเทพขี่มังกรเหาะเหิน ออกท่วงท่าดุดันราวอสนีบาตพิโรธ หยุดนิ่งเสมือนประกายคลื่นบนสายนที
ร่ายรำจนจบ เรี่ยวแรงทั้งร่างก็เหมือนถูกสูบออกไปจนหมด ร่างกายของธิดาเทพโงนเงนใกล้ล้ม ตอนนี้นางบาดเจ็บจนบาดเจ็บมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วจริงๆ
ทว่าต่อจากนี้ยังมีพิธีรับขวัญจั๋วหม่าน้อยอีก
ธิดาเทพเกาะรั้วของแท่นประกอบพิธีพลางกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ แล้วเอ่ยออกมาอย่างลำบากยากเย็น “เชิญ…จั๋วหม่าน้อย”
“ประเดี๋ยวก่อน” เฮ่อหลันชิงยกมือขึ้น “ลูกสาวของข้าจะเดินบนทางซอมซ่อของพวกเจ้าได้อย่างไร”
สิ้นคำ องครักษ์เกราะดำคนหนึ่งก็อุ้มพรมสีทองม้วนใหญ่ที่เอามาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ ปูลงแทบท้าเฉียวเวยอย่างแผ่วเบา จากนั้นขยับมือผลัก ถนนเส้นใหญ่ทอประกายสีทองอร่ามเส้นหนึ่งทอดยาวจากโถงตำหนักไปยังแท่นบวงสรวง
เฉียวเวยกะพริบตาอย่างตกตะลึง แล้วหันไปมองจีหมิงซิว จีหมิงซิวกุมมือนาง อมยิ้มพยักหน้าให้ “ไปเถิด”
เฉียวเวยยกเท้า
“เดี๋ยวก่อน!” นางกำนัลชิงเหยียนก้าวเข้ามาอย่างร้อนรน “เสื้อผ้าสกปรกหมดแล้ว เดี๋ยวจะขายหน้าผู้คน เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถิด”
“ไม่ต้อง”
สภาพของนางดูเละเทะอยู่บ้างก็จริง แต่มีมารดาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ปูถนนสีทองวิบวับให้นาง เท่านี้ก็สูงส่งและมีเกียรติอย่างยิ่งแล้ว
จีหมิงซิวจูงมือนางส่งไปยังพรมสีทอง
นางเหยียบบนพรมนุ่มนิ่น เดินทีละก้าวไปยังแท่นบวงสรวง
บอกตามตรง เมื่อเช้าวันนี้นางยังรู้สึกว่าพิธีกรรมเช่นนี้ไม่เห็นมีอะไรพิเศษนัก นางมองว่ามันเป็นงานที่จำเป็นต้องทำให้เสร็จอย่างหนึ่งเท่านั้น ทว่าเวลานี้จู่ๆ ในใจนางกลับมีความรู้สึกคาดหวังผุดพรายจนแทบจะควบคุมไม่ได้ แล้วก็มีความยินดีเสี้ยวเล็กๆ แฝงอยู่ด้วย
ขั้นตอนพิธีรับขวัญไม่ยุ่งยาก ก่อนอื่นเฉียวเวยเดินขึ้นไปบนแท่นสูง หันหน้าไปทางทิศอาคเนย์ ว่ากันว่านั่นเป็นสถานที่พำนักขององค์เทพ จากนั้นโขกศีรษะสามหน ต่อไปธิดาเทพก็วางมือลงบนหน้าผากของเฉียวเวย ใช้ภาษาโบราณสวดบทสวดท่อนหนึ่ง หลังจากนั้นธิดาเทพก็แต้มสีแดงจุดหนึ่งกลางหว่างคิ้วของเฉียวเวย เสร็จแล้วพิธีก็เข้าสู่ช่วงสุดท้าย
“น้ำศักดิ์สิทธิ์” ธิดาเทพเรียก
หญิงรับใช้ของตำหนักธิดาเทพถือขวดกระเบื้องใบหนึ่งเดินขึ้นมาบนแท่นประกอบพิธี
ธิดาเทพรดน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้เฉียวเวย พิธีก็เป็นอันสิ้นสุด
“ลุกขึ้น” ธิดาเทพบอก
เฉียวเวยลุกขึ้นยืน ธิดาเทพกุมข้อมือของนางจากนั้นชูมือของนางขึ้น นางหันไปมองสาวกที่เรียงรายแน่นขนัดอยู่รอบด้าน นิ้วมือกำเน่น กล่าวขึ้นว่า “จั๋วหม่าน้อยกลับมายังเผ่าของพวกเราแล้ว องค์เทพยอมรับนางแล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไป ขอให้ทุกคนเคารพนาง รักนาง เสมือนหนึ่งเคารพรักองค์เทพของพวกเจ้า”
ฝูงชนที่ไม่นานก่อนหน้านี้ยังอยากจะฉีกเฉียวเวยเป็นชิ้นๆ เวลานี้โห่ร้องแสดงความยินดีดังสนั่นดุจเสียงอสนีบาต
“จั๋วหม่าน้อย!”
“จั๋วหม่าน้อย!”
“จั๋วหม่าน้อย!”
“จั๋วหม่าน้อย!”
ทุกคนตะโกนเสียงดังฮึกเหิม คล้ายกับว่าเค้นพละกำลังของทั้งชีวิตออกมา แต่ละคนใบหน้าแดงระเรื่อ อารมณ์พลุ่งพล่าน กระตือรือร้นสุดกำลัง
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าความจริงแล้วในใจพวกเขากำลังพังทลาย
จั๋วหม่า จั๋วหม่าที่รักของข้า พวกเราทุ่มสุดกำลังถึงเพียงนี้แล้ว ให้คนหันลูกธนูเย็นเฉียบออกไปได้แล้วหรือยัง วางดาบลง วางกระบี่ลง แล้วคืนลูกให้พวกเราได้แล้วกระมัง…
[1] โฮ่วอี้ บุคคลในตำนานปรัมปราของจีนโบราณ เล่ากันว่าเป็นผู้ยิงพระอาทิตย์ที่แต่เดิมมีอยู่สิบดวง ให้เหลือเพียงดวงเดียว โลกจึงพ้นจากความแห้งแล้ง