ตอนที่ 253-1 แม่ลูกอยู่พร้อมหน้า สามีภรรยาหวนพบพาน
เฉียวเวยทำพิธีทั้งหมดลุล่วงท่ามกลางเสียงโห่ร้องแสดงความยินดี ต่อจากนี้เพียงบันทึกชื่อนางลงในทำเนียบตระกูลก็เพียงพอแล้ว เรื่องนี้ให้สำนักผู้อาวุโสจัดการได้ ไม่จำเป็นต้องให้นางเดินทางไปเอง
แม้จะทุลักทุเลไปสักหน่อย แต่ตอนนี้นางก็เป็นชาวเผ่าถ่าน่าอย่างถูกต้องแล้ว!
เฉียวเวยสาวเท้าเร็วไวลงจากแท่นประกอบพิธี ด้านหลังนาง ในที่สุดธิดาเทพก็ฝืนเรี่ยวแรงไม่ไหวเป็นลมล้มพับไป แต่เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับนางเล่า นางไม่ได้เป็นคนเหยียบจนแท่นประกอบพิธีถล่มเสียหน่อย ทำพิธีให้ลุล่วงดีๆ ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ ดันพยายามจะใช้เล่ห์เพทุบาย ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า นี่เรียกว่ากรรมตามสนอง!
ตอนที่ร่วงลงมาหนแรกธิดาเทพก็กระดูกซี่โครงหักอยู่แล้วท่อนหนึ่ง นางฝืนทนเจ็บร่ายรำเนิ่นนานถึงเพียงนั้น สภาพจึงเรียกได้ว่าน่าเวทนาจนทนมองไม่ได้
ตำหนักธิดาเทพลนลานจนโกลาหลไปหมด
เฉียวเวยก้าวไปหาสตรีบนหลังอาชาตัวใหญ่
คนผู้นี้ก็คือมารดาของนาง ไม่อยากจะเชื่อว่านางจะมีมารดากับเขาแล้ว ชาติก่อนรอเนิ่นนานถึงเพียงนั้นก็ไม่ได้พบ ชาตินี้สวรรค์ดีต่อนางไม่น้อย
เฉียวเวยยืนอยู่หน้าอาชาตัวสูงใหญ่ นางมองสตรีผู้สวมผ้าคลุมด้วยแววตาอันสั่นไหว หัวใจเต้นกระหน่ำดุจตีกลอง
กล่าวกันว่าเลือดข้นกว่าน้ำ ใช่มารดาของนางหรือไม่ มองปราดเดียวก็สัมผัสได้แล้ว
แม้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่ามารดาของนางอาจจะเป็นเหมือนยอดหญิงงาม เป็นผู้กล้าหญิงผู้มีวรยุทธ์น่าทึ่งและรูปโฉมชวนให้คนตะลึงพรึงเพริด แต่นี่ก็คือมารดาของนาง มิว่านางหน้าตาอัปลักษณ์มากเพียงใด นางก็ชอบทั้งนั้น!
เฮ่อหลันชิงยกมือขึ้นดึงหมวกเปิดออกอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นใบหน้างามชวนตะลึงดุจเทพธิดา ชั่วพริบตานั่นสรรพสิ่งในโลกหล้าล้วนหมองสี
เฉียวเวยตกตะลึงจนนิ่งอึ้งในทันที
มีชีวิตอยู่มาสองชาติ คิดว่าตนเองได้ยลสิ่งงดงามมาจนหมดสิ้นแล้ว ทว่าตอนนี้ได้พบมารดาของตนจึงเพิ่งรู้ว่าสิ่งใดเรียกว่างามเลิศในปฐพี เมื่อเทียบกับมารดาของนางแล้ว สวินหลันอะไร ธิดาเทพอะไร ทั้งหมดล้วนต้องถอยหลบไปด้านข้าง ต่อให้เป็น…เทพธิดาบนสรวงสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ก็คงงามไม่เท่ามารดาของนาง
เฮ่อหลันชิงเห็นท่าทางตะลึงของนางอยู่ในสายตาทั้งหมด มุมปากยกขึ้นนิดๆ “สาวน้อยซื่อบื้อ มองจนตาค้างไปแล้วหรือ”
ดวงตาของเฉียวเวยเป็นประกายวิบวับ “ท่านแม่ ท่านงามมากจริงๆ”
คำว่าท่านแม่เพียงคำเดียวก็ทำให้หัวใจของเฮ่อหลันชิงอ่อนยวบหมดแล้ว เฮ่อหลันชิงยื่นมือออกมาตรงหน้าบุตรสาว
เฉียวเวยวางมือลงบนมือของมารดา
เฮ่อหลันชิงกระตุกเพียงแผ่วเบาก็ดึงนางขึ้นมาบนหลังม้าสำเร็จ
หากเฉียวเวยขึ้นไปนั่งเองดีๆ อาจจะยังไม่เป็นอะไร แต่หากลอยลงไปกระแทกเช่นนี้ แรงที่ร่วงลงมาทับก็ออกจะน่ากลัวไปสักหน่อย เทียบเท่ากับวั่งซูตัวน้อยประมาณสองคน อาชาธรรมดาย่อมรับไม่ไหว ทว่าพาหนะของเฮ่อหลันชิงกลับไม่หอบแม้แต่น้อย มันเชิดศีระอย่างหยิ่งทะนง ก้าวขายาวอันสง่างามเยาะย่างอย่างสบายใจเฉิบออกจากแท่นบวงสรวง
เฮ่อหลันชิงมือหนึ่งกำสายบังเหียน อีกมือหนึ่งโอบเรือนร่างบอบบางของลูกสาวไว้ในอ้อมแขน
เฉียวเวยไม่ต่อต้านการกระทำใกล้ชิดเช่นนี้ นางถึงขนาดรู้สึกดีใจอยู่หน่อยๆ เสียด้วยซ้ำ
มือของเฉียวเวยสางขนบนแผงคออาชาไปมา นี่เป็นการกระทำที่ปกติอย่างยิ่งอย่างหนึ่ง แต่เมื่ออยู่ในสายตาของเฮ่อหลันชิงกลับน่ารักอย่างบอกไม่ถูก
บุตรสาวตรงไหนๆ ก็น่ารักไปหมด ตรงไหนๆ ก็งามไปหมด
“มันชื่อหั่วเฟิ่ง” เฮ่อหลันชิงเหมือนจะมองความสงสัยของบุตรสาวออก
หั่วเฟิ่งส่งเสียงพรืดทักทาย
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “เป็นแม่นางหรอกหรือ”
ศีรษะของแม่นางหั่วเฟิ่งเชิดสูงขึ้นกว่าเดิม
ตอนเดินลงมาจากแท่นบวงสรวง หญิงรับใช้อายุน้อยของตำหนักธิดาเทพที่ถูกถีบจนสลบคนนั้นกำลังกุมศีรษะอันมึนงงลุกขึ้นมา แต่นางยังไม่ทันยืนมั่นคงก็ถูกหั่วเฟิ่งถีบอีกหนึ่งทีจนสลบต่อ!
ไม่มีผู้ใดกล้าขวางทางของนางมาร ผู้คนถอยพรวดแหวกออกเป็นทางเส้นหนึ่ง หั่วเฟิ่งพาสองแม่ลูกจากไป
เวลานี้คนที่อยู่บนหอสูงต่างเดินตามกันลงมาด้านล่างแล้ว เมื่อครู่เพราะมุมที่อยู่ทำให้พวกเขามองเห็นแต่แผ่นหลังของเฮ่อหลันชิง ตอนนี้จึงอดรนทนไม่ไหวอยากจะเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่ายสักหน แม้ได้ยินว่ามารดากับบุตรสาวหน้าตาคล้ายกันอย่างยิ่ง แต่การกระทำเมื่อครู่ของเฮ่อหลันชิงทำให้ผู้คนนึกถึงยอดหญิงงามผู้มหัศจรรย์คนนั้นไม่เว้นแม้แต่คนเดียว ทุกคนก็เหมือนกับเฉียวเวย ไม่คาดหวังกับหน้าตาของนางอีกแล้ว ผู้ใดก็ไม่คิดว่าจะได้เห็นดวงหน้าเช่นนี้
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคลังคำศัพท์น้อยจนไม่มีถ้อยคำให้เลือกใช้ อยากจะบอกว่านี่คงเป็นเทพธิดากระมัง แต่รอบตัวนางดันไม่มีรัศมีของเทพเซียนสักนิด มีแต่ไอมารเสียมากกว่า!
เฮ่อหลันชิงโอบบุตรสาวไว้ในอ้อมแขน ท่าทางหล่อเหลาองอาจ สตรีห้าวหาญเช่นเฉียวเวยเมื่ออยู่ต่อหน้าความแข็งแกร่งของนางก็กลายเป็นเจ้าซาลาเปาน้อยนุ่มนิ่มก้อนหนึ่ง
อี้เชียนอินหยุดหายใจไปแล้ว กาลเวลาไม่ทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าของเฮ่อหลันชิงแต่อย่างใด นางอ่อนเยาว์อย่างน่าเหลือเชื่อ ความงามของนางราวกับมีพลังจู่โจมบางอย่างทำให้ผู้คนไม่อาจต้านทาน งามเด่นสะดุดตา งามกระชากวิญญาณผู้คน
อี้เชียนอินยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมหัวใจ “จบกันๆ…”
“อะไรจบกัน” จีอู๋ซวงกลับถามขึ้นด้วยท่าทางที่ยังค่อนขางสุขุม
เจ้าสำนักน้อยอี้กัดริมฝีปากอย่างน่าสงสารยิ่งนัก “ข้าอยากเป็นอนุภรรยาของนาง…อยากให้กำเนิดลูกลิงน้อยของนาง…”
เฉียวเจิงเดินโซเซออกมา ยามได้เห็นใบหน้าที่หวนคะนึงทุกเช้าค่ำดวงนั้น เขาก็ดีใจจนพูดไม่ออก
เฮ่อหลันชิงก็เห็นเฉียวเจิงแล้ว นางพลิกกายลงจากหลังม้า เดินทีละก้าวไปอยู่ตรงหน้า มือเรียวยาวดั่งหยกสลักยกขึ้นลูบใบหน้าของเขา
เฉียวเจิงร้องไห้โฮ!
เฮ่อหลันชิงรั้งเขาเข้ามาในอ้อมแขน ปลอบเสียงแผ่วเบา “ไม่ต้องร้องแล้ว สามี นี่ข้าก็มาแล้วไม่ใช่หรือไร…”
เฉียวเจิงร่ำไห้จนกลายเป็นมนุษย์น้ำตา
เฉียวเวย ภาพนี้เหมือนจะมีตรงไหนไม่ค่อยถูกต้องนักหรือเปล่า!
เจ้าซาลาเปาน้อยก็ก้าวขาสั้นๆ วิ่งเข้ามาด้วย พวกเขาหยุดอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง เงยใบหน้าดวงน้อยอันเยาว์วัยมองพี่สาวเทพธิดาคนนี้ตาแป๋ว (ความจริงไม่มีตรงไหนสมกับเป็นเทพสักนิด แต่ไม่เคยมีคนสอนพวกเขาว่าสิ่งใดคือมารเสียหน่อย)
“ท่านก็คือท่านยายคนงามหรือเจ้าคะ” วั่งซูกะพริบตาปริบๆ ถาม
เฮ่อหลันชิงประคองเฉียวเจิงไว้ในอ้อมแขน มืออีกข้างหนึ่งอุ้มวั่งซูขึ้นมาอย่างง่ายดาย “ใช่แล้ว ข้าก็คือท่านยายคนงาม”
วั่งซูชอบท่านยายผู้มีพละกำลังมหาศาลคนนี้ “ข้าคือวั่งซู”
“ข้ารู้” เฮ่อหลันชิงยกมุมปากขึ้นน้อยๆ แล้วอุ้มจิ่งอวิ๋นขึ้นมาต่อ “จิ่งอวิ๋นสินะ”
จิ่งอวิ๋นพยักหน้า ใบหน้าน้อยแดงระเรื่อ ตัวของท่านยายกลิ่นหอม นุ่มนิ่ม เขาชอบยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้จีหมิงซิวเอาตัวปกป้องเฉียวเวยจนถูกคนปาไข่เน่าใส่ ตอนนี้เขาจัดการเครื่องแต่งกายเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมาพบแม่ยายอย่างสง่างาม
ยามคนเป็นแม่ยายมองลูกเขย ยิ่งมองก็มักจะยิ่งชอบใจอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับเมื่อลูกเขยคนนี้ เฮ่อหลันชิงเป็นคนเลือกมาเองกับมือ เฮ่อหลันชิงวางเจ้าซาลาเปาน้อยลงบนพื้นแล้วยกมือขึ้นตบไหล่จีหมิงซิวเบาๆ
จีหมิงซิวยังไม่ทันเอ่ยปากเรียกท่านแม่ ก็รู้สึกว่าร่างกายครึ่งหนึ่งชาไปหมดเสียแล้ว…
…
สิบห้าปีพลัดพรากจากจร หัวใจทุกข์ทนราญรอน ในที่สุดวันนี้ได้อยู่พร้อมหน้า หัวใจของทุกคนรู้สึกเบิกบานยิ่งนัก
คนทั้งครอบครัวนั่งรถม้ากลับปราสาทเฮ่อหลันอย่างสุขสันต์เปรมปรีดิ์
เหอจั๋วก็กลับมาด้วย ตอนเช้าจิตใจเขาได้รับความกระทบกระเทือนตอนอยู่บนแท่นบวงสรวง เมื่อกลับมาก็ล้มหมอนนอนเสื่อ เฉียวเจิงทราบเรื่องก็หิ้วล่วมยารีบเร่งไปหาอย่างไม่พูดพร่ำ
แม้ตัวเฮ่อหลันชิงเองจะไม่ถึงกับเมินเฉยต่อบิดาแท้ๆ คนนี้มากมายนัก แต่เฉียวเจิงกลับดีต่อเขาไปจนถึงกระดูก
บุรุษเช่นนี้ หาได้ไม่มากจริงๆ
“แสนดีเหลือเกิน!” เฮ่อหลันชิงมองแผ่นหลังของเฉียวเจิงด้วยแววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่
เฉียวเจิงฝังเข็มรักษาอาการเหอจั๋วอยู่ในห้อง เฮ่อหลันชิงกับเฉียวเวยสองแม่ลูกรออยู่ที่ห้องโถงด้านข้าง เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนนั่งอยู่บนพรมนิ่มบนพื้น เล่นของเล่นชิ้นน้อยของตนอย่างปรองดอง
ไม่พบหน้ากันมาหลายปี สองแม่ลูกย่อมมีเรื่องมากมายจะคุยกัน เฮ่อหลันชิงสั่งให้หญิงรับใช้ในห้องถอยออกไป จีหมิงซิวก็พาเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนออกไปอย่างใส่ใจด้วย
เฮ่อหลันชิงถามเฉียวเวยว่าที่ผ่านมาใช้ชีวิตเป็นอย่างไร
พูดตามตรงหลายปีนั้นใช้ชีวิตเป็นอย่างไร เฉียวเวยไม่เคยมีความทรงจำตั้งแต่แรก จำได้ว่าลืมตาขึ้นมาก็ตื่นขึ้นมาในบ้านว่างเปล่าที่มีแต่ผนังสี่ด้าน โถข้าวสารเหลือข้าวอยู่เพียงน้อยนิดไม่กี่เมล็ด มีน้ำมันหมูครึ่งถ้วยกับหัวไชเท้าเหี่ยวๆ สองสามหัว แล้วก็เจ้าซาลาเปาน้อยที่ผอมแห้งตัวซีดสองคน นี่คือทั้งหมดของนาง
นางต่อสู้จนเอาชีวิตรอดมาได้ ต่อมากิจการก็ใหญ่โต แล้วก็ตามหาบิดาของเด็กๆ พบ จากนั้นก็ได้พบกับบิดา สมบัติที่เป็นของครอบครัว นางก็แย่งชิงกลับมาหมดไม่ขาดแม้แต่ส่วนเดียว เหมือนจะไม่มีสิ่งใดให้ไม่พอใจแล้ว แต่พอนึกขึ้นมาว่าครอบครัวสามคนต้องพลัดพรากจากกันไปเนิ่นนานปีเช่นนี้ก็ปวดใจอย่างห้ามไม่ได้