Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 2 บทที่ 184 เพียงเพราะชื่อ
บทที่ 184 เพียงเพราะชื่อ
โดย
Ink Stone_Romance
และในเวลาเดียวกันนี้ซื่อเฟิ่งก็ขบคิดคำถามเดียวกัน มองจูจั้นที่เดินอยู่ข้างตัวเป็นระยะ
“มองอะไร มีอะไรก็รีบพูด” จูจั้นเอ่ย
ซื่อเฟิ่งหัวเราะคิกคักก้าวไปข้างหน้า
“คิดไม่ถึงคุณหนูจวินคนนี้ร้ายกาจทีเดียว ไม่พูดถึงไม่กี่เดือนสร้างชื่อในเมืองหลวง ยังถึงกับหาเรื่องลู่อวิ๋นฉีได้” เขาเอ่ย “ข้าคิดว่าหาเรื่องเจ้าก็ร้ายกาจพอแล้ว”
จูจั้นแค่นเสียง
“หาเรื่องลู่อวิ๋นฉี เจ้าช่างยกย่องนางเสียจริง” เขาเอ่ย
จางเป่าถังได้ยินก็ก้าวตามขึ้นมาด้วย
“พี่รอง ถ้าอย่างนั้นเป็นเพราะอะไร?” เขาเอ่ย พูดถึงตรงนี้สีหน้าก็โกรธอยู่บ้าง “ใช่ลู่อวิ๋นฉีเจ้าลูกสุนัขนี่คิดอะไรกับคุณหนูจวินหรือไม่? เจ้าหนูนี่ตอนนี้ไม่ใช่คนแล้ว วันๆ แย่งชิงผู้หญิงมาไว้ในบ้านลับ บ้านลับของเขาผู้หญิงมากกว่ากรมสังคีตศิลป์เสียอีก…”
“เจ้าลูกสุนัขตัวนี้คิดว่าตนเองเหยียบขึ้นฟ้าแล้วจริงๆ…” ชายหนุ่มคนอื่นเอ่ยทันที
จูจั้นโบกมือ
“พวกเจ้าคิดเรื่องถูกทำนองคลองธรรมหน่อยได้ไหม?” เขาเอ่ย “ลากไปไหนแล้ว”
“นี่โทษพวกเราไม่ได้ ใครให้คนแซ่ลู่ไม่ทำเรื่องถูกทำนองคลองธรรม” ซื่อเฟิ่งเอ่ย
“พี่รอง ถ้าเช่นนั้นที่แท้เป็นเพราะอะไร?” จางเป่าถังเอ่ยถาม
จูจั้นมองด้านหน้าหัวเราะ
“ไม่มีอะไร เพียงเพราะชื่อเท่านั้น” เขาเอ่ย
เพียงเพราะชื่อเท่านั้น?
ซื่อเฟิ่งเข้าใจทันที
“โรงหมอจิ่วหลิง จิ่วหลิง…” เขาเอ่ย
โรงหมอจิ่วหลิง
ชายหนุ่มคนอื่นก็ล้วนเข้าใจแล้ว สีหน้าพิกลอยู่บ้าง
“เขาเสียสติรึ” จางเป่าถังร้องตะโกน “ใต้หล้าคนที่ชื่อจิ่วหลิงมีตั้งมาก เขา เขา…”
เขาติดอ่างอยู่เป็นนานก็หาคำที่เหมาะสมไม่ได้ ท้ายที่สุดจึงถุยทีหนึ่ง
“เสียสติจริงๆ”
“พี่รอง เพราะสิ่งนี้จริงรึ? นี่น่าขำเกินไปแล้ว” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ลู่อวิ๋นฉีเขาบ้าไปแล้วหรือ? มีเหตุผลอื่นหรือไม่? ข้าได้ยินว่าผู้หญิงของลู่อวิ๋นฉีมาหาคุณหนูจวินรักษาโรค เพราะเรื่องนี้ทำเขาโกรธหรือไม่?”
“นางจะรักษาไม่หายรึ? นางจะให้คนหาข้อตำหนินางในด้านโรคได้หรือ?” จูจั้นเอ่ย “ไม่มีเหตุผลอื่นแล้ว ก็เหตุผลนี้แหละ”
เขาหยุดไป
“นี่ก็ไม่ได้น่าขำ”
เพราะที่เขาสนใจโรงหมอจิ่วหลิง ปกป้องป้ายโรงหมอแผ่นนั้น ก็ไม่ใช่เพราะชื่อนี้หรือ?
นี่คือเสียสติหรือ?
หากเสียสติ รักษาหายได้หรือไม่?
…
“อวิ๋นฉี”
“อวิ๋นฉี”
เห็นลู่อวิ๋นฉีเดินเข้ามา หญิงสาวด้านในเรือนก็รุมเข้ามารอบด้านล้อมเขาไว้
ลู่อวิ๋นฉีแย้มยิ้มมองพวกนางทีละคนๆ ยื่นมืออกมารับเหล่าหญิงสาวเข้ามาในอ้อมกอด
พลันหญิงสาวคนหนึ่งก็ร้องตกใจขึ้น
“อวิ๋นฉีมือของท่านเป็นอะไร?” นางตะโกน
พวกผู้หญิงมองไป ตอนนี้ถึงมองเห็นบนหลังมือขวาที่ยื่นออกมาของลู่อวิ๋นฉีมีรอยเลือดแถบหนึ่ง เนื้อหนังแหวะเปิดไปก้อนหนึ่ง
เหล่าหญิงสาวส่งเสียงกรีดร้องตรงนั้นตรงนี้
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ใครมานี่เร็วเข้า”
ลู่อวิ๋นฉีแย้มยิ้มส่งเสียงชู่ให้พวกนาง
“ไม่ต้องร้องโหวกเหวก” เขาเอ่ย
แค่เขายิ้มเอ่ยประโยคนี้ พวกผู้หญิงก็เงียบลงทันที
“อวิ๋นฉี เกิดอะไรขึ้นหรือ?” มีคนร่ำไห้เป็นดอกสาลี่เปียกฝนเอ่ยถาม
ลู่อวิ๋นเพียงแค่ยิ้มไม่เอ่ยวาจา
“อวิ๋นฉี เจ็บหรือไม่?” ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถาม
ลู่อวิ๋นฉีมองไปทางคนพูด
ผู้หญิงคนนี้ถูกเบียดไปข้างนอก กำลังเบิ่งตามองเขาอยู่
ลู่อวิ๋นฉีผลักผู้หญิงในอ้อมกอดข้างหน้าออก ยื่นมือไปทางนางเดินไป
ผู้หญิงคนนี้เพราะตะลึงยินดีอย่างยิ่งชั่วขณะหนึ่งลืมขยับ จนกระทั่งถูกลู่อวิ๋นฉีกอดไว้
ศีรษะของลู่อวิ๋นฉีซุกอยู่บนหัวไหล่ของนาง
“เจ็บ” เขาตั้งใจเอ่ย
ผู้หญิงคนอื่นจึงได้สติกลับมา รุมเข้ามาอีกครั้ง
“อวิ๋นฉี ข้าพันแผลให้เจ้าเอง”
“อวิ๋นฉี ยังมียา รีบไปเอายามา”
พวกผู้หญิงแย่งกันพูด ลู่อวิ๋นฉีเพียงแค่ซบอยู่บนหัวไหล่ของหญิงสาวที่กอดไว้นิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้พวกนางจัดการกับมือของเขาตามใจ
…
เหตุการณ์ครั้งนี้ที่โรงหมอจิ่วหลิงเพราะเกี่ยวพันถึงลู่อวิ๋นฉีกับจูจั้นจึงแพร่ไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
หนิงอวิ๋นเจาที่เก็บตัวอ่านหนังสืออยู่ที่กั๋วจื่อเจี้ยนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาถึงขั้นโกรธเกรี้ยวอยู่บ้างขัดคำพูดของเสี่ยวติง
“ทำไมตอนนี้เพิ่งมาบอกข้า?” เขาเอ่ย
เสี่ยวติงไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งหวาดกลัวมองเขา
คุณชายสง่าทรงภูมิมาตลอด น้อยนักจะบันดาลโทสะ ยิ่งไม่เคยใช้คำพูดเลวร้ายกับคนรับใช้
“คุณชาย ท่านเคยบอกว่าไม่ให้รบกวนท่าน จะตั้งใจอ่านหนังสือ” เขาเอ่ยอย่างระวัง
เขาเคยพูด เขาก็เป็นคนลงมือทำได้ปล่อยวางเป็นคนหนึ่ง ในเมื่อคุณหนูจวินพูดชัดแล้วว่าไม่เหมาะสมไม่อยาก เขาย่อมไม่ไปกวนนางอีก แน่นอนไม่ให้เสี่ยวติงไปสืบข่าวนางต่อด้วย
แต่…
ไม่กวนนาง ไม่สืบข่าวของนาง กับเรื่องนี้ตอนนี้ไม่เหมือนกัน
นี่นางพบอันตรายแล้ว
อันตรายเกินไปแล้ว ลู่อวิ๋นฉีคนผู้นี้อันตรายเกินไปแล้ว
“เรื่องเช่นนี้ไม่บอกได้หรือ?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย
เรื่องเช่นนี้ทำไมไม่บอกไม่ได้? เสี่ยวติงไม่เข้าใจ แต่ในฐานะคนรับใช้ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจเช่นกัน
“ขอรับๆ” เขาขานรับหลายคำ“ข้าผิดไปแล้ว”
หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ตั้งคำถามต่อ ออกห่างจากโต๊ะเดินไปมาหลายก้าว
“มีคนบอกว่าคุณหนูจวินรักษาผู้หญิงของใต้เท้าลู่ไม่หาย” เสี่ยวติงเอ่ยต่ออย่างระมัดระวัง
“เหลวไหล” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย
“แล้วก็มีคนบอกว่า ใต้เท้าลู่ต้องตาคุณหนูจวินเข้า บุตรชายเฉิงกั๋วกงก็ต้องตาคุณหนูจวินเหมือนกัน ดังนั้น…” เสี่ยวติงเอ่ยอีกครั้งอย่างระมัดระวัง
คำพูดครั้งนี้ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกหนิงอวิ๋นเจาขัดแล้ว
“ไร้สาระน่าหัวร่อ” เขาเอ่ย “คนใต้หล้าล้วนเป็นเช่นนี้จริงๆ แค่เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกับผู้ชายคนหนึ่งทะเลาะกันก็ต้องคิดถึงเรื่องนี้”
เสี่ยวติงขัดเขิน
“นี่ไม่ใช่ไม่รู้เหตุผลทุกคนก็คาดเดามั่วหรือขอรับ” เขาเอ่ย “ยังไงลองไปถามคุณหนูจวินไหมขอรับ?”
หนิงอวิ๋นเจาส่ายศีรษะ
“นี่ยังต้องถามหรือ? นี่ไม่ใช่เห็นชัดๆ รึ” เขาเอ่ย “เพียงเพราะชื่อเท่านั้น”
ชื่อ?
เสี่ยวติงไม่เข้าใจมองหนิงอวิ๋นเจา
เพราะโรงหมอจิ่วหลิงสินะ เรื่องนี้เริ่มแรกเขาก็เอ่ยกับนางแล้ว ตอนนี้ก็เป็นดังว่าจริงๆ
ลู่อวิ๋นฉีเป็นคนที่เสียใจจนเสียสติเป็นบ้าคนหนึ่งไม่อาจเอาสามัญสำนักมาขบคิดได้
ยังดีครั้งนี้มีบุตรชายเฉิงกั๋วกงคลี่คลายสถานการณ์ไป
“ถ้าอย่างนั้นบุตรชายเฉิงกั๋วกงเพราะอะไรอีกเล่าขอรับ?” เสียวติงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
หนิงอวิ๋นเจายิ้ม
“เพื่อ ลู่อวิ๋นฉีล่ะมั้ง” เขาเอ่ย
นี่หมายความว่าอย่างไร?
เสี่ยวติงสีหน้าไม่เข้าใจ
“หมายความว่าไม่มีเหตุผล แค่เพราะลู่อวิ๋นฉี ขอเพียงเป็นเรื่องที่ทำให้ลู่อวิ๋นฉีไม่สบายใจได้ เขาล้วนจะไปทำ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย ท่าทางหมดความสนใจอยู่บ้าง “ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว”
เสี่ยวติงร้องอ้อเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
“ถ้าอย่างนั้นคุณหนูจวินด้านนั้น คุณชายจะไปดูไหมขอรับ?” เขาเอ่ยถาม
หนิงอวิ๋นเจามองใบไม้ที่ร่วงหล่นหมุนคว้างกลางสายลมนอกหน้าต่าง
“นางไม่ต้องการ” เขาเอ่ย “แล้วก็ไม่จำเป็น”
เขาเก็บสายตากลับมา เดินกลับมาหน้าโต๊ะ หยุดไปอีกครั้ง คิ้วขมวด
“ครั้งนี้ลู่อวิ๋นฉีทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จในครั้งเดียว หากตระกูลฟางยอมย่อมไม่ให้โอกาสกับเขาอีกได้”
เงื่อนไขก่อนหน้าคือ หากตระกูลฟางยอมน่ะนะ
…
ในเรือนด้านหลังของตระกูลฟาง แม้ปลายฤดูใบไม้ร่วงอากาศเย็น แต่นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางยังคงนั่งอยู่ในศาลารับลมอย่างกะปรี้กระเปร่า ดูละครที่กำลังครึกครื้นบนเวทีแสดง
นี่เป็นคณะละครชื่อดังที่เพิ่งมาจากเมืองไท่หยวน เป็นฟางเฉิงอวี่ตั้งใจเชิญมาเป็นของขวัญ
ดูท่าควบคุมกิจการมานานเกินไป พวกผู้หญิงตระกูลฟางกลับไม่ชอบละครร้องเล่นแล้ว แต่ชอบดูละครผาดโผน เวลานี้เสียงกลองประสานดาบหอกบนเวทีเคลื่อนไปมาโถมซัดโครมครามตื่นเต้น ดึงสาวใช้หญิงรับใช้มารวมตัวดูที่นี่มากมาย
นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่ได้สนใจ ก่อนหน้านี้เพราะในบ้านเงียบเหงา จึงตั้งใจให้คนมากสร้างภาพว่าคึกคัก แต่ความจริงดูแล้วในใจรำคาญนัก ตอนนี้กลับไม่เหมือนกันแล้ว มองเห็นความคึกคักเหล่านี้ในใจสบายยิ่งนัก
ตัวตลกบนเวทีถูกเตะไปที่พื้น ทำท่าทางประหลาดหายาก ชักนำให้ทุกคนหัวเราะครืน นางหยวนยิ่งหัวเราะจนเกาะหัวไหล่นายหญิงผู้เฒ่าฟาง
นายหญิงผู้เฒ่าฟางก่อนหน้านี้รำคาญการกระทำผู้หญิงๆ เช่นนี้ที่สุด เวลานี้กลับไม่ได้สนใจ
คนที่กำลังหัวเราะเวทีละครอยู่ ฉับพลันหยุดลง พากันถอยออกไปตามสัญญาณจากผู้ดูแลด้านข้าง
นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่เข้าใจมองไป เห็นฟางเฉิงอวี่เดินเข้ามา
ส่วนหญิงผู้ดูแลที่เข้ามาก็โบกมือให้สาวใช้หญิงรับใช้รอบด้าน คนด้านนี้แยกย้ายไปดุจน้ำทันที พริบตาก็เหลือเพียงนายหญิงผู้เฒ่าฟาง นายหญิงใหญ่ฟางกับนางหยวนสามคน
“เกิดอะไรขึ้น?” นายหญิงใหญ่ฟางรีบเอ่ยถาม
ฟางเฉิงอวี่ยกเสื้อคุกเข่าให้นายหญิงผู้เฒ่าฟาง
“ท่านย่า” เขาเอ่ยเงยหน้ามองนายหญิงผู้เฒ่าฟาง “โปรดส่งราชโองการไปให้โรงหมอจิ่วหลิงที่เมืองหลวงด้วยเถิด”
ส่งราชโองการไปให้โรงหมอจิ่วหลิงที่เมืองหลวง?
นายหญิงใหญ่ฟางฉับพลันสีหน้าตกใจลุกขึ้นยืน
“เฉิงอวี่ เจ้าเสียสติแล้วหรือ?” นางเอ่ยขึ้น
……………………………………….