Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 2 บทที่ 185 ความรักมอมเมาปัญญาหรือ
บทที่ 185 ความรักมอมเมาปัญญาหรือ
โดย
Ink Stone_Romance
ราชโองการเป็นของล้ำค่าที่สุดของตระกูลฟาง แล้วก็เป็นความลับใหญ่ที่สุดด้วย
หากฟางเฉิงอวี่บอกว่าจะเอาไปเก็บไว้ที่ตัวก็ไม่เป็นไรหรอก อย่างไรเขาก็เป็นเจ้าตระกูลของตระกูลฟาง
แต่เขาถึงกับต้องการให้ส่งราชโองการไปที่โรงหมอจิ่วหลิง
ส่งไปเต๋อเซิ่งชางที่เมืองหลวงก็ยังเข้าใจได้ ส่งไปที่โรงหมอจิ่วหลิงหมายความว่าอย่างไร
นายหญิงใหญ่ฟางยังคิดว่าตนเองฟังผิดแล้ว แต่นางก็ตระหนักชัดมากว่าตนเองไม่ได้ฟังผิด
ฟางเฉิงอวี่ทำเช่นนี้ได้ แล้วก็กล้าทำเช่นนี้จริงๆ
“เจ้า เจ้า ความรักมอมเมาปัญญาใช่หรือไม่?” นายหญิงใหญ่ฟางโกรธยื่นมือทิ่มหน้าผาก ท้ายที่สุดพูดออกมาหนึ่งประโยค
นายหญิงผู้เฒ่าฟางห้ามนางไว้
“ลุกขึ้นมาพูด” นางมองฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น
แม้ฟางเฉิงอวี่หายดีแล้ว แต่ทุกคนก็ยังอดไม่ได้ แล้วก็ไม่กล้าให้เขานั่งคุกเข่าเรื่องเช่นนี้
ฟางเฉิงอวี่ได้ยินก็ลุกขึ้นยืนไม่ได้เอ่ยอะไรอย่างไม่รับปากข้าข้าจะไม่ลุกขึ้น
นายหญิงใหญ่ฟางในใจแค่นเสียง กลับยิ่งโกรธหงุดหงิด
บุตรชายคนนี้ฉลาด ฉลาดเกินแล้ว แต่ความฉลาดนี้ใช้กับอารมณ์ชั่ววูบเรื่องรักใคร่ชายหญิงเช่นนี้ ทำให้คนโมโหจริงๆ
มองเห็นฟางเฉิงอวี่ลุกขึ้นมา ทั้งยังนั่งลงข้างตนเอง สีหน้าของนายหญิงผู้เฒ่าฟางก็อ่อนโยนลงอยู่บ้าง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนางที่เมืองหลวง?” นางเอ่ยถาม
ตั้งแต่ฟางเฉิงอวี่รับช่วงกิจการของตระกูล นางก็ไม่ได้ออกหน้าอย่างไร ฟางเฉิงอวี่มาเล่าเรื่องกิจการให้นางฟังตามกำหนดเวลา เรื่องจวินเจินเจินอยู่ที่เมืองหลวงเปิดโรงหมอจิ่วหลิงก็ย่อมต้องบอกด้วย
นี่สำหรับนายหญิงผู้เฒ่าฟางแม่สามีลูกสะใภ้ไม่มีอะไรให้กังวลใจ พวกนางรู้ วิชาแพทย์ของจวินเจินเจินสุดยอด พูดอีกแง่หนึ่งก็คือไม่เห็นว่าจวินเจินเจินเปิดโรงหมอเป็นเรื่องใหญ่อะไร ต่อให้หาเงินไม่ได้ เลี้ยงโรงหมอแห่งหนึ่งสำหรับเต๋อเซิ่งชางก็ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไร แล้วก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่ด้วย ฟางเฉิงอวี่ก็ไม่ได้เล่าละเอียด
เวลานี้ได้ยินคำถาม ฟางเฉิงอวี่จึงเล่าเรื่องที่คุณหนูจวินอยู่ที่เมืองหลวงเป็นหมอเร่ ถูกชาวบ้านสงสัยจนกลายเป็นสนับสนุนอย่างไร ทั้งยังประกาศค่ารักษาพันตำลึงรักษาเพียงโรคที่รักษาไม่ได้ชักนำให้เกิดความอิจฉาเกลียดชังจนกลายเป็นชี้แนะวิชาแพทย์ให้ท่านหมอในเมืองหลวงจนได้รับความเคารพนับถือโดยละเอียด
นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางได้ฟังประเดี๋ยวตื่นเต้นตกใจประเดี๋ยวดีใจ รู้สึกว่าเหลือเชื่อทั้งรู้สึกว่าสมเหตุสมผล
“เด็กคนนี้ไปถึงที่ไหนก็เป็นเช่นนี้” นายหญิงผู้เฒ่าฟางถอนหายใจเอ่ย
ไปถึงที่ไหนก็ก่อเรื่องไปถึงที่นั่น ทุกครั้งทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนแต่ก็เป็นบุปผาสะพรั่งใต้ร่มหลิว[1]
“ถ้าอย่างนั้นนี่ไม่ใช่ดีหมดแล้วหรือ?” นายหญิงใหญ่ฟางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อบางๆ ยกถ้วยชาดื่มให้ชุ่มคอ “ไม่ต้องการชื่อราชโองการก็นั่งมั่นคงแล้ว เจ้ายังจะส่งราชโองการไปทำอะไร?”
ฟางเฉิงอวี่ยิ้ม
“เพราะหัวหน้ากองพันลู่ขององครักษ์เสื้อแพรต้องการพังป้ายโรงหมอของโรงหมอจิ่วหลิง” เขาเอ่ย “หัวหน้ากองพันลู่คนผู้นี้ ข้าคิดว่ามีเพียงราชโองการอยู่ที่โรงหมอจิ่วหลิงถึงปรามเขาได้”
เขาพูดเรียบเรื่อย เทียบกับเสียงสูงๆ ต่ำๆ ที่เล่าก่อนหน้านี้ เหมือนกับตอนนี้ที่พูดถึงคือละครวันนี้เป็นอย่างไร
องครักษ์เสื้อแพร หัวหน้ากองพันลู่ พังโรงหมอจิ่วหลิง
เนื้อหานี่กับน้ำเสียงนี้ขัดแย้งกันอย่างชัดเจน
นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางชั่วขณะหนึ่งตอบสนองไม่ทัน
องครักษ์เสื้อแพร หัวหน้ากองพันลู่ พังโรงหมอจิ่วหลิง
นายหญิงใหญ่ฟางทะลึ่งลุกขึ้นยืน
“นาง นางไปหาเรื่องอะไรหัวหน้ากองพันลู่?” นางร้อง เหงื่อบางๆ ที่เพิ่งเช็ดไปผุดออกมาอีกครั้ง
นี่ย่อมไม่ใช่วางกับดักลูกสาวอาลักษณ์หลินในหอจิ้นอวิ๋นแล้ว นั่นคือเมืองหลวง นั่นคือยมราชลู่ที่ใครๆ ได้ยินก็หน้าถอดสี
นี่เพิ่งกี่วัน นางทำอะไรเข้าเล่า
สมองนายหญิงใหญ่ฟางว้าวุ่นไปแล้ว
“ท่านแม่ อย่าร้อนใจ ไม่มีเรื่องอะไร” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย ลุกขึ้นคว้าแขนของนางปลอบประโลม
“เป็นเด็กทะเลาะกันอีกแล้วหรือ?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย สีหน้ายุ่งยากอยู่บ้าง
ตั้งแต่ให้จั่วเยี่ยนจือซื้อปิ่นไม้แดง จนถึงทำให้หนิงอวิ๋นเยี่ยนบื้อใบ้ไร้วาจา แล้วไปถึงทำให้หลินจิ่นเอ๋อร์พ่ายแพ้ชื่อเสียงเสียหาย ครั้งแล้วครั้งเล่าเรื่องเหล่านี้ในวาจาของนางล้วนเป็นการทะเลาะกันของเด็กน้อย
ฟางเฉิงอวี่เมื่อครู่เล่าเรื่องเหล่านั้นของนางที่เมืองหลวง เล่าจากปากของเขาทำคนอกสั่นขวัญแขวนยิ่งนัก แต่นายหญิงผู้เฒ่าฟางรู้หากเปลี่ยนเป็นคุณหนูจวินมาพูด ย่อมมีเพียงประโยคเดียวอธิบาย
“ไม่เป็นไร แค่ทะเลาะกันเท่านั้น”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มเฝื่อนนิดหนึ่ง ใช่ เรื่องเหล่านี้ก็นับว่าเป็นคดีทะเลาะเบาะแว้งได้จริงๆ แต่นางตอนนี้ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว ประเดี๋ยวผ่านไปอีกปีก็เป็นหญิงสาวอายุสิบหกแล้ว
นอกจากนี้เรื่องคอขาดบาดตายบางอย่างพูดไปก็ล้วนเกิดขึ้นเพราะการทะเลาะ
นางที่แท้กำลังคิดอะไร? ที่แท้ต้องการทำอะไร? ปัญหาชอบเรียกหาตั้งแต่เกิดหรือนางจงใจ?
นายหญิงผู้เฒ่าฟางรู้สึกว่าสมองสับสนอยู่บ้าง
ฟางเฉิงอวี่ยังคงสีหน้ายิ้มแย้ม เดินเข้าไปคล้องแขนนายหญิงผู้เฒ่าฟางอีก
“ท่านย่า ไม่ใช่หรอก” เขาเอ่ย “แม้กระทั่งทะเลาะก็ไม่มี ไม่มีความขัดแย้งจริงๆ”
พูดเหลวไหล ไม่ขัดแย้งหัวหน้ากองพันลู่จะไปสอยป้ายโรงหมอของนางรึ?
“ไม่มีจริงๆ” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ยอีกครั้ง “เพียงเพราะชื่อเท่านั้น”
ชื่อ?
นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางชะงัก
“โรงหมอจิ่วหลิง …จิ่วหลิง…” นายหญิงผู้เฒ่าฟางคิดทันเอ่ยออกมาคนแรก “องค์หญิงจิ่วหลิง?”
นายหญิงใหญ่ฟางตอนนี้ถึงเข้าใจ ทั้งยังไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
“แค่เพราะชื่อโรงหมอจิ่วหลิงเหมือนกับองค์หญิงจิ่วหลิง?” นางเอ่ย เกือบหลุดหัวเราะอยู่นิดๆ “นี่มันเหตุผลอะไร?”
หัวหน้ากองพันลู่รักภรรยาที่เสียไปอย่างลึกซึ้ง? แม้กระทั่งผู้อื่นใช้ชื่อนี้ก็ยังไม่อนุญาต?
แต่นั่นก็แค่องค์หญิงคนหนึ่ง ไม่ใช่ฮ่องเต้ที่คนอื่นชื่อซ้ำต้องหลบเลี่ยง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงใต้หล้า แค่ในเมืองหลวงคนที่ชื่อจิ่วหลิงก็คงไม่น้อย ในราชสำนักฝ่ายพลเรือนทหารย่อมต้องมีเช่นกัน
หรือหัวหน้ากองพันลู่จะบีบคนเหล่านี้ให้ล้วนเปลี่ยนชื่อได้หรือ?
เรื่องเช่นนี้ทำได้ที่ไหน นี่ไม่ใช่เสียสติหรือ?
ฟางเฉิงอวี่กลับไม่ยิ้ม แต่พยักหน้าจริงจัง
“แม้น่าขำยิ่งนัก แต่ก็เพราะเหตุผลนี้” เขาเอ่ย “ใต้หล้าคนที่ชื่อนี้มากนัก แต่โรงหมอจิ่วหลิงถูกเขาเห็นเข้าแล้ว”
ใช่สิ โรงหมอจิ่วหลิงที่เมืองหลวงสร้างเรื่องเป็นพรวนเดี๋ยวโผล่ตรงนี้โผล่ตรงนั้นนี้ ชื่อเสียงโด่งดัง
ชื่อเสียงโด่งดังก็มีดีมีร้ายเช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่ลู่อวิ๋นฉีจะเห็นมันเป็นหนามในตาต้องถอนออก
มีตัวอย่างเช่นนี้ คนกับของที่ชื่อจิ่วหลิงชื่อนี้คนอื่นย่อมต้องรู้ตัวแล้ว
นายหญิงใหญ่ฟางกับนายหญิงผู้เฒ่าฟางเงียบงันครู่หนึ่ง สีหน้ายุ่งยาก
“นี่มันเรื่องอะไร!” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ย
“ดังนั้นเรื่องนี้ก็ไม่นับเป็นเรื่องอะไร จิ่วหลิงนาง…” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ยขึ้น
คำพูดเขายังเอ่ยไม่ทันจบ นายหญิงใหญ่ฟางก็ตบโต๊ะขัด
“ยังจะเรียกจิ่วหลิง จิ่วหลิงอีก นางชื่อเจินเจิน เปลี่ยนชื่ออะไรส่งเดชเล่า” นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
บรรยากาศในห้องนิ่งชะงักไป
“ท่านแม่” เสียงของฟางเฉิงอวี่จริงใจทั้งยังติดจะนิ่งสงบอยู่บ้าง “นางเปลี่ยนชื่อ ก็เพราะชื่อนี้ ชื่อนี้คือกิจการมรดกของตระกูลจวิน เป็นนางต้องการแสดงความมุ่งมั่นว่าจะแบกรับสุดกำลัง นี่คือป้ายจารึก นี่ไม่ใช่เล่นก่อเรื่องส่งเดช ท่านแม่ นางไม่เคยเที่ยวหาเรื่องเหลวไหลมาก่อน นางพยายามทำงานอยู่ตลอด ทำงานเพื่อชื่อนี้”
นายหญิงใหญ่ฟางตะโกนประโยคนี้ออกมาด้วยความโมโหก็เสียใจอยู่บ้างแล้ว นางก็รู้เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของจวินเจินเจินที่เปลี่ยนชื่อ เพียงแค่ความโกรธอดกลั้นอยู่ในใจอย่างไรก็ต้องหาข้ออ้าง
เหตุผลที่ฟางเฉิงอวี่พูดนางย่อมเข้าใจเหมือนกัน แต่เหตุผลก็ส่วนเหตุผล…นางมองไปทางฟางเฉิงอวี่
ตั้งแต่หลังหายป่วย ฟางเฉิงอวี่ก็โตขึ้นเร็วนัก เวลาสั้นๆ ครึ่งปีร่างกายก็สูงพรวดพราดหนึ่งช่วงศีรษะแล้ว ร่างกายแม้ยังผอมอยู่บ้าง แต่บนหน้าเนื้ออุดมสมบูรณ์ สีหน้ากระปรี้กระเปร่า มาถึงเวลาที่คนหนุ่มเฉิดฉายน่าจับตาที่สุด
วันนี้สำหรับสาวๆ ในหยางเฉิง เพราะคุณชายหนิงไม่อยู่เนิ่นนานกลายเป็นดาวบนฟ้าอันห่างไกล ส่วนฟางเฉิงอวี่เพราะใกล้เพียงเอื้อมมือจึงกลายเป็นคนที่ทุกคนไล่ตามและชมชอบที่สุดแล้ว
ตระกูลฟางเดิมทีทุกคนหลบเลี่ยงมองว่าบุตรชายบุตรสาวไม่มงคล ตอนนี้กลายเป็นคู่แต่งงานที่ได้รับความนิยมที่สุดในหยางเฉินไปจนถึงซานซี ก่อนหน้านี้ต้องกังวลใจเพราะคู่สู่ขอชั้นเลวต่างๆ นานา ส่วนตอนนี้ก็เพราะคนที่มาสู่ขอมากทั้งยังมั่งคั่งสูงศักดิ์รำคาญสุดจะทน
การแต่งงานของฟางเฉิงอวี่กลายเป็นสิ่งที่แย่งชิงกันมากที่สุด
“สรุปคือครั้งนี้หัวหน้ากองพันลู่เพื่อชื่อ เจินเจินก็เพื่อชื่อ ใครก็ไม่ยอมถอยสักก้าว ความขัดแย้งนี้ก็ผูกขึ้นมาเช่นนี้ใช่หรือไม่” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ย
ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า
“ใช่แล้ว” เขาเอ่ย “จิ่วหลิงไม่มีทางยอมทิ้งชื่อนี้แน่”
จิ่วหลิงไม่มีทางยอมทิ้งชื่อนี้ เขาก็ไม่มีทางย่อมทิ้งถูกหรือไม่? นายหญิงใหญ่ฟางมองเขา
พูดเหตุผลมากมายเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะนางเป็นคนที่เขาชอบรึ
“นางต้องการอะไรเจ้าก็ให้สิ่งนั้นนาง? ครั้งนี้เป็นราชโองการ ครั้งหน้าหากเป็นชีวิตคนทั้งตระกูลของพวกเราเล่า?” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยถาม
“นั่นย่อมให้เช่นกัน” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยตอบไม่ลังเลสักนิด
นายหญิงใหญ่ฟางโกรธจัดอีกครั้ง
“ความรักมอมเมาปัญญาเจ้าแล้วใช่หรือไม่?” นางเอ่ย
……………………………………….
[1]บุปผาสะพรั่งใต้ร่มหลิว (柳暗花明) ใต้ร่มเงาของต้นหลิว บุปผาสดสวยบานสะพรั่ง อุปมาถึงยามยากลำบากเหตุการณ์พลิกผันกลับเป็นดี