บทที่ 1025 ปักปิ่น

บทที่ 1025 ปักปิ่น

สวีเซียนหลินและฮูหยินสวีกลับมายังตำแหน่งของตนเองอีกครั้ง ทั้งคู่มองกู้เสี่ยวหวานด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย

ครอบครัวกู้ไม่ใช่ครอบครัวธรรมดาอีกต่อไป…

ในอนาคต ตระกูลสวีอาจไม่คู่ควรกับครอบครัวกู้อีกแล้ว

บิดาและมารดาในครอบครัวเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แต่เดิมกู้เสี่ยวหวานควรได้รับการปักปิ่นจากเถียนซื่อผู้เป็นมารดา แต่หลังจากเถียนซื่อจากโลกไปแล้ว กู้ฟางสี่จึงเป็นคนรับหน้าที่นี้แทน

หากแต่ฉินเย่จือบอกว่าเขาต้องการช่วยกู้เสี่ยวหวานปักปิ่น กู้ฟางสี่ที่ชื่นชอบในตัวชายหนุ่มอยู่แล้ว นางจึงตอบตกลงอย่างไม่คาดคิด

เมื่อถึงเวลาอันเป็นมงคล ฉินเย่จือลุกจากที่นั่ง โดยมีป้าจางถือปิ่นและหวีซึ่งทำจากหยกอยู่ ข้าง ๆ

เดิมทีฮูหยินสวีคิดว่ากู้ฟางสี่จะเป็นคนปักปิ่นให้กู้เสี่ยวหวาน แต่ก็เห็นฉินเย่จือก้าวตรงไปหากู้เสี่ยวหวาน หยิบหวีหยกขึ้นมาและหวีผมให้กู้เสี่ยวหวานด้วยความประณีต

ชำนาญราวกับได้รับการฝึกฝนมาหลายครั้ง

มุมปากของอาโม่กระตุกยิ้มแหยขึ้นเล็กน้อย ราวกับนึกถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อผมของเขาโดนรุมทึ้ง

เขายกมือขึ้นสัมผัสศีรษะของตนเองด้วยสีหน้าที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก กี่ครั้งแล้วที่นายท่านใช้เขาเป็นหนูทดลองในช่วงเวลานี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองดูท่าทางที่นิ่งสงบและพึงพอใจของกู้เสี่ยวหวานแล้ว ทุกอย่างน่าจะเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่เสียแรงที่ตนเองยอมเป็นหนูทดลองอยู่หลายครั้ง

ฉินเย่จือหยิบตัวหนีบผมขึ้นมา มันเป็นตัวหนีบไม้รูปแบบเดียวกับที่กู้เสี่ยวหวานมักจะใช้มันทุกวัน

นิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มม้วนเส้นผมสีดำสนิทของนางขึ้นสูงและหนีบด้วยตัวหนีบ เดิมทีใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานมีขนาดเล็ก ตอนนี้ผมของนางถูกรวบขึ้นสูง จึงทำให้มองให้เห็นโครงหน้าของนางได้อย่างชัดเจน

รูปหน้าเรียวเล็ก ริมฝีปากอมชมพู ดวงตากลมโตสีดำขลับ และแพขนตายาว นางมีรูปร่างหน้าตาราวกับสวรรค์สรรค์สร้างตั้งแต่อายุสิบสามปี

“เจ็บหรือ?” มือของฉินเย่จือดึงสางเบา ๆ อย่างอ่อนโยน เส้นผมอ่อนนุ่มเหมือนเส้นไหม

เสียงกระซิบแผ่วเบาได้ยินเพียงสองคน…

กู้เสี่ยวหวานนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ตอนนี้นางยังคงรักษาท่าทางไว้ แต่ใบหน้ากลับยิ้มไม่หุบ “ไม่เจ็บ”

ทั้งห้องตกอยู่ใบบรรยากาศนิ่งเงียบ ไม่มีใครส่งเสียงใดออกมา พวกเขาทั้งหมดคลี่ยิ้ม และมองดูฉินเย่จือช่วยกู้เสี่ยวหวานมัดผม

เมื่อมองไปที่คนสองคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เอ่ยออกมา แต่ในใจทุกคนก็เข้าใจโดยปริยาย

จู่ ๆ ฮูหยินสวีก็ถอนหายใจ เป็นการดีแล้วที่สวีเฉิงเจ๋อไม่มา หากว่าเขามาเห็นฉากนี้เข้า เกรงว่าลูกชายของตนจะต้องเป็นทุกข์ไปอีกหลายวัน

ฮูหยินสวีคลี่ยิ้มอบอุ่นแสดงความโล่งใจ หากแต่หัวใจเจ็บปวดราวกับโดนมีดกรีดแทง

สำหรับลูกชายผู้น่าสงสารของข้าที่ไม่กล้าแม้แต่จะบอกรักออกไป

ไม่กล้าแม้แต่จะมาเจอหน้า

แต่การกระทำของฉินเย่จือผู้นี้ช่างอ่อนโยน รอยยิ้มที่อ่อนโยนของเขา และการมีปฏิสัมพันธ์ที่น่ารักกับกู้เสี่ยวหวาน

หากลูกชายของนางทำได้แบบนี้สักครึ่งหนึ่ง เขาคงจะไม่ต้องนั่งเศร้าสร้อยอยู่เหมือนตอนนี้

หลังจากปักปิ่น หมายความว่าตอนนี้กู้เสี่ยวหวานก็จะกลายเป็นสาวเต็มตัวแล้ว

หลังจากพิธีเสร็จสิ้น กู้เสี่ยวหวานก็ยืนขึ้นโดยการช่วยเหลือจากฉินเย่จือ ใบหน้าของนางเรียบเนียนราวกับหยก สันจมูกตั้งตรง นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และมองเข้าไปในดวงตาที่มีเสน่ห์คู่นั้น

ดวงตาคู่นี้คือดวงตาที่งดงามที่สุดนับตั้งแต่นางเคยเห็นมา

ไม่สำคัญว่าใครจะมาเร็วหรือมาช้า

ขอแค่มีหัวใจ

หลังจากมื้ออาหารเย็น สวีเซียนหลินและฮูหยินสวีรีบขอตัวกลับก่อนเพราะเป็นห่วงสวีเฉิงเจ๋อ

กู้เสี่ยวหวานยังบรรจุของว่างแสนอร่อยมากมายสำหรับสวีเฉิงเจ๋อ และขอให้ฮูหยินสวีนำคำขอบคุณของนางไปให้เขาด้วย

ฮูหยินสวีตอบรับความหวังดีของทุกรอยยิ้มตลอดเวลา แต่หลังจากก้าวขึ้นรถม้า หยาดน้ำตาพลันหลั่งรินออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป มันพรั่งพรูลงมาราวกับสายฝน

“สวีเซียนหลิน ข้ารู้สึกเสียใจกับเฉิงเจ๋อ ยามมีทุกข์ เด็กคนนี้คงไม่ยอมเอ่ยออกมา”

สวีเซียนหลินโอบกอดฮูหยินสวีไว้ในอ้อมแขน “ฮูหยินของข้า เจ้าไม่ต้องเสียใจไป ทุกสิ่งล้วนเป็นโชคชะตา มันถูกกำหนดเอาไว้แล้ว”

เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์อันหอมหวานระหว่างกู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือในตอนนี้ สวีเซียนหลินก็รู้ว่า คราวนี้สวีเฉิงเจ๋อประสบกับความพ่ายแพ้อย่างราบคาบโดยที่เข้ายังไม่ทันเริ่มแข่งขันเลยด้วยซ้ำ

“กู้เสี่ยวหวานและสวีเฉิงเจ๋อไม่ได้เกิดมาเพื่อกันและกัน”

สวีเฉิงเจ๋อเป็นคนค่อนข้างน่าเบื่อ เขาไม่ชอบพูด และเมื่อหมายตาใครสักคน เขาจะเก็บซ่อนมันไว้ในใจอย่างเงียบ ๆ และไม่เคยคิดที่จะเอ่ยออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้

สิ่งที่เขาต้องการคือผู้หญิงที่อ่อนโยนและเชื่อฟัง แต่กู้เสี่ยวหวานไม่ใช่เด็กสาวประเภทนั้น

หญิงผู้นี้กับสวีเฉิงเจ๋อไม่คู่ควรกัน…

“เสี่ยวหวานพบกับเฉิงเจ๋อก่อน นางกลายเป็นของคนอื่นไปได้อย่างไร” ฮูหยินสวีพูดอย่างลำบากใจ

เรื่องของความรักนั้น ไม่ใช่ว่ามาก่อนแล้วจะได้ก่อน

ใครรักมากกว่า ใครพยายามมากกว่า ถึงจะได้ใจของผู้นั้นไป

ที่ผ่านมากู้เสี่ยวหวานปฏิบัติต่อสวีเฉิงเจ๋อในฐานะพี่ชายเท่านั้น

สวีเฉิงเจ๋ออบอุ่นเกินไป อบอุ่นจนกู้เสี่ยวหวานไม่กล้าที่จะรักหรือกล้าที่จะเกลียด

สิ่งที่นางต้องการคือการคนที่ไม่เพียงแต่ปกป้องนางจากลมและฝน แต่ยังสามารถฟันฝ่าอุปสรรคไปพร้อมกับนาง และก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างกล้าหาญ

หลังอาหารเย็น กู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือเดินเล่นที่ลานหน้าบ้านเพื่อย่อยอาหารตามปกติ

“พี่เย่จือ ของสิ่งนี้ท่านนำมาจากไหนหรือ?”

กล่องใบใหญ่เหล่านั้นเต็มไปด้วยหยก ไข่มุก อัญมณี เงิน ทอง เสื้อผ้า และของต่าง ๆ มากมาย ตราบใดที่ฉินเย่จือคิดได้ว่ามีอะไรบ้าง เขาจะรวบรวมพวกมันมาทั้งหมด มันมีมากกว่าสองร้อยกล่อง ไม่ต้องพูดถึงมูลค่าของสิ่งของในกล่อง กล่องไม้เพียงอย่างเดียวก็เป็นมูลค่ามหาศาลแล้ว แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ทำให้ผู้คนตกตะลึง

“เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้าเป็นคนจรจัดหรือ?” ภาพวันวานยังคงฉายชัดในความทรงจำ ตอนที่เขาอาศัยอยู่กับครอบครัวกู้ในตอนนั้น เขามีท่าทีเหนียมอายและไม่ออกไปไหน

ใบหน้าของฉินเย่จือในตอนนั้น ยังคงชัดอยู่ในความทรงจำของนาง…

“พ่อแม่ของข้าตายแล้ว ข้าไม่เหลือญาติคนอื่นในครอบครัว แต่ข้าไม่ใช่คนไร้บ้าน” ฉินเย่จือตอบ

ไม่มีญาติ ไม่ว่าบ้านจะใหญ่โตเท่าไร ที่นั่นก็ไม่ถือว่าเป็นบ้าน

แต่ตอนนี้ไม่เป็นไร ตราบใดที่มีบ้านของกู้เสี่ยวหวาน มันก็ถือว่าเป็นบ้านของเขา

“แต่พี่เย่จือก็ยังมีที่พักอยู่ ครอบครัวของพี่เย่จือรวยมาก ทำไมถึงมาที่ห่างไกลเช่นนี้ล่ะ?” กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร

————————————-