บทที่ 1060 การต่อสู้ช่วงชิงครั้งใหญ่ ดวงจิตมหามรรคบ้าคลั่ง
หลังจากหานฮวงจากไปแล้ว หานหลิงก็เข้าฝันหานเจวี๋ยบอกเล่าเรื่องราวของหานฮวง หานหลิงสังหรณ์ใจว่าเรื่องนี้อันตรายมาก ถึงอย่างไรหานฮวงก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่สังหารฝ่าฟันจนเป็นผู้ไร้พ่าย อีกฝ่ายยังกล้ามาท้าทายจะต้องมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมแน่นอน
เจ้าชะตามิใช่ตัวตนไร้ชื่อเสียง!
หานเจวี๋ยแสดงท่าทีว่ารับทราบแล้ว บอกหานหลิงว่าไม่ต้องกังวล
จากนั้นเขาก็ฝึกบำเพ็ญต่อ
ถึงบรรลุผู้สร้างมรรคาระยะปลายแล้วก็ไม่อาจผ่อนคลายได้ เขาต้องพยายามพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว เช่นนี้ถึงจะแซงหน้าเจ้านวฟ้าบุพกาลได้
ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังคอยให้สื่อหยวนหงเหมิงท้าสู้กับหานฮวงอยู่ ก็มีมรสุมปั่นป่วนขึ้นในฟ้าบุพกาลอีกครั้ง
โลกมหามรรคทั้งสามแห่งได้แก่ผลาญนภา อวิชชาและพ้นนิวรณ์ล้วนปรากฏตัวตนทรงพลังยุคบรรพกาลในตำนานเล่าขานขึ้นมา พวกเขารวบรวมอำนาจอย่างรวดเร็ว บุกตะลุยไปตามโลกมหามรรคต่างๆ ตั้งตัวเป็นกลุ่มอิทธิพลมหาอำนาจที่เหนือกว่ากลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในฟ้าบุพกาล
แม้ว่าฟ้าบุพกาลจะแข็งแกร่งแต่กลุ่มอิทธิพลต่างเหมือนน้ำกับไฟที่ไม่อาจรวมตัวกันได้ อาณาเขตของกลุ่มอิทธิพลที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังมีไม่ถึงหนึ่งในสิบของจำนวนอาณาเขตฟ้าบุพกาลเลย
การผนึกกำลังของโลกมหามรรคทั้งสามแห่งทำให้ทั่วฟ้าบุพกาลไม่สบายใจ เหล่าดวงจิตมหามรรคพากันมาพบเทพมหาทัณฑ์
เทพมหาทัณฑ์ปกครองเหล่าดวงจิตมหามรรค ส่วนดวงจิตมหามรรคก็คอยดูแลปกครองอาณาเขตต่างๆ เหล่าดวงจิตมหามรรคยังคงมีอำนาจควบคุมกลุ่มอิทธิพลต่างๆ อยู่ เพียงเวลาปกติไม่สอดมือโดยพลการเท่านั้น
บนแท่นกลมเหนือท้องนภา เหล่าดวงจิตมหามรรคมาชุมนุมกัน
นอกจากเหล่าดวงจิตมหามรรคแล้ว เทวทัณฑ์ก็มาด้วยเช่นกัน ผู้ทรงพลังทั้งหมดล้วนเฝ้ารอให้เทพมหาทัณฑ์ปรากฏตัวขึ้น
พวกเขาต่างหารือกันเองไปก่อน แลกเปลี่ยนความเห็นกัน ล้วนรู้สึกกังวลกับสถานการณ์ของโลกมหามรรคทั้งสามแห่ง พวกเขาไม่ทราบว่าเป็นการรวมอำนาจของเหล่าผู้สร้างมรรคา ดังนั้นจึงมองผลาญนภา พ้นนิวรณ์และอวิชชาเป็นศัตรูมาตลอด
หานทั่วรับฟังเงียบๆ ไม่ได้ออกความเห็น
อี๋เทียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เกิดเรื่องวุ่นวายมากมายจริงๆ หรือว่ามหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่กำลังจะมาเยือนแล้วจริงๆ”
ชื่อฝาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มาก็มาสิ ข้าก็อยากรู้นักว่าผู้ใดคือบุตรแห่งมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ แล้วผู้ใดจะครองความได้เปรียบ”
กวนปู้ไป้เดินเข้ามาหาพลางเอ่ยถาม “หานฮวงเล่า เหตุใดถึงไม่มา”
สิบยอดฟ้าล้วนได้กลายเป็นเทวทัณฑ์ แม้แต่เต้าจื้อจุน เทพมารขุนพลสวรรค์ มู่หรงฉี่ หานเย่และหานเหยาก็มาด้วยเช่นกัน
หานทั่วส่ายหน้าตอบไปว่า “ข้าไหนเลยจะทราบเรื่องของเด็กคนนั้น ไปถามพวกหานเย่เถิด”
กวนปู้ไป้มองไปทางหานเย่ที่อยู่ไม่ไกล
หานเย่ตอบว่า “บรรพชนหานฮวงน่าจะไปปิดด่านแล้ว พวกเราก็ไม่ทราบเบาะแสของเขาเช่นกัน”
ปิดด่านอย่างนั้นหรือ
เหล่าเทวทัณฑ์อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ พวกเขาล้วนได้รับประสบการณ์จากความแข็งแกร่งของหานฮวงมาแล้ว แข็งแกร่งขนาดนี้ยังปิดด่านได้อีก คุณสมบัติระดับนี้น่ากลัวโดยแท้
“ดูเหมือนเขาจะเป็นเทพมารอนธการจริงๆ” อี๋เทียนถอนหายใจ
หานฮวงประกาศตัวว่าเป็นเทพมารอนธการ สรรพสิ่งต่างคิดว่าเพียงยกเอานามเทพมารอนธการมาใช้เรียกแทนตำแหน่งสุดยอดผู้แข็งแกร่ง ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครเคยพบเห็นเทพมารอนธการตัวจริงมาก่อน อีกทั้งหานฮวงก็เป็นบุตรชายของเทพมารฟ้าบุพกาล
ไม่นานนักเทพมหาทัณฑ์ก็ปรากฏตัวขึ้น ดวงจิตมหามรรคทั้งหมดต่างทำความเคารพเขา
ร้อยล้านปีผ่านไป เทพมหาทัณฑ์กลายเป็นผู้นำดวงจิตมหามรรคที่สูงส่งทรงอำนาจ ส่วนผู้นำดวงจิตมหามรรครุ่นก่อนก็ถูกลืมเลือนไปนานแล้ว
เทพมหาทัณฑ์ทรงอำนาจอย่างยิ่ง เขากวาดตามองทุกคนก่อนค่อยๆ เอ่ยขึ้นมาว่า “เรื่องที่พวกเจ้ากังวลอยู่ ข้ารับรู้หมดแล้ว ถูกต้อง นี่คือสัญญาณเตือนของมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ กฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติของโลกมหามรรคต่างๆ เริ่มถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว”
เทวีตราวินัยเอ่ยถาม “เช่นนั้นฟ้าบุพกาลจะต้องโน้มไปตามกระแสหรือไม่”
เทพมหาทัณฑ์ส่ายหน้าเอ่ยตอบว่า “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล ฟ้าบุพกาลยังคงเป็นจุดศูนย์กลางของทุกสิ่ง ต่อให้โลกมหามรรคอื่นๆ ผนวกรวมเป็นหนึ่งเดียวก็ไม่สามารถย้อนกลับมาฮุบกลืนฟ้าบุพกาลได้ สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำคือช่วงชิงดวงชะตามา เตรียมรับมือมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ที่จะมาถึง มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่จะนำมาซึ่งยุคสมัยไร้สิ้นสุด เป็นยุคสมัยที่ไร้ขอบเขตและไร้สิ้นสุดอย่างแท้จริง ไม่ว่าตัวตนใดๆ ล้วนจะดำรงอยู่อย่างไร้สิ้นสุดรวมถึงจะมีระดับตบะสูงขึ้นไปอีกด้วย”
เหล่าดวงจิตมหามรรคได้ฟังก็ตื่นเต้นฮึกเหิมขึ้นมา
“หากว่าแย่งชิงดวงชะตาจะเกิดการเข่นฆ่ากันเองจนทำให้โลกมหามรรคแห่งอื่นได้ประโยชน์ไปหรือไม่”
ดวงจิตมหามรรครายหนึ่งถามขึ้นมาบ้าง รูปการณ์เช่นนี้แปลกประหลาดจริงๆ หากว่าฟ้าบุพกาลได้รับความเสียหายบาดเจ็บล้มตายไปกว่าครึ่ง จะไม่เกิดเรื่องขึ้นกับฟ้าบุพกาลจริงๆ น่ะหรือ
เทพมหาทัณฑ์ตอบว่า “พวกเจ้าน่าจะรับรู้ได้ว่าในช่วงร้อยล้านปีมานี้ นอกจากจำนวนสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นในฟ้าบุพกาลจะเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันแล้ว ยังมีบุตรแห่งสวรรค์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย แม้แต่คุณสมบัติชั้นสูงก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งมีชีวิตในโลกมหามรรคแห่งอื่นรวมกันแล้วก็ยังสู้ฟ้าบุพกาลไม่ได้ ดังนั้นฟ้าบุพกาลไม่จำเป็นต้องผนวกรวมเป็นหนึ่ง การผนวกรวมเป็นหนึ่งมิใช่กระแสหลักของฟ้าบุพกาล นี่คือยุคสมัยแห่งการต่อสู้ ไม่ขาดแคลนสิ่งมีชีวิต เข้าใจหรือไม่”
พอเหล่าดวงจิตมหามรรคได้ฟังก็กระจ่างแจ้งในทันใด ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
พอลองคิดดูให้ดีก็เป็นเช่นนี้จริงๆ หากไม่มีงานชุมนุมฟ้าบุพกาลพวกเขาก็คงไม่ทราบจริงๆ ว่าฟ้าบุพกาลซุกซ่อนบุตรแห่งสวรรค์ไว้มากมายปานนั้น อีกทั้งในช่วงร้อยล้านปีมานี้มีอริยะมหามรรคปรากฏตัวเพิ่มมากขึ้นยิ่งกว่ายุคใดๆ ที่ผ่านมา นี่คือความรุ่งโรจน์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ยังมีเรื่องของเทพมารอนธการด้วย เทพมารอนธการมิใช่ดาวหายนะที่จะมาทำลายล้างฟ้าบุพกาล เทพมารอนธการจะเป็นผู้บุกเบิกนำพายุคสมัยไร้สิ้นสุดมาสู่ฟ้าบุพกาล ไม่ว่าผู้ใดจะกลายเป็นเทพมารอนธการก็จะทำลายรูปการณ์ของฟ้าบุพกาลเพื่อต้อนรับการมาถึงของยุคสมัยไร้สิ้นสุด ล้วนจะได้รับโอกาสวาสนายิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน อย่างน้อยก็คงจะอยู่ทัดเทียมกับข้าหรือถึงขั้นที่เหนือกว่าข้า กระทั่งเหนือกว่ายอดมหามรรคขึ้นไป บรรลุถึงระดับสูงสุดอันลึกลับที่ไม่เคยทราบว่ามีอยู่!” เทพมหาทัณฑ์กล่าวอย่างลุ่มลึกมีนัย
ดวงตาของเหล่าดวงจิตมหามรรคเปล่งประกายทันที
เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ
หานทั่ว กวนปู้ไป้และพวกมู่หรงฉี่ก็ตื่นเต้นขึ้นมาแล้วเช่นกัน
แม้ว่าจะมีคุณสมบัติเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล แต่ตบะของพวกเขาก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว ไม่สามารถก้าวหน้าต่อไปได้ พวกเขาย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสวาสนาเช่นนี้หลุดลอยไป!
เทพมหาทัณฑ์สะบัดแขนเสื้อกล่าวไปว่า “พวกเจ้าจงประกาศวาจาของข้าต่อเหล่าสรรพสิ่ง นี่คือโอกาสวาสนาของทุกสรรพสิ่ง อย่าได้เก็บงำข่าวเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว!”
พอสิ้นเสียง เทพมหาทัณฑ์ก็เลือนหายไป
คำพูดนี้มีเจตนาจะทำให้ฟ้าบุพกาลปั่นป่วนยิ่งขึ้นไปอีก กล่าวให้ถูกคือมีสีสันมากยิ่งขึ้น สำหรับเหล่าบุตรแห่งสวรรค์และผู้แข็งแกร่งเรื่องนี้ทำให้เกิดความปรีดาบ้าคลั่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!
….
ณ อาณาเขตใจกลางฟ้าบุพกาล อุกกาบาตนับไม่ถ้วนล่องลอยอยู่ในอวกาศ หมอกดำเคลื่อนผ่านไปเป็นครั้งคราว ภายในกลุ่มหมอกไม่ทราบว่ามีวิญญาณร้ายคำรามอย่างไร้สุ้มเสียงอยู่มากน้อยเพียงใด
หานฮวงในชุดเกราะวิเศษนั่งสมาธิอยู่บนอุกกาบาตก้อนใหญ่ที่สุด เขาแน่นิ่งจนดูราวกับรูปสลัก
ในเวลานี้เอง เงาร่างหนึ่งเหาะเข้ามาแต่ไกล เป็นเซียนหญิงในอาภรณ์งามที่เจือละอองแสงหลากสีสัน รูปโฉมงามล่มเมือง ดวงหน้างามอ่อนโยน รูปลักษณ์ดูบอบบางชวนให้คนรักถนอม
นางเหาะมาหยุดตรงหน้าหานฮวง เอ่ยขึ้นว่า “ผู้มีพระคุณ ข้าหาของทั้งหมดที่ท่านต้องการมาให้ท่านได้แล้ว”
นางโบกมือขวาเล็กน้อย ก้อนศิลาและก้อนผลึกหลากสีสันรวมถึงเส้นเอ็นแปลกประหลาดนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา โคจรอยู่รอบตัวหานฮวงราวกับวงแหวนที่โคจรรอบดาวเสาร์
หานฮวงลืมตาขึ้น ชูมือขึ้นเริ่มสำแดงเวทพลางเอ่ยไปว่า “ขอบใจมาก เจ้าไปได้แล้ว”
“ไม่เจ้าค่ะ ข้ายินดีติดตามรับใช้ท่านไปตลอดกาล”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด เจ้าคิดว่าข้าต้องการคนมาปรนนิบัติรับใช้หรือ”
“ข้าทราบเจ้าค่ะ ท่านคือหานฮวงสุดยอดเทวทัณฑ์และผู้ทรงพลังอันดับหนึ่งแห่งฟ้าบุพกาล ทั้งยังเป็นเทพมารอนธการด้วย ท่านมีพระคุณช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าอยากอยู่รับใช้ข้างกายท่านไปตลอดกาลเจ้าค่ะ” เซียนสาวกล่าวอย่างระมัดระวัง
หานฮวงขมวดคิ้วเอ่ยไปว่า “ข้ากำลังรอรับศึกใหญ่ที่กำลังจะมาเยือน ด้วยตบะระดับเสรีของเจ้ามีแต่จะสิ้นชีพสลายเป็นเถ้าธุลีไปเท่านั้น กลับไปเถอะ ในโลกขนาดใหญ่ของเจ้า เจ้าเป็นถึงอริยะที่อยู่เหนือสรรพสิ่ง แต่หากมาติดตามข้าเจ้าจะไม่นับเป็นอันใดเลย”
เซียนหญิงเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ต่อให้สลายเป็นเถ้าธุลี ข้าก็ยินดีติดตามท่านเจ้าค่ะ”