ติงหมิงเห็นว่าเป็นเช่นนี้ก็โล่งอก เอ่ยต่ออีกว่า “ตอนนี้มิว่าคนผู้นี้จะวางกลศึกไว้เช่นไร เพียงเขาผู้เดียวอยู่ที่ติ้งไห่ก็รั้งแม่ทัพใหญ่ลู่ให้มิกล้าผละจากอู๋เย่ว์โดยง่ายได้แล้ว บารมีระดับนี้ แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาก็คงเข้าใจตื้นลึกหนาบางในเรื่องนี้”
ข้ายิ้มน้อยๆ สายตามองน้ำชาที่ชงมารอบที่สอง สีของมันเขียวใสยิ่งกว่าก่อน แต่ปากกลับเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แถบอู๋เย่ว์มียอดฝีมือผู้กล้าสละชีพมากมาย เหตุใดจึงมิจับกระบี่กำจัดคนชั่ว คนผู้นี้เคยอยู่ในสำนักฮั่นหลินมาหลายปี ทั้งยังเป็นคนรอบรู้กว้างขวาง เขาคงรู้จักชัยภูมิและกองกำลังในที่ต่างๆ ของหนานฉู่อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ดูจากการกระทำของคนผู้นี้ เพียงคอยบงการก็ทำให้เมฆาปั่นป่วนพายุพัดโหมได้ แล้วเขายังได้รับความไว้วางพระทัยจากจักรพรรดิต้ายงอีก หากสังหารคนผู้นี้เสีย ไยมิเท่ากับกำจัดภัยร้ายใหญ่หลวงสำเร็จ”
ติงหมิงถอนหายใจ “ไยง่ายดังพูด แม้คนผู้นี้เป็นบัณฑิตอ่อนแอ แต่มียอดฝีมือขอบขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติคนหนึ่งคอยรับใช้ข้างกาย” กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็เหลือบมองไผ่ระทมปราดหนึ่ง พอเห็นอีกฝ่ายสีหน้าหม่นหมองแต่มิมีท่าทางหุนหันพลันแล่นแล้วจึงเอ่ยต่อว่า “แล้วยังมีราชองครักษ์หู่จีที่จักรพรรดิต้ายงส่งมาคุ้มกันอีก ยามปรากฏตัว ด้านหน้ามีคนเปิดทาง ด้านหลังมีคนโอบล้อม การคุ้มกันแน่นหนา ไฉนจะมีโอกาสลอบสังหารได้เล่า”
ข้าเหลือบมองกระบี่ล้ำค่าด้านหลังเขาแล้วเอ่ยว่า “แม้ข้างกายคนผู้นี้จะคุ้มกันแน่นหนา แต่หากมีคนยินยอมพร้อมใจพลีชีพเลียนแบบเนี่ยเจิ้ง[1] จิงเคอ[2] ก็มิแน่ว่าจะไม่มีโอกาส ข้างกายคนผู้นั้นแม้จะมียอดฝีมือแต่หนานฉู่เองก็มิแน่ว่าจะไม่มีคนที่ต่อกรได้ อย่างเช่นพี่ติง หากเก็บซ่อนปราณกระบี่ทั่วร่างแล้วทุ่มหมดหน้าตักจู่โจมในหนเดียวก็มิแน่ว่าจะไร้โอกาส”
ติงหมิงยิ้มเจื่อน “พวกข้าผู้ฝึกฝนกระบี่ ประการแรกต้องซื่อตรงมีคุณธรรม แม้คนผู้นี้จะเข้ากับต้ายงแล้ว แต่มิว่ามองอย่างไรก็มิได้ทำผิดถึงเพียงนั้น ยังมิต้องพูดถึงว่าเขาสวามิภักดิ์ต่อต้ายงหลังถูกปลดจากตำแหน่งขุนนางแล้ว เขายังถูกจับเป็นเชลยไปยังนครหลวงต้ายง กำหนดชะตาชีวิตตนเองมิได้ มองในอีกแง่หนึ่ง หากเสนาธิการผู้มีความสามารถล้ำเลิศคนหนึ่งได้พานพบเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชาชาญเช่นจักรพรรดิต้ายง แล้วอีกฝ่ายยังเอื้ออารี ปฏิบัติด้วยความจริงใจ เขาจะมิซาบซึ้งน้ำตานอง นับถือจากใจจริงได้เช่นไร
การที่คนผู้นี้หันไปเข้ากับต้ายง ข้าคิดทบทวนดูแล้วก็คิดเหตุผลที่จะตำหนิเขามิได้แม้แต่น้อย ถึงคนผู้นั้นยืนอยู่ต่อหน้า ข้าก็มิอาจสังหารเขาอย่างมิรู้สึกละอายต่อใจตนเอง
อีกอย่างหากกล่าวถึงวรยุทธ์ แม้ข้าจะบรรลุวิชามาอยู่บ้างก็มิกล้าเทียบเคียงเงามารหลี่ซุ่น แม้ข้าฝึกกระบี่มาหลายปีแต่มิเคยตระเวนออกรบทั่วใต้หล้า วนเวียนอยู่ระหว่างความเป็นความตาย จะเทียบชั้นกับยอดฝือที่แท้จริงผู้ผ่านความเป็นความตายมาแล้วเหล่านั้นได้เช่นไร
ยุทธภพของเจียงหนานมิมีคลื่นลมมากนัก หลายปีที่ผ่านมามิเคยมียอดฝีมือขอบขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติปรากฏตัว ไฉนจะเทียบกับแดนเหนือที่ยอดฝีมือดุจหมู่เมฆาได้ ข้างกายคนผู้นั้นแม้ไร้เงามารหลี่ซุ่นกับราชองครักษ์หู่จี จะมิมียอดฝีมือเส้าหลินหรือศิษย์พรรคมารอยู่เชียวหรือ หากคิดลอบสังหารคนผู้นี้คงเป็นคนบ้าเพ้อฝันเท่านั้น”
ข้าหลุบตาจิบน้ำชาในถ้วยแล้วกล่าวว่า “พี่ติงเป็นคนชาญฉลาดจริงๆ การลอบสังหารหัวหน้าของกองทัพศัตรูส่วนมากเป็นการกระทำตอนจนหนทางยามฝั่งที่อ่อนแอกว่าต้องการชนะฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่า เวลานี้สองกองทัพประจันหน้ากันอยู่ที่อ่าวหังโจว หากแม่ทัพใหญ่ลู่บุกตีติ้งไห่ได้อย่างสง่าผ่าเผยย่อมกำจัดเภทภัยได้ นี่ถึงจะเป็นแผนการรบอันสง่าผ่าเผย พี่ติงทำเพื่อแว่นแคว้นทำเพื่อปวงประชา เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในหมู่จอมยุทธ์ ข้านับถือยิ่งนัก”
ติงหมิงลุกขึ้นคำนับ “ในเมื่อคุณชายอวิ๋นรู้สึกเช่นนี้ เหตุใดมิสละแรงเพื่อแว่นแคว้น แม่ทัพใหญ่ลู่เป็นผู้ถ่อมตน เห็นค่าคนมีความสามารถ หากทราบว่ามีคนเช่นคุณชายอยู่ต้องรีบร้อนมาต้อนรับอย่างแน่นอน”
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแววตาคาดหวัง ทำให้คนแทบจะหักใจปฏิเสธไม่ลง
ข้าส่ายหน้ายิ้มน้อยๆ “ตัวข้าเป็นเช่นเมฆลอยลมนกกระเรียนป่า ในชีวิตมิสนใจการใหญ่ของแว่นแคว้น ทุกวันเดินทางล่องแม่น้ำขึ้นเหนือลงใต้ เคยชินกับการร่ำสุราใต้แสงจันทร์ อาบสายลมฟังเสียงพิณ หากได้พบคนเช่นพี่ติง ร่วมจิบชาสนทนาก็เป็นความสุขที่สุดในชีวิตแล้ว เรื่องสงครามฆ่าฟันเหล่านั้น ข้ามิคิดจะสนใจจริงๆ
สงครามระหว่างเหนือใต้ มิว่าผู้ใดชนะผู้ใดแพ้ล้วนเป็นการต่อสู้ของคนตระกูลหนึ่งแซ่หนึ่ง มิเกี่ยวข้องอันใดกับประชาชนธรรมดาเหล่านี้เช่นพวกเรา แม้ข้าชื่นชมความตั้งใจของพี่ติง แต่อภัยที่ข้ามิอาจเข้าร่วมการชิงชัยระหว่างกองทัพและแว่นแคว้นได้ แต่ข้ายังพอมีกำลังที่เจียงหนานอยู่บ้าง หากยามใดพี่ติงเดือดร้อนก็เดินทางมาขอความช่วยเหลือได้”
ติงหมิงรู้สึกหม่นหมอง เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นคุณชายผู้สวมอาภรณ์หรูหราผู้นี้มีสีหน้าวางเฉย สง่างามและเป็นอิสระเสรีประหนึ่งเซียนผู้ถูกเนรเทศลงมายังโลกมนุษย์ ในใจพลันคิดว่า บุคคลเช่นนี้ก็มิสมควรข้องเกี่ยวกับเรื่องราวในโลกมนุษย์จริงๆ เอาเถิด ได้คำสัญญาจากเขาก็หายากที่สุดแล้ว
เมื่อหันหน้าไปอีกทาง ดูเหมือนไผ่ระทมจะมีสีหน้าไม่พอใจ เขาจึงรีบส่งสายตาให้อีกฝ่ายอดกลั้นไว้ ตนเองก็เอ่ยว่า “ข้าหุนหันพลันแล่นแล้ว ขอคุณชายอภัยด้วย”
ข้าเห็นเขารู้จักสถานการณ์ก็ยิ่งรู้สึกประทับใจมากขึ้นอีก คลี่ยิ้มเอ่ยว่า “พี่ติงเข้าใจความลำบากใจของข้า ข้าก็โล่งใจยิ่งนัก แต่ขอพี่ติงโปรดอย่าเอ่ยเรื่องของข้ากับผู้อื่น ข้ามิปรารถนาให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมา”
ติงหมิงอึ้งเล็กน้อย คำขอนี้แม้จะสมเหตุสมผล แต่คนผู้นี้ทำตัวลึกลับหยั่งมิถึง หากตนเองปิดบังเรื่องของคนผู้นี้ก็ออกจะมิเหมาะสมอยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้จึงรับคำ “ข้าย่อมมิเอ่ยกับผู้อื่น”
ไผ่ระทมทราบเจตนาของเขาจึงเพียงเงียบงันมิเอ่ยคำ การกระทำเล็กน้อยของพวกเขาสองคนย่อมอยู่ในสายตาของข้า ข้ากลับมิใส่ใจนัก สถานการณ์เช่นนี้อยู่ในการคาดการณ์ของข้าอยู่ก่อนแล้ว
ข้าจงใจเผยสีหน้ายินดีปรีดาแล้วลุกขึ้นรับกาน้ำชาจากมือเสี่ยวซุ่นจื่อมารินน้ำเติมให้ทั้งสองคนด้วยมือตนเอง น้ำพุไหลม้วนลงในถ้วย แม้ท่าทางมิชำนาญเท่าเสี่ยวซุ่นจื่อ แต่ก็มิถึงกับทำน้ำกระเซ็นชากระจาย หลังจากนั้นจึงส่งถ้วยชาให้ติงหมิงกับไผ่ระทมด้วยตนเอง ทั้งสองคนต่างลุกขึ้นรับด้วยสองมือ
แม้ทั้งสองฝ่ายต่างมีแผนการในใจของตนเอง แต่เวลานี้ยามทั้งสามคนสบตากันกลับรู้สึกว่าการพบปะในวันนี้เพลิดเพลินสบายอกสบายใจยิ่งนัก พวกเขาสบตากันแล้วคลี่ยิ้ม ต่างคนต่างดื่มชาของตนเอง
หลังจากชาที่เหลือเข้าไปอยู่ในท้องของพวกเรา เสี่ยวซุ่นจื่อก็เริ่มเก็บอุปกรณ์ชงชา ในลำเรือเริ่มมีกลิ่นอายของงานเลี้ยงใกล้เลิกรา ข้าเดินไปข้างแท่นวางพิณ ไล้สายพิณแผ่วเบา เสียงพิณใสสื่ออารมณ์ของการแยกจาก แม้มิเอ่ยถ้อยคำ แต่ติงหมิงผู้ชำนาญการบรรเลงผีผา เชี่ยวชาญการดนตรีย่อมฟังความหมายเชิงส่งแขกในเสียงพิณออก เขาลุกขึ้นกำลังจะเอ่ยปากขอตัวลา จู่ๆ ก็พลันรู้สึกว่ามือเท้าไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย
ดวงตาของเขาฉายแววตกตะลึง รีบโคจรลมปราณ ทว่ารีดเค้นลมปราณขึ้นมามิได้แม้สักกระผีก ร้อยกระดูกทั่วร่างคล้ายอาบสายยลมวสันต์ มีความรู้สึกอบอุ่นละมุนคล้ายกำลังร่ำเมรัยมิอาจถอนตัวออกมาได้ จากนั้นสองขาก็อ่อนยวบล้มลงบนเก้าอี้ รู้สึกว่าพละกำลังทั่วร่างสลายไปทีละเล็กทีละน้อย เขาฝืนหันหลังกลับไปก็เห็นไผ่ระทมสลบอยู่บนเก้าอี้มิรู้ตั้งแต่เมื่อใด สีหน้าแดงระเรื่อคล้ายกำลังหลับฝันหวาน
ประกายสว่างฉายวาบผ่านดวงตา แต่ติงหมิงกลับคิดไม่ออกว่าตนเองถูกวางยาพิษได้เช่นไร ความง่วงงุนผุดพรายขึ้นมา เขาอยากจะหลับไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่ในใจทราบดีว่าตนเองถูกลอบเล่นงานแล้ว มิว่าอย่างไรก็ต้องถามให้กระจ่าง มิอาจสลบไปอย่างมิกระจ่างใจเช่นนี้
เขาพยายามกัดปลายลิ้น ถ่มเลือดคำหนึ่งออกมา เม็ดเหงื่อหลั่งรินจากหน้าผาก สติกลับมาแจ่มชัด เขาถามอย่างยากลำบาก “พี่อวิ๋น นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร”
คนที่ยืนหันหลังบรรเลงพิณอยู่ผู้นั้นหันกลับมา ดวงตาคล้ายฉายแววประหลาดใจ จากนั้นจึงคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “พี่ติงไยต้องดันทุรังฝืนรั้นเช่นนี้เล่า เพียงปล่อยตัวตามสบายก็จะหลับฝันอย่างมีความสุข มิต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป”
ติงหมิงกำพนักเก้าอี้แน่น “พี่อวิ๋นวางยาพิษตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดข้ามิสังเกตเห็น” กล่าวจบ ความเจ็บปวดก็ค่อยๆ พร่าเลือน ความรู้สึกมึนหัวตาลายเข้าจู่โจมอีกหน เขาเบิ่งตาโตมิยอมหลับตา เกรงว่าหากหลับตาลงคงหมดสติลุกมิขึ้นอีก
อวิ๋นอู๋จงผู้นั้นตอบอย่างนิ่งสงบ “การพบพานในวันนี้เป็นเรื่องบังเอิญ จิบชาสนทนาความในใจก็เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ข้ากับท่านพูดคุยกันถูกคอ ข้าจึงเผลอพูดเรื่องที่มิสมควรพูดออกมามากไปหน่อย หากเป็นวันก่อน หลังท่านจากไปแล้ว ข้าก็คงเก็บข้าวของออกเดินทางได้ แม้นท่านอยากจะสะกดรอยก็คงทำได้แต่คิด ทว่าวันนี้บังเอิญข้ายังต้องอยู่ที่นี่อีกหนึ่งคืน หากท่านมีเจตนาจะสืบเสาะร่องรอยของข้า ข้าก็คงจะลำบากขึ้นมากอย่างเลี่ยงมิได้
เพื่อกำจัดความยุ่งยากประการนี้ ข้าจึงวางยานอนหลับจำนวนหนึ่งไว้ในชาถ้วยสุดท้าย ขอให้ทั้งสองท่านนอนหลับฝันหวานบนเรือสักคืน รอจนพรุ่งนี้ดวงตะวันลอยสูง ทั้งสองท่านก็หวนคืนสู่โลกมนุษย์ได้ พี่ติงจะลำบากดันทุรังฝืนไปไยเล่า”
ติงหมิงรู้สึกว่าสติค่อยๆ ดับมืดจมดิ่ง เขาพยายามมองไปยังคุณชายอาภรณ์หรูหราผู้นั้น ในใจสังหรณ์เลือนรางว่าจากกันหนนี้ คงมิมีโอกาสพบคุณชายอวิ๋นผู้ลึกลับหยั่งมิถึงคนนี้อีก เขายิ่งรู้สึกมิยินยอมพลาดโอกาสสุดท้ายที่จะทำความเข้าใจคนผู้นี้
เขาเห็นอวิ๋นอู๋จงถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวอย่างเศร้าใจว่า “จากกันวันนี้ วันหน้าคงมิมีโอกาสได้พบกันอีก พี่ติงคุณสมบัติโดดเด่นเหนือผู้อื่น มีปณิธานแรงกล้า ข้ารู้สึกชื่นชม เรื่องที่ข้าสัญญาไว้ย่อมมิกลับคำ เพียงแต่หากพี่ติงป่าวประกาศเรื่องข้าออกไปทั่วให้ข้าโกรธเคืองขึ้นมา ก็มิทราบแล้วว่าจะเกิดเรื่องมิน่าพอใจอะไรขึ้น เพื่อตัวพี่ติงเอง เรื่องในวันนี้ขอให้เก็บเป็นความลับด้วย”
ฟังถึงตรงนี้ ในที่สุดติงหมิงก็ฝืนต่อไปมิไหวแล้ว ระหว่างที่สะลึมสะลือเขาเห็นคนผู้นั้นเยื้องย่างมาหาตนเอง ริมหูได้ยินน้ำเสียงนิ่งสงบปนเศร้าสร้อยของคนผู้นั้น “แต่ไหนแต่ไรเจตนาสวรรค์ยากคาดเดา สรวลเสเมามายลืมสิ้นทุกสิ่งอัน”
หลังจากนั้น ติงหมิงก็จมลงสู่ความมืดอันลึกล้ำที่สุด
[1] เนี่ยเจิ้ง มือสังหารในสมัยจั้นกั๋ว หนึ่งในสี่มือสังหารชื่อดังในประวัติศาสตร์จีน เขาบุกไปสังหารอัครมหาเสนาบดีแห่งแคว้นหานกลางเมืองหลวงเพียงลำพังแล้วต่อสู้กับองครักษ์หลายสิบนาย สุดท้ายเพื่อไม่ให้พี่สาวที่หน้าตาเหมือนตนต้องมาพัวพันด้วยจึงใช้กระบี่ทำลายโฉมหน้า ควักลูกตาแล้วคว้านท้องฆ่าตัวตาย
[2] จิงเคอ มือสังหารในสมัยจั้นกั๋ว หนึ่งในสี่มือสังหารชื่อดังในประวัติศาสตร์จีน เขายอมสละตน ออกอุบายนำหัวของแม่ทัพกบฏแห่งแคว้นฉินกับแผนที่แคว้นเยี่ยนไปถวายแด่เจ้าแคว้นฉินเพื่อฉวยโอกาสลอบสังหาร ทว่าลงมือพลาดจนสุดท้ายถูกสังหารเสียเอง