ตอนที่ 1027 สัญชาตญาณ
ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางหลูผิง
“ขอรับ” หลูผิงรับคำ
“พาซุนเหวินเหยามาพบข้าที ข้าอยากพบเขา” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวยิ้มๆ
ซุนเหวินเหยาผู้นี้ทำตามคำสั่งของคุณหนูทั้งสองของตระกูลฉินหรือคุณหนูของตระกูลฉินฟังคำสั่งของซุนเหวินเหยาอยู่กันแน่ ไป๋ชิงเหยียนคิดว่าคืออย่างหลังมากกว่า
ช่างน่าสนใจจริงๆ…
ในเมื่อวางแผนเรื่องทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว หลี่หมิงรุ่ยและต่งฉางหยวนจึงเดินจากไปพร้อมกับหลูผิง
ไป๋จิ่นจื้อที่อุ้มไป๋หว่านชิงไว้ในอ้อมแขนนั่งลงข้างไป๋ชิงเหยียน “พี่หญิงใหญ่ให้ข้าเดินทางไปหนานเจียงหลังจากวันที่สิบห้าเพราะอยากฉลองวันเกิดให้ข้าหรือเจ้าคะ”
“ตั้งแต่ที่ตระกูลไป๋เกิดเรื่องขึ้น พี่เอาแต่สั่งให้เจ้าเดินทางไปที่อื่น ไม่เคยฉลองวันเกิดให้เจ้าอย่างจริงจังเสียที เดิมทีพี่อยากให้เจ้าอยู่เมืองหลวงต่ออีกสักพัก ให้พี่ได้ฉลองวันเกิดให้เจ้า เจ้าจะได้อยู่เป็นเพื่อนท่านอาสะใภ้สามให้นานกว่านี้ นึกไม่ถึงเลยว่าจะต้องใช้ประโยชน์จากวันเกิดเจ้าเป็นสิ่งบังหน้าเช่นนี้…”
“พี่หญิงใหญ่ หลอกใช้อันใดกันเจ้าคะ! ขอเพียงมีประโยชน์ต่อต้าโจว ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของเสี่ยวซื่อ เสี่ยวซื่อก็ไม่เสียดายเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อกล่าวเสียงจริงจัง
“กล่าววาจาอันใดเช่นนี้! มีพี่อยู่ ผู้ใดก็ทำอันตรายเจ้าไม่ได้ทั้งสิ้น!” ไป๋ชิงเหยียนตำหนิเสียงขรึม
จะเกิดสิ่งใดขึ้นกับคนตระกูลไป๋อีกไม่ได้แม้แต่คนเดียว
“แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ไม่เสียดาย!” ไป๋หว่านชิงเลียนแบบคำกล่าวของไป๋จิ่นจื้อกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนอย่างตั้งใจ
ไป๋ชิงเหยียนหัวเราะกับเสียงเล็กของไป๋หว่านชิง หญิงสาวเอื้อมมือไปหยิกแก้มตุ้ยนุ้ยของน้องสาว “เจ้ารู้ความหมายหรือไม่ถึงได้กล่าวตามเช่นนี้”
ไป๋หว่านชิงทำหน้าเหมือนจะเข้าใจ ดวงตากลมโตของเด็กน้อยกลอกไปมา จากนั้นเรียนรู้ถ้อยคำเมื่อครู่อีกครั้ง “ไม่เสียดาย!”
ไป๋จิ่นจื้อหลุดหัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน สาวน้อยเอื้อมมือไปลูบศีรษะของไป๋หว่านชิงเบาๆ “เสี่ยวปาของพวกเราเป็นคนกล้าหาญ เป็นสตรีคนดีของตระกูลไป๋!”
“พี่หญิงใหญ่ ถึงเวลานั้นจะจัดงานรื่นเริงร่วมกับชาวบ้านเช่นไรเจ้าคะ ความจริงการล่าสัตว์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเป็นความคิดที่ไม่เลว ทว่า นี่ไม่ใช่การร่วมสนุกกับชาวบ้าน” ไป๋จิ่นจื้อก้มหน้าใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้ามองไป๋ชิงเหยียน “พวกเราจัดการแข่งขันว่าวขึ้นที่นอกเมืองในนามของข้าดีหรือไม่เจ้าคะ ให้พี่หญิงใหญ่เป็นคนมอบรางวัลให้ผู้ชนะ…”
“ได้ เจ้าเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้ เมื่อการแข่งขันจบลง เจ้าค่อยกลับมาทานอาหารร่วมกับทุกคนในครอบครัว” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวยิ้มๆ
“เจ้าค่ะพี่หญิงใหญ่!” ไป๋จิ่นจื้อรับคำยิ้มๆ
“เดี๋ยวซุนเหวินเหยาจะมาที่นี่ เจ้าพาเสี่ยวปากลับไปก่อน…” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับไป๋จิ่นจื้อ
ไป๋จิ่นจื้อยังคงเป็นกังวล “พี่หญิงใหญ่…”
“มิเป็นอันใด มีลุงผิงอยู่ เขาก่อเรื่องอันใดไม่ได้หรอก!”
เมื่อซุนเหวินเหยาที่กำลังฝึกซ้อมอยู่ในค่ายทหารได้ยินว่าจักรพรรดินีแห่งต้าโจวเรียกตัวเขาไปพบในวังก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ
เมื่อคิดได้ว่าเขาหลอกใช้สาวน้อยที่จิตใจบริสุทธิ์ผู้นั้นเป็นเครื่องมือจึงรู้สึกผิดเล็กน้อย ไป๋จิ่นจื้อคงเล่าเรื่องที่พวกเขามีใจให้กันให้ไป๋ชิงเหยียนฟัง จักรพรรดินีแห่งต้าโจวจึงอยากพบเขาเช่นนี้
ซุนเหวินเหยาที่ฝึกซ้อมจนเหนื่อยหอบโค้งกายคำนับหลูผิง “ข้าเหงื่อออกเต็มไปหมด ใต้เท้าได้โปรดอนุญาตให้ข้ากลับไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายก่อนเถิดขอรับ ข้าจะได้ไม่เสียมารยาทต่อหน้าฝ่าบาทขอรับ”
หลูผิงกำดาบที่เอวพลางพยักหน้านิ่งๆ มองดูซุนเหวินเหยาวิ่งจากไปไกล หลู่ผิงเหลือบเห็นแม่ทัพหลิ่วผิงเกาแห่งค่ายทหารผิงอันกำลังฝึกซ้อมอยู่ท่ามกลางแสงแดดที่แผดจ้าจึงรีบเดินเข้าไปทักทาย “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะแม่ทัพหลิ่ว!”
“ใต้เท้าหลู!” หลิ่วผิงเกาในชุดนักรบใช้ผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อที่ใบหน้า โยนผ้าคืนให้ลูกน้อง จากนั้นเดินเข้าไปหาหลูผิง
ทั้งสองคนเคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ในสนามรบกันมาก่อน แน่นอนว่าย่อมสนิทกันมากกว่าผู้อื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลูผิงคือทหารของกองทัพไป๋ ต่อมาได้รับบาดเจ็บจึงถอนตัวมาเป็นองครักษ์ของจวนไป๋ บัดนี้ได้กลับสู่สนามรบแล้วย่อมอาจหาญและแข็งแกร่งกว่าเดิมแน่นอน
“แม่ทัพหลิ่ว ข้าอยากสืบเรื่องคนคนหนึ่ง ท่านว่าซุนเหวินเหยาผู้นั้นเป็นเช่นไรบ้าง”
หลิ่วผิงเกาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนึกขึ้นมาได้ เขากล่าวยิ้มๆ “เด็กหนุ่มที่ช่วยชีวิตเกาอี้จวิ้นจู่ไว้ผู้นั้นน่ะหรือ เขาไม่เลวทีเดียว เหมาะที่จะเป็นทหารมาก เป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อนที่ไม่มีทางทอดทิ้งสหายร่วมรบยามออกรบในสนามรบแน่นอน”
เมื่อหลูผิงได้ยินคำว่าไม่มีทางทอดทิ้งสหายร่วมรบจึงครุ่นคิดอย่างหนัก
ซุนเหวินเหยาบิดผ้าขนหนูจนหมาดแล้วเช็ดเหงื่อที่ใบหน้าและลำคอของตัวเอง เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีดำ จากนั้นคลำหาใยผ้ามรณะบริเวณเอวของตัวเอง
เข้าเฝ้าจักรพรรดินีไม่อาจพกอาวุธเข้าไปได้ ทว่า เขาซ่อนใยผ้าไว้ที่เอว ใยผ้าบางราวกับใยไหม ไม่มีผู้ใดจับพิรุธได้อย่างแน่นอน
ทว่า ซุนเหวินเหยายังลังเลกับคำสั่งที่ได้รับมอบหมายให้ลอบปลงพระชนม์จักรพรรดินีแห่งต้าโจวอยู่
เขาคือองครักษ์ลับของราชวงศ์ก่อน เดิมทีถูกส่งไปอยู่กับขุนนางใหญ่อย่างจงหย่งโหวเพื่อจับตาดูขุนนางใหญ่แทนจักรพรรดิ ต่อมาเมื่อจงหย่งโหวเสียชีวิต เขาจึงถูกส่งไปยังค่ายทหารผิงอัน ทว่า ไม่ได้รับคำสั่งที่แน่ชัด
ต่อมาองค์หญิงเจิ้นกั๋วโค่นล้มราชวงศ์หลิน…ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดินีแห่งแคว้นต้าโจวดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ตอนที่เขาคิดว่าราชวงศ์ต้าจิ้นล่มสลายไปแล้ว เขาไม่ต้องเป็นองครักษ์ลับของราชวงศ์อีกต่อไป หัวหน้าของเขาหาตัวเขาพบเป็นคนแรก หัวหน้ากล่าวว่าการที่องครักษ์ลับอย่างพวกเขาไม่ได้ตายไปพร้อมกับจักรพรรดิแห่งต้าจิ้นก็ถือว่าเนรคุณมากและทำให้องครักษ์ลับเสื่อมเสียมากแล้ว พวกเขาปกป้องจักรพรรดิต้าจิ้นไว้ไม่ได้ ทว่า องค์รัชทายาทยังอยู่…
องค์รัชทายาทถูกจักรพรรดินีแห่งต้าโจวส่งไปยังต้าเหลียงพร้อมกับองค์ชายน้อย บัดนี้พวกเขาไม่มีอำนาจทางทหาร จึงทำได้เพียงก่อความวุ่นวายให้ต้าโจว ทำลายระบอบการปกครองใหม่ของต้าโจว ทำให้ราชสำนักต้าโจวไม่มั่นคง เช่นนี้องค์รัชทายาทจะได้มีโอกาสแย่งชิงบัลลังก์กลับคืนมาอีกครั้ง
ซุนเหวินเหยาได้รับหน้าที่สำคัญ หัวหน้าของเขาสั่งให้เขาไปตีสนิทกับไป๋จิ่นจื้อ ทำให้ไป๋จิ่นจื้อเชื่อใจเขาให้ได้ จากนั้นขอให้ไป๋จิ่นจื้อพาเขาเข้าเฝ้าจักรพรรดินีแห่งซีเหลียงเพื่อสังหารนางทิ้งเสีย!
ซุนเหวินเหยาเป็นองครักษ์ลับของราชวงศ์ต้าจิ้นตั้งแต่ลืมตาดูโลก มีเพียงทำภารกิจสำเร็จเท่านั้นจึงจะไม่ทำให้องครักษ์ลับเสียเกียรติ แม้จะตายก็ถือว่าตายในหน้าที่แล้ว
องครักษ์ลับอย่างพวกเขาได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เล็กให้จงรักภักดีต่อราชวงศ์ ทำทุกอย่างเพื่อราชวงศ์โดยไม่เสียดายชีวิต พวกเขาทำซ้ำเดิมทุกวันจนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่ ความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ราวกับฝังอยู่ในกระดูกของพวกเขา กลายเป็นสัญชาตญาณของพวกเขา
ทว่า ครั้งนี้…ซุนเหวินเหยาเกิดความลังเล
เพราะเขาเห็นแม่ทัพของต้าเหลียงยอมสวามิภักดิ์ต่อต้าโจวทีละคน เขาเห็นจักรพรรดินีแห่งต้าโจวเปลี่ยนแปลงความทุกข์ยากของชาวบ้านต้าจิ้น เห็นระบอบการปกครองใหม่ของจักรพรรดินีแห่งต้าโจวที่ส่งผลประโยชน์ต่อชาวบ้านอย่างแท้จริง เขาคิดว่าไป๋ชิงเหยียน…คือจักรพรรดินีที่ดี
“ซุนเหวินเหยา เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่อีก!”
สหายร่วมค่ายของซุนเหวินเหยาถือกะละมังน้ำเข้ามาด้านใน เมื่อเห็นซุนเหวินเหยาที่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสร็จแล้วยืนเหม่ออยู่จึงเดินไปตบไหล่เขายิ้มๆ “ใต้เท้าหลูรออยู่นานแล้ว ไม่รู้ว่าเรียกตัวเจ้าไปพบเพราะเรื่องใด ทว่า ข้าคิดว่าเป็นเรื่องดีแน่!”
“เดี๋ยวกลับมาค่อยคุยกันต่อ ข้าไปก่อนนะ…” ซุนเหวินเหยากล่าวพลางเดินออกไปจากกระโจม
ซุนเหวินเหยาตามหลูผิงมาถึงหน้าประตูอู่เต๋อในช่วงพลบค่ำ
เขายืนอยู่ด้านหลังหลูผิงอย่างนอบน้อม เมื่อตรวจค้นร่างกายเสร็จ เขาเดินตามหลูผิงขึ้นไปบนบันได ซุนเหวินเหยาก้มมองบันไดหยกที่ปลายเท้าของตัวเองซึ่งแสงอาทิตย์ช่วงพลบค่ำส่องกระทบจนกลายเป็นสีส้ม