ตอนที่ 1035 แบกไป
ไม่นานหญิงชราตัวใหญ่ ดูมีพละกำลังเดินเข้ามาด้านในสองสามคน
ฟางซื่อกล่าวขึ้น “เร็ว! รีบพาคนไปยังรถม้าก่อนที่หมัวมัวและสาวใช้ของนางจะกลับมา!”
“เจ้าค่ะ!”
บรรดาหญิงชรารับคำพลางก้าวไปด้านหน้า
ฟางซื่อใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น เมื่อนึกถึงพี่ชายของตัวเองขึ้นมาได้จึงเอ่ยถาม “นายท่านไปแล้วหรือไม่”
“ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ นายท่านไปที่นั่นแล้วเจ้าค่ะ”
หวังซื่อค่อนข้างผอม หญิงชราจับนางใส่กระสอบ แบกขึ้นบนหลัง จากนั้นแสร้งทำเป็นแบกของหนักเดินออกไปจากกระโจม ผู้ใดจะคิดว่าเมื่อบรรดาหญิงชราแบกหวังซื่อออกมาจากกระโจมจะเห็นทหารรักษาพระองค์ยืนถือดาบขวางอยู่ด้านนอกกระโจม หญิงชราตกใจจนไม่กล้าขยับตัว
เว่ยจงขันทีข้างกายของไป๋ชิงเหยียนยืนถือแส้ยิ้มอยู่ตรงกลางทหารรักษาพระองค์
หญิงชราเหล่านั้นไม่เข้าใจเหตุการณ์จึงไม่กล้าเดินไปด้านหน้า ได้แต่มองหน้ากันไปมา
ฟางซื่อจัดการเรื่องภายในกระโจมเสร็จจึงเตรียมเดินออกไปด้านนอก เมื่อเห็นหญิงชรายังยืนกันอยู่ที่เดิมจึงขมวดคิ้วแน่น นางเดินไปด้านนอกพลางตวาดลั่น “มัวยืนทำอันใดกันอยู่ตรงนี้! เหตุใดไม่รีบแบกคนจากไป!”
สิ้นเสียง ฟางซื่อเหลือบเห็นเว่ยจงและทหารองครักษ์ ใจของฟางซื่อกระตุกวูบทันที นางกำชายเสื้อของตัวเองแน่น
บัดนี้ฟางซื่อกำลังขี่อยู่บนหลังเสือ หากเว่ยจงพบว่าคนในกระสอบคือฮูหยินสี่หวังซื่อ ต่อให้นางมีร้อยปากก็คงแก้ตัวไม่ได้
ฟางซื่อฝืนยิ้มออกมา จากนั้นเดินเข้าไปทำความเคารพเว่ยจง “เว่ยกงกง ฮูหยินสี่ยังเปลี่ยนเครื่องแต่งกายอยู่ด้านใน ฝ่าบาทส่งท่านมาเพราะเป็นห่วงฮูหยินสี่อย่างนั้นหรือเจ้าคะ…”
ไม่รอให้เว่ยจงเอ่ยตอบ ฟางซื่อกล่าวต่อทันที “ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ กวนหมัวมัวไปนำชุดมาให้ฮูหยินสี่เปลี่ยน ฮูหยินสี่เผลอทำถ้วยน้ำชาหกราดพรม หมัวมัวเหล่านี้กำลังจะแบกพรมไปเปลี่ยนเจ้าค่ะ! ที่นี่ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เว่ยกงกงกลับไปทูลให้ฝ่าบาทสบายพระทัยเถิดเจ้าค่ะ เว่ยกงกงได้โปรดทูลให้ฝ่าบาททราบว่าข้าจะดูแลฮูหยินสี่ให้ดีเจ้าค่ะ”
เว่ยจงยิ้มพลางปัดฝุ่นตามเสื้อผ้าที่ความจริงไม่ได้มีแม้แต่น้อย จากนั้นกล่าวขึ้นช้าๆ “ส่งสาวใช้เข้าไปตรวจดูด้านในคนหนึ่ง เปิดกระสอบให้ข้าตรวจสอบของที่อยู่ด้านในด้วย!”
ฟางซื่อกำเสื้อของตัวเองแน่น หน้าเปลี่ยนสีทันที นางรีบเอ่ยห้าม “เว่ยกงกง ฮูหยินสี่กำลังรอเปลี่ยนเครื่องแต่งกายอยู่ด้านใน หากท่านมีสิ่งใดจะกล่าวฝากข้าไปเรียนให้ฮูหยินสี่ทราบก็ได้เจ้าค่ะ ข้าคือฮูหยินของประมุขตระกูลไป๋ ข้าจะดูแลฮูหยินสี่ได้ไม่ดีหรือเจ้าคะ”
เว่ยจงพยักหน้าให้ฟางซื่อยิ้มๆ จากนั้นกล่าวขึ้น “ฮูหยินประมุขไป๋กล่าวถูกต้องแล้ว ฝ่าบาททรงไม่วางพระทัยให้ท่านเป็นคนดูแลฮูหยินสี่จริงๆ”
ฟางซื่อตะลึง เว่ยจงเป็นเพียงขันที เหตุใดจึงกล้ากล่าวเช่นนี้กับนาง ฟางซื่อกัดฟันกรอดไม่รู้จะทำเช่นไรต่อไปดี
วันนี้คุณหนูสองตระกูลฉินแต่งกายด้วยชุดสีราบเรียบ นางเอาแต่นั่งนิ่งอยู่ในกระโจมราวกับไม่มีตัวตน พี่สาวของนางอยากไปร่วมวงสนทนากับสตรีตระกูลสูงศักดิ์ ทว่า สตรีตระกูลสูงศักดิ์เหล่านั้นทำเพียงทักทายคุณหนูใหญ่ฉินตามมารยาทเพราะเห็นแก่หน้าไป๋จิ่นซิ่วเท่านั้น จากนั้นจึงหันไปสนทนากันต่อโดยไม่มีวี่แววว่าจะเชิญคุณหนูใหญ่ตระกูลฉินเข้าร่วมวงสนทนาด้วย
ทว่า คุณหนูใหญ่ฉินกลับดึงดันที่จะยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่รู้สึกรู้สา เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของสตรีตระกูลสูงศักดิ์ นางจึงใช้พัดกลมบังใบหน้าหัวเราะตามบ้าง
สตรีสูงศักดิ์คนหนึ่งเห็นคุณหนูใหญ่ตระกูลฉินหัวเราะตามพวกนาง นางจึงเอ่ยขึ้นนิ่งๆ “คุณหนูใหญ่ฉินหัวเราะอันใด พวกเรากำลังคุยเรื่องงานวันเกิดของพี่สาวตระกูลหลู่เมื่อวันก่อน คุณหนูใหญ่ฉินไม่ได้ไปร่วมงานด้วย ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เหตุใดจึงหัวเราะตามพวกข้าด้วย”
หลู่เป่าหวาขมวดคิ้วแน่น นางใช้พัดกลมตีไปยังสตรีที่เอ่ยขึ้นผู้นั้นสื่อไม่ให้นางกล่าววาจาทำร้ายจิตใจผู้อื่นเช่นนี้
คุณหนูใหญ่ฉินรู้สึกว่าตัวเองถูกหักหน้า สีหน้าย่ำแย่ลงเล็กน้อย เมื่อเห็นหลู่เป่าหวาเหมือนกำลังปกป้องตน นางจึงมองไปทางหลู่เป่าหวาน้ำตาคลอ จากนั้นกล่าวขึ้น “หากพี่สาวหลู่เชิญข้าไปร่วมงานเลี้ยงด้วย ข้าก็คงไม่เหมือนคนที่ไม่รู้อันใดเลยเช่นนี้เจ้าค่ะ”
หลู่เป่าหวาตกตะลึงกับท่าทีน่าสงสารของคุณหนูใหญ่ฉิน
อาหรงหลานสาวของหมอหลวงหวงซึ่งสนิทสนมกับไป๋จิ่นจื้อเป็นคนตรงไปตรงมา นางกลอกตามองบนให้คุณหนูใหญ่ฉินที่แสร้งทำตัวน่าสงสาร “เจ้ากำลังโทษว่าพี่สาวหลู่ไม่ส่งบัตรเชิญให้เจ้าไปร่วมงานเลี้ยงอย่างนั้นหรือ เหตุใดจึงมีคนน่าไม่อายเช่นนี้กัน เจ้าไม่เคยไปมาหาสู่กับพี่สาวหลู่ ผู้ที่ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงล้วนมีแต่สหายคนสนิท เจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดพี่สาวหลู่ต้องเชิญเจ้าไปร่วมงานเลี้ยงด้วย!”
คุณหนูใหญ่ฉินยืดหลังตรงขึ้นทันที “พี่ชายของข้าได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาท พี่สะใภ้ของข้าคือฝู่กั๋วจวิน!”
“แหม ดูเหมือนว่าคุณหนูใหญ่ฉินจะลืมไปแล้วว่าฝู่กั๋วจวินเกือบเสียชีวิตด้วยน้ำมือของพวกเจ้าสองพี่น้องหลังแต่งงานกับพี่ชายเจ้าได้ไม่กี่วัน ลืมไปแล้วว่ามารดาแท้ๆ ของเจ้าปฏิบัติต่อบุตรชายของภรรยาเอกคนแรกของจงหย่งโหวอย่างโหดร้ายเพียงใด เท่านั้นไม่พอยังยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสินเดิมของลูกสะใภ้อีก! กล่าวกันว่ามีมารดาเช่นไรบุตรย่อมเป็นคนเช่นนั้น…”
สตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นยังไม่ทันกล่าวจบก็เหลือบเห็นไป๋จิ่นจื้อกำลังเดินมาทางกระโจมของพวกนางดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“เกาอี้จวิ้นจู่!”
“เกาอี้จวิน!”
เหล่าสตรีสูงศักดิ์ต่างลุกขึ้นยืนทำความเคารพไป๋จิ่นจื้อ บางคนเรียกไป๋จิ่นจื้อว่าเกาอี้จวิ้นจู่ บางคนเรียกนางว่าเกาอี้จวิน ทุกคนต่างอวยพรวันเกิดให้ไป๋จิ่นจื้อ
คุณหนูใหญ่ฉินลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกัน นางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาเล็กน้อย
ไป๋จิ่นจื้อแสร้งทำเป็นไม่เห็น โบกมือให้ทุกคน “ลุกขึ้นเถิด ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อรบกวนความสนุกของพวกเจ้า อาหรง…”
เมื่ออาหรงแห่งตระกูลหวงได้ยินไป๋จิ่นจื้อเรียกนางจึงยิ้มออกมาอย่างสดใส สาวน้อยรับคำจากนั้นหยิบพัดกลมบนโต๊ะเดินไปหาไป๋จิ่นจื้อ
“พวกเจ้าสนุกกันต่อเถิด” ไป๋จิ่นจื้อจูงมืออาหรงเดินออกไปจากกระโจม จากนั้นเอ่ยถามเสียงเบา “เกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าเห็นเจ้าหน้าบึ้งมาแต่ไกล”
“เจ้าไม่เห็นท่าทีเสแสร้งของคุณหนูใหญ่ตระกูลฉินนั่น น่าโมโหยิ่งนัก!” หวงอาหรงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในกระโจมให้ไป๋จิ่นจื้อฟัง เมื่อเล่าจบก็เห็นคุณหนูสองตระกูลฉินกำลังเดินไปทางกระโจมของไป๋ชิงเหยียน หวงอาหรงรีบกระตุกแขนเสื้อของไป๋จิ่นจื้อ “เจ้าดูนั่น! คนหนึ่งตัดพ้อว่าพี่สาวหลู่ไม่เชิญนางไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิด แถมอ้างว่าตัวเองคือน้องสามีของพี่จิ่นซิ่ว! อีกคนคงกำลังเข้าไปตีสนิทกับฝ่าบาทเพราะคิดว่าตัวเองคือน้องสามีของพี่จิ่นซิ่ว หากไม่เชื่อเจ้าก็คอยดูแล้วกัน!”
หวงอาหรงไม่ชอบการกระทำของสองพี่น้องตระกูลฉิน
ไป๋จิ่นจื้อชะงักฝีเท้าเล็กน้อย สาวน้อยหรี่ตาแคบลง นางเห็นคุณหนูสองตระกูลฉินเดินผ่านสนามแข่งขันว่าวไปคุกเข่าคำนับพี่หญิงใหญ่หน้ากระโจมของพี่หญิงใหญ่
“ปัง…”
เสียงระฆังดังขึ้น การแข่งขันว่าวสิ้นสุดลง
ขันทีเล็กรับสายว่าวมาจากสตรีตระกูลสูงศักดิ์และสตรีหม้ายที่แต่งงานใหม่ซึ่งได้รับเชิญมาร่วมการแข่งขัน สตรีตระกูลสูงศักดิ์และสตรีหม้ายต่างไปยืนรวมตัวกันที่หน้ากระโจมของไป๋ชิงเหยียน
เมื่อชาวบ้านที่ถูกทหารรักษาพระองค์กันให้อยู่ทางด้านนอกได้ยินเสียงระฆังจึงหยุดงานทุกอย่างในมือ จากนั้นมองขึ้นไปบนท้องฟ้า